หลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ Huawei P9 มือถือกล้องคู่ ที่ Huawei ร่วมมือกับทาง Leica เพื่อพัฒนาเรื่องกล้องโดยเฉพาะ ส่วนตัวผมว่าปี 2016 นี่ถือเป็นปีทองของ Huawei เลยก็ว่าได้ครับ เพราะทำมือถือรุ่นอะไรออกมาก็ล้วนแต่มีคนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เรียกว่าขายได้ทุกรุ่น รวมถึงตัว Huawei P9 เองก็มียอดจำหน่ายทะลุ 9 ล้านเครื่องอีกต่างหาก
มันก็เลยเป็นความคาดหวังเล็ก ๆ สำหรับเรือธงปลายปีอย่าง Huawei Mate 9 ว่าจะต้องทำออกมาได้ดีกว่าเดิม หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องได้มาตรฐานที่ Huawei P9 เคยทำเอาไว้ และก็ต้องบอกว่าเป็นเกียรติสำหรับผมมาก ๆ ที่ได้รับเชิญไปงานเปิดตัว Huawei Mate 9 ถึงประเทศเยอรมันนี ได้ลองจับ ลองเล่น Huawei Mate 9 เป็นกลุ่มแรก ๆ ในโลก แน่นอนว่า Huawei Mate 9 ก็ทำได้ดีเกินกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก
สเปค Huawei Mate 9
- ะบบปฏิบัติการ Android 7.0 Nougat
- หน้าจอขนาด 5.9 นิ้ว IPS LCD ความละเอียด Full HD (373 ppi)
- ขนาดตัวเครื่อง 156.9 x 78.9 x 7.9 หนัก 190 กรัม
- ชิปประมวลผล Hisilicon Kirin 960 Octa-Core (4 Core ความเร็ว 2.4 GHz Cortex-A73 และ 4 Core ความเร็ว 1.8 GHz Cortex-A53)
- ชิปประมวลผลกราฟฟิก ARM Mali-G71 MP8
- Ram 4 GB
- ความจุพื้นที่ภายใน 64 GB
- กล้องหลังสองตัว ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล (Monochrome) และความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (RGB) เทคโนโลยีจาก Leica รูรับแสงกว้าง f/2.2 มี OIS ซูม Optical 2 เท่า รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K มีฟีเจอร์ phase detection, contrast autofocus, Depth auto focus, laser autofocus และ Dual-LED (dual tone) Flash
- กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสงกว้าง f/1.9
- รองรับ 4G LTE รองรับ 2 ซิม
- รองรับ MicroSD สูงสุด 256 GB (ใช้ซิมช่อง 2)
- แบตเตอรี่ความจุ 4,000 mAh รองรับ Super Charge Technology ชาร์จแบต 30 นาที 50 %
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ
- ราคา 23,900 บาท
- สเปคเต็ม ๆ Huawei Mate 9
มือถือในซีรีส์ Mate 9 จะมีด้วยกัน 3 รุ่น ได้แก่ Huawei Mate 9, Huawei Mate 9 Pro และ Porsche Design Huawei Mate 9 แต่รุ่นที่เราจะมารีวิวกันในวันนี้ก็คือ Huawei Mate 9 เฉย ๆ เปิดราคามาที่ 23,900 บาท ซึ่งก็ถือว่าสมราคาล่ะครับ แต่จะสมราคาอย่างไร คุ้มค่ามากน้อยแค่ไหน เลื่อนลงไปอ่านรีวิว Huawei Mate 9 ด้านล่างได้เลยครับ
จุดเด่น
– ทุกอย่างอยู่ในจุดสมดุล ทั้ง CPU, แรม, หน้าจอ, แบตเตอรี่, กล้อง
– กล้องหลังคู่ Leica ยังคงประทับใจเหมือนเดิม ไฟล์ดี ถ่ายรูปสนุก โฟกัสแม่น และรวดเร็ว
– งานประกอบดีสมราคา อุปกรณ์เสริมที่ให้มาก็ดูพรีเมียมดี และให้มาครบครัน
– ลำโพงดีเสียงดัง เป็นลำโพงคู่สเตอริโอด้วย
– หน้าจอขนาดใหญ่เต็มตา ในขนาดตัวเครื่องพอ ๆ กับพวกหน้าจอ 5.5 นิ้ว
– แบตเตอรี่ใช้งานได้นานมาก
ข้อสังเกต
– บางเกมเล่นได้ แต่ยังมีปัญหาเรื่องกราฟฟิคนิดหน่อย (แก้ไขได้ด้วยการอัพเดตซอฟท์แวร์)
– ถาดซิมเป็นแบบ Hybrid Slot ต้องเลือกระหว่าง MicroSD Card กับซิม 2
– ในประเทศไทยนำมาขาย 2 สี ได้แก่ สีทอง Champagne Gold และสีน้ำตาล Mocha Brown
บทสรุป
BEST PERFORMANCE
Design
ดีไซน์ของ Huawei Mate 9 ยังคงไว้ซึ่งความเป็น Mate DNA ตามสไตล์ของซีรี่ส์ Business ที่จะเน้นเรื่องความหรูหราสมกับมาดนักธุรกิจ ซึ่งจะแตกต่างจาก P Series ที่เน้นกลุ่มผู้ใช้ทั่วไป แต่ Huawei ก็ได้ออกแบบให้ Huawei Mate 9 มีความคล่องตัว และกะทัดรัดมากขึ้น แม้จะมีขนาดหน้าจออยู่ที่ 5.9 นิ้ว ใกล้เคียงกับรุ่นก่อนหน้า โดยขนาดตัวเครื่องโดยรวมของ Huawei Mate 9 จะประมาณมือถือหน้าจอ 5.5 นิ้วปกติทั่วไป (เล็กกว่า iPhone 7 Plus นิดหน่อย)
ความหรูหราของ Huawei Mate 9 ส่วนตัวผมว่ามันมาจาก 2 ประเด็นหลัก ๆ คือหน้าจอ 5.9 นิ้ว ที่ใช้กระจกโค้ง 2.5D ซึ่งมันเข้ากันกับบอดี้ ที่ Huawei คุยว่ากว่าจะได้บอดี้โลหะแบบชิ้นเดียว (Unibody) ที่อยู่ใน Huawei Mate 9 จะต้องผ่านกระบวนการผลิตกว่า 50 ขั้นตอน โดยตัวบอดี้จะออกแบบให้โค้งมนเล็กน้อย ทำให้จับถือสะดวก และมีการเก็บขอบเก็บมุมที่ดี เมื่อรวมกับขนาดตัวเครื่องที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร แม้จะมีหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 5.9 นิ้วก็ตาม เนื่องจากการออกแบบที่ทำให้ขอบจอบางเฉียบ ในแง่ของการใช้งาน จึงไม่ต้องกังวลว่าซื้อมือถือจอใหญ่ จะพกลำบากไหม ใส่กระเป๋ากางเกงได้หรือเปล่า ถ้าเคยใช้งานมือถือ 5.5 นิ้ว ได้อย่างไม่มีปัญหาอะไรก็สามารถใช้ Huawei Mate 9 ได้สบาย ๆ ครับ หรือถ้ามองว่าหน้าจอ 5.9 นิ้วของ Huawei Mate 9 อาจจะใหญ่ไปหน่อย ก็มีตัวเลือกอย่าง Huawei Mate 9 Pro หน้าจอ 5.5 นิ้ว ที่จะวางจำหน่ายในเร็ว ๆ นี้ สนนราคาก็ 27,900 บาท ให้เลือกซื้อได้เช่นกัน
ส่วนผิวสัมผัสของเครื่องรีวิว Huawei Mate 9 ที่เราได้รับมานั้น เป็นตัวเครื่องสี Champagne Gold จึงมีผิวสัมผัสแบบมันเงา แตกต่างจากเครื่องสี Moonlight Silver ที่ผมได้ลองใช้ตอนไปงานเปิดตัวที่ประเทศเยอรมันนี ที่จะเป็นสัมผัสแบบโลหะขัด มีความหนืดมือเล็กน้อย โดย Huawei Mate 9 ที่วางจำหน่ายในประเทศไทย จะมีด้วยกันเพียง 2 สี ได้แก่ สีทอง Champagne Gold และสีที่เป็นเอกลักษณ์ของ Mate Series อย่างสีน้ำตาล Mocha Brown
รายละเอียดของ Huawei Mate 9 เริ่มจากทางด้านหน้า ประกอบไปด้วยหน้าจอ IPS ขนาด 5.9 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD (1920 x 1080 พิกเซล) ที่ความหนาแน่นของพิกเซล 373 ppi ค่าความอิ่มตัวของสี 96% NTSC เป็นหน้าจอมือถือที่ให้สีได้เที่ยงตรงมาก รวมถึงความสว่างหน้าจอที่ใช้งานกลางแดดได้สบาย ๆ ส่วนใครที่กังวลเรื่องความคมชัด กลัวว่าความละเอียด Full HD บนหน้าจอ 5.9 นิ้ว จะไม่คม ไม่ต้องกังวลไปครับ หน้าจอของ Huawei Mate 9 นี่จัดว่าคมมาก ๆ เลยล่ะ รวมถึงมีคอนทราสที่สูงถึง 1500:1 รับรองว่าใช้งานได้อย่างเนียนตา
พื้นที่บริเวณด้านล่างหน้าจอจะมีเพียงโลโก้ Huawei ส่วนพื้นที่บริเวณด้านบนหน้าจอจะประกอบไปด้วยลำโพงสำหรับสนทนา, เซนเซอร์วัดแสง, กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล Auto-Focus ค่ารูรับแสง f/1.9 และลำโพงหลักตัวที่ 2 ตัวกระจกหน้าจอของ Huawei Mate 9 เป็นกระจกนิรภัยแบบโค้ง 2.5D แถมยังติดฟิล์มกันรอยมาให้ตั้งแต่ในกล่อง แล้วก็มีเคสพลาสติกของแท้ให้ในเครื่องอีก 1 ชิ้น
Huawei Mate 9 มาพร้อมกับความหนาที่ 7.9 มิลลิเมตร ถ้าเทียบกับตัวเครื่องที่ใส่แบตเตอรี่มาให้ถึง 4000 mAh ก็ต้องบอกว่าเป็นตัวเครื่องที่บางใช้ได้ รายละเอียดทางด้านขวาจะมีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิด – ปิดเครื่อง ซึ่งจะนูนขึ้นมาเล็กน้อย ตัวปุ่มกดใช้แรงกดไม่เยอะ ตำแหน่งการวางเหมาะสมกับการใช้งาน ไม่ต้องฝืน หรือเกร็งนิ้วแต่อย่างใด ส่วนทางด้านซ้ายจะเป็นช่องใส่ซิมการ์ด โดย Huawei Mate 9 มีช่องใส่ซิมการ์ดแบบ Hybrid Slot ก็คือให้เลือกระหว่างซิม 2 กับ MicroSD Card (รองรับความจุสูงสุด 256 GB) ใช้ซิมการ์ดแบบ Nano Sim ทั้งสองซิม มีจุดเด่นตรงที่รองรับสัญญาณ 4G LTE/ 3G/ 2G แทบจะทุกความถี่บนโลก ทำให้สามารถนำ Huawei Mate 9 ไปใช้งานที่ต่างประเทศได้อย่างไม่มีปัญหา
พอร์ตเชื่อมต่อของ Huawei Mate 9 ใช้เป็นพอร์ตแบบ USB Type-C 2.0 อยู่ทางด้านล่างของตัวเครื่อง และถ้าใครที่กลัวว่าอุปกรณ์ที่มีอยู่ จะไม่รองรับ USB Type-C หรือเคยใช้อุปกรณ์เสริมที่เป็นหัว Micro USB ก็ไม่ต้องกังวล เพราะ Huawei Mate 9 มีหัวแปลง Micro USB to USB Type-C แถมมาให้ในกล่องด้วย ส่วนสายชาร์จที่ให้มาเป็น USB Type-A to USB Type-C สามารถใช้งานกับอะแดปเตอร์ปกติ หรือจะเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ก็ทำได้เช่นกัน
ถัดมาด้านซ้ายของพอร์ต USB Type-C จะเป็นไมโครโฟนสำหรับสนทนาโทรศัพท์ ด้านขวาจะเป็นลำโพงหลักของตัวเครื่อง ให้เสียงที่ดังกระหึ่มใช้ได้ และทำงานร่วมกับลำโพงหลักอีกตัวที่อยู่บริเวณลำโพงสำหรับสนทนา ให้เสียงแบบ Stereo การแยกเสียงทำได้ดี มีการแบ่งหน้าที่กันระหว่างลำโพง 2 ตัว เปลี่ยนไปตามมุมที่จับถือตัวเครื่อง ส่วนด้านบนของ Huawei Mate 9 จะมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร และ IR Sersor สำหรับใช้งานเป็น Remote Control ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้า
รายละเอียดทางด้านหลังของ Huawei Mate 9 ประกอบไปด้วย กล้องหลังคู่ Leica Technology ความละเอียด 20 + 12 ล้านพิกเซล มีโลโก้ Leica เพิ่มความขลัง ด้านซ้ายของกล้องเป็นแฟลช Dual LED แบบ Dual Tone ส่วนทางด้านขวาเป็นเลเซอร์ช่วยโฟกัส มีตัวอักษร Summarit H 1.2.2/27 ASPH แยกความหมายได้ดังนี้
- Summarit – ชื่อซีรี่ส์ของเลนส์ Leica
- H – หมายถึงรุ่นพิเศษ ผลิตให้กับ Huawei เท่านั้น
- 2.2/ 27 – หมายถึง ค่ารูรับแสง f/2.2 และเป็นเลนส์ระยะ 27 มิลลิเมตร
- ASPH – ชิ้นเลนส์แบบ Aspherical
ด้านล่างกล้องหลังก็จะเป็นเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือครับ
ภาพรวมของ Huawei Mate 9 ในส่วนของการดีไซน์, วัสดุและงานประกอบ ส่วนตัวผมถือว่าทำได้ดีตามมาตรฐานของ Huawei Mate Series ที่ทำไว้ดีในรุ่นก่อนหน้าอย่าง Huawei Mate 8 ทั้งในเรื่องความสวยงาม, การออกแบบที่อิงกับใช้งานจริง รวมถึงความหรูหรา แข็งแรงของวัสดุ ส่วนอุปกรณ์เสริมที่ให้มาก็ครบครันและจบในกล่อง ไม่ว่าจะเป็นฟิล์มกันรอยที่ติดตั้งแต่โรงงาน, เคสพลาสติกขนาดพอดีกับตัวเครื่อง (ใครจองเครื่องล่วงหน้าก็ได้เคสหนัง Leica อีก) หูฟัง, สายชาร์จแบบ USB Type-C, อะแดปเตอร์รองรับเทคโนโลยี Super Charge และหัวแปลง Micro USB เป็น USB Type-C
Software
Huawei Mate 9 มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ EMUI 5.0 ที่มีพื้นฐานบน Android 7.0 Nougat ซึ่งถือว่าเป็นระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่ล่าสุดของโลกแอนดรอย และการที่ Huawei สามารถใส่ Android 7.0 ลงไปใน Huawei Mate 9 ได้ตั้งแต่แรกนั้น ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่เคยร่วมงานกับ Google สมัย Nexus 6P กับการที่ผลิตชิปเซ็ตเอง สามารถควบคุมทุกอย่างได้หมด
EMUI 5.0 มีความเปลี่ยนแปลงจากระบบปฏิบัติการ EMUI เวอร์ชันก่อนหน้าพอสมควร ทั้งเรื่องของการจัดวาง รวมถึงรายละเอียดต่าง ๆ ที่โดยรวมดูคลีนมากขึ้น ใช้งานได้ง่ายขึ้น แถมยังมีระบบป้องกันการ Error จากตัวผู้ใช้ เนื่องจาก Huawei Mate 9 มีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ถึง 5.9 นิ้ว การใช้งานมือเดียว ย่อมเกิดปัญหาการกดพลาดได้ แต่ไม่ใช่กับใน EMUI 5.0 และยังมีการออกแบบให้ UI สามารถเข้าถึงเมนูทั้งหมดได้ภายใน 3 ขั้นตอน ไม่มีเกินจากนี้
ความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของ EMUI 5.0 ก็คือ Machine Learning ที่ใส่มาในตัวซอฟท์แวร์ เพื่อเรียนรู้การใช้งานของตัวผู้ใช้ และปรับแต่งซอฟท์แวร์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน เลยเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ Huawei Mate 9 ทำงานได้รวดเร็วเท่ากับวันแรกที่แกะกล่อง แม้เวลาจะผ่านไปนาน 18 เดือนก็ตาม
ส่วนฟีเจอร์เด็ด ๆ ที่ผมคิดว่าน่าสนใจก็คือ App Twin ซึ่งผมเชื่อว่ามีเพื่อน ๆ หลายคนพยายามที่จะ Login Facebook พร้อมกัน 2 Account เพราะบางคนก็จะแยก Facebook ที่ทำงาน กับ Facebook ส่วนตัว บางทีใช้การสลับ Account เองก็มีงงบ้างอะไรบ้าง บางทีโพสผิดโพสถูก แต่ไม่ใช่กับ Huawei Mate 9 แน่นอน ที่มาพร้อมกับ App Twin ทำให้เพื่อน ๆ สามารถใช้งาน Facebook ได้พร้อมกัน 2 Account รวมถึงแอปพลิเคชันสำหรับแชทยอดนิยมของคนทั่วโลกอย่าง WhatApp ก็สามารถใช้งาน App Twin ได้เช่นกัน หวังว่าในอนาคตเราอาจจะได้เห็นแอปพลิเคชันอื่น ๆ รองรับ App Twin บ้างนะครับ ถ้าเป็น Line รองรับ App Twin เนี่ยจะแจ่มมากเลย
ในเรื่องระบบเสียงของ Huawei Mate 9 ใช้ระบบ DTS Sound รองรับการฟังเพลงได้หลากหลายรูปแบบและยังรองรับไฟล์เพลงที่มีคุณภาพสูงอย่าง Hi-Res Audio โดยตัว DTS จะทำงานเฉพาะตอนเสียบหูฟังเท่านั้นนอกจากนี้ Huawei Mate 9 ก็ยังมีเครื่องมืออื่นๆที่น่าสนใจอีกไม่ว่าจะเป็น Smart WiFi+ ที่จะรู้ว่าสถานที่เราอยู่มี WiFi สัญญาณแรงๆพร้อมเชื่อมต่อหรือไม่และสลับ 4G ให้อัตโนมัติเมื่อสัญญาณ WiFi อ่อน, ฟีเจอร์ Mirror Share ที่สามารถแชร์ภาพหน้าจอให้กับเครื่องอื่น, Screen Record บันทึกภาพหน้าจอได้ทั้งภาพนิ่งและวีดีโอและยังสามารถจับภาพหน้าจอแบบยาวได้รวมถึงฟีเจอร์ Huawei Share ที่ช่วยให้การแชร์ไฟล์ระหว่างเครื่อง Huawei Mate 9 ด้วยกันเป็นเรื่องง่ายสุดๆ
Camera
หนึ่งในสิ่งที่เป็นจุดแข็งของ Huawei Mate 9 ก็คงหนีไม่พ้นกล้อง โดย Huawei Mate 9 มาพร้อมกับกล้องคู่ Leica Summarit H f/2.2 ที่ระยะ 27 มิลลิเมตร ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล (Monochrome) และความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (RGB) มีกันสั่น OIS ระบบโฟกัส 4 in 1 ได้แก่ Phase Detection, Laser Auto Focus, Contrast Focus และ Depth Focus ที่ได้ทั้งความรวดเร็ว และความแม่นยำ สามารถซูม 2 เท่าแบบ Hybrid Zoom (ใช้ฮาร์ดแวร์)
ซอฟท์แวร์กล้องก็แทบจะถอดแบบจากตอน Huawei P9 มาเลย หน้าตา UI ทำความเข้าใจไม่ยาก โหมดที่น่าสนใจก็คงหนีไม่พ้น Monochrome (โหมดภาพขาวดำ), Vivid Color อันเป็นเอกลักษณ์ของ Leica, โหมด Refocus ถ่ายหน้าชัด – หลังเบลอแบบเนียน ๆ ส่วนโหมดอื่น ๆ ก็มีให้เลือกใช้งานกันอย่างจุใจเช่นกัน
ส่วนตัวผมยอมรับเลยว่า ติดใจกล้องของ Huawei Mate 9 มาก ๆ เพราะเป็นกล้องมือถือที่ถ่ายได้สนุก โฟกัสแม่นยำ และรวดเร็ว ไฟล์ภาพที่ได้ประทับใจ ถ่ายกลางคืนก็โอเคทีเดียว ที่สำคัญคือ เสียงชัตเตอร์แบบ Leica Style ก็ยังมีให้เห็นใน Huawei Mate 9 เหมือนเคย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง Huawei Mate 9 ก็ตามนี้ครับ
กล้องหน้าของ Huawei Mate 9 ใช้เซนเซอร์ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.9 มี Auto Focus รับรองว่าถ่ายชัดไม่มีเบลอ โหมด Beauty ก็มีมาให้ และแน่นอนว่า Perfect Selfie อันเลื่องชื่อก็ยังคงมีใน Huawei Mate 9 อยู่
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า Huawei Mate 9
Performance
ด้วยความแรงจากชิปเซ็ต Hisilicon Kirin 960 ชิปเซ็ตแบบ Octa-core ความเร็ว 2.4 GHz แบ่งออกเป็น CPU แบบ Cortex A73 Quad-core ความเร็ว 2.4 GHz สำหรับประมวลผลหนัก ๆ เช่น การเล่นเกม 3D, CPU แบบ Cortex A53 Quad-core ความเร็ว 1.8 GHz ใช้ในการประมวลผลปกติทั่วไป ส่วนการประมวลผลที่ไม่ต้องการประสิทธิภาพสูง จะใช้เป็นชิป i6 coprocessors ชิปเซ็ตช่วยประมวลผล ที่กินพลังงานต่ำ ทำให้ใช้งานแบตเตอรี่ได้นาน และความร้อนของตัวเครื่องไม่สูงจนเกินไป ชิปกราฟฟิคของ Huawei Mate 9 ใช้ GPU Mali-G71 ซึ่งเป็นชิปกราฟฟิคที่แรงกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 180% ต้องบอกว่า Huawei Mate 9 เป็นมือถือรุ่นแรกที่ใช้ GPU Mali-G71 เลยล่ะครับ
เมื่อรวมกับสเปคด้านอื่น ๆ เช่น Ram 4 GB, ความจุในตัวเครื่อง 64 GB แบบ UFS 2.0 และการจัดการทรัพยากรเครื่องที่ดีของ EMUI 5.0 ที่มีทั้ง Machine Learning และการทำ Defragment ข้อมูล ก็ทำให้ประสิทธิภาพของ Huawei Mate 9 ออกมาน่าประทับใจในเรื่องของความเร็ว และความลื่นไหลในการใช้งาน ผมทดสอบกับเกมหลาย ๆ เกมบน Google Play Store ก็พบว่าไม่มีเกมไหนที่ Huawei Mate 9 เล่นไม่ได้ แล้วก็เล่นได้ลื่นทุกเกมซะด้วย ส่วนการทดสอบด้วย AnTuTu Benchmark ก็แรงทะลุระดับ 100,000 คะแนน++ แม้จะไม่ได้แรงที่สุด แต่ในการใช้งานจริง บอกเลยว่าสู้ได้ทุกแบรนด์ครับ
นอกจากนี้ Huawei Mate 9 ยังรองรับ Cat.12 4G LTE ที่รองรับการดาวน์โหลดสูงสุดที่ 600 Mbps เป็นมือถือรุ่นแรกในโลกที่รองรับ 4 Carrier aggregation (4CA) หรือการรวมคลื่นความถี่ 4 คลื่นเข้าด้วยกัน โดยส่วนมาก ตอนนี้ที่ล้ำที่สุดยังเป็นแค่ 3CA เท่านั้น และยังรองรับการใช้งานเครือข่ายกว่า 217 ประเทศทั่วโลก
ในส่วนของการจัดการพลังงาน แบตเตอรี่ของ Huawei Mate 9 ให้มาที่ความจุ 4000 mAh สามารถใช้งาน ยาวนานแบบไม่ติดปัญหาอะไรแน่นอน ตามสเปคระบุไว้เลยว่าในการใช้งานหนัก จะสามารถใช้งานได้นานถึง 1.7 วัน แต่ถ้าใช้งานทั่วไป 2 วันขึ้นไปเป็นอย่างต่ำ จากการที่ลองใช้เครื่องรีวิว Huawei Mate 9 ก็พบว่าแบตเตอรี่เครื่องนี้อึดจริงอะไรจริง ผมนับครั้งชาร์จได้เลยครับ
ระบบชาร์จเร็วก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ Huawei Mate 9 ทำได้ดีมาก กับระบบ Huawei Super Charge ที่สามารถจ่ายไฟได้แรงถึง 5 Amp ทั้ง ๆ ที่มีแรงดันไฟฟ้าเพียง 5V เท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากระบบชาร์จเร็วของแบรนด์อื่น ที่มักจะมีแรงดันไฟฟ้าสูงถึง 9V ขึ้นไป ก็เลยส่งผลให้ Super Charge ของ Huawei Mate 9 ทั้งชาร์จเร็ว แถมยังปลอดภัยอีกต่างหาก ไม่มีปัญหาแบตเตอรี่ระเบิดระหว่างชาร์จแน่นอน รวมถึงอุณหภูมิของตัวเครื่องก็จะร้อนน้อยกว่าคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัด
การชาร์จเร็วของ Huawei Mate 9 ด้วยฟีเจอร์ Super Charge ตามสเปคก็คือมันสามารถจ่ายไฟจาก 0 – 58% ได้ในเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น ถ้าชาร์จไฟเพียง 20 นาที สามารถใช้งาน Huawei Mate 9 ได้นานถึง 1 วันเลยทีเดียว เมื่อรวมกับฟีเจอร์ชื่อว่า Low Resolution Screen ที่ช่วยปรับให้หน้าจอลดความละเอียดลง กินไฟน้อยลง, Power Saver และ Ultra Power Saver ที่มีให้เลือกปรับใช้ตามสถานการณ์แล้ว ในแง่ของการใช้งาน Huawei Mate 9 คงไม่ต้องพึ่ง Powerbank ล่ะครับ
ปิดท้ายด้วย Diamond Service หรือประกันระดับเทพจาก Huawei สำหรับ Huawei Mate 9 โดยเฉพาะ ได้แก่
- ประกันหน้าจอแตก 1 ครั้งภายใน 3 เดือนที่ซื้อเครื่องครอบคลุมในส่วนของอุบัติเหตุด้วย
- นัดรับเครื่องซ่อมถึงบ้าน (Door to Door Service)
- ให้คำปรึกษาแบบ VIP ไม่ว่าจะเป็นการลง Apps และทำความสะอาดเครื่อง
- การันตีซ่อมเครื่องทุกอาการภายใน 1 ชั่วโมงถ้าทำไม่ได้เปลี่ยนเครื่องใหม่ให้เลย
- ลดราคาอะไหล่เมนบอร์ดและหน้าจอสำหรับ Huawei Mate 9 ที่อยู่นอกเงื่อนไขการรับประกัน (ภายใน 1 ปี)