หลังจาก Zenfone รุ่นต่างๆ ออกวางจำหน่ายก็นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับวงการสมาร์ทโฟน เพราะนอกจากจะมุ่งเน้นในด้านของความคุ้มค่าแล้ว ความโดดเด่นในด้านของดีไซน์ก็ถือได้ว่าไม่เป็นรองใครอีกด้วย พร้อมทั้งราคาของ Zenfone รุ่นต่างๆยังเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานได้อย่างทั่วถึง สเปคของตัวเครื่องก็เรียกได้ว่าออกมาให้เลือกซื้อกันชนิดที่ว่าเลือกไม่ถูกกันเลย และในวันนี้ผมจะมารีวิวอีกหนึ่งสมาชิกของอารยธรรมเซนซึ่งก็คือ ASUS ZenFone Selfie นั่นเองครับ ซึ่งในรุ่นนี้จะมุ่งเน้นความโดดเด่นไปที่กล้องทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดยสเปคของตัวเครื่องจะประกอบด้วย
สเปค ASUS Zenfone Selfie (ZD551KL)
- ซีพียู Snapdragon 615 ความเร็ว 1.5 GHz
- จีพียู Adreno 405
- Android 5.0 มาพร้อม Zen UI 2.0
- แรม 3 GB
- หน่วยความจำภายใน 32 GB
- หน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียดแบบ Full HD ( 1080 x 1920 ) Corning Gorilla Glass 4
- กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล PixelMaster 2.0 พร้อมแฟลชคู่แบบ Real Tone และเลเซอร์โฟกัส
- กล้องหน้า 13 ล้านพิกเซล PixelMaster 2.0 พร้อมแฟลชคู่แบบ Real Tone
- รองรับ Micro SD สูงสุด 128 GB
- รองรับการใช้งาน 2 ซิม 3G/4G LTE ทุกเครือข่าย
- แบตเตอรี่ Li-Polymer 3000 mAh ( สามารถถอดเปลี่ยนได้ )
- ราคา 8,990 บาท
- สเปคแบบเต็มๆของเครื่อง
ดูจากสเปคคร่าวๆเราจะเห็นได้ว่า ASUS Zenfone Selfie ของเรานั้นเรียกได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างจาก Zenfone รุ่นอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสำหรับใครที่ชอบถ่ายภาพแบบ Selfie แล้วคงจะถูกใจไม่น้อยเลยทีเดียว
จุดเด่น
– ตัวเครื่องมีแรม 3 GB ทำให้การใช้งานหลายๆแอพส์ทำได้ราบรื่น
– ใช้งาน 3G/4G LTE ได้อย่างไร้ปัญหา
– งานประกอบของตัวเครื่องทำได้ดี
– แบตเตอรี่สามารถถอดเปลี่ยนได้
– กล้องถ่ายภาพเป็นระบบเลเซอร์โฟกัส
– ซีพียูเป็น Snapdragonใช้งานได้ทุกแอพส์
ข้อสังเกต
– ไม่มีเทคโนโลยีชาร์จเร็ว
– เท่าที่ใช้งานพบปัญหา Bluetooth หลุดบ่อย
– ปุ่ม Power ก็ยังคงอยู่ด้านบนในรุ่นนี้ซึ่งค่อนข้างกดยาก และ ปุ่มเพิ่ม/ลดเสียงอยู่ที่ด้านหลังตัวเครื่องเวลาใช้งานจริงค่อนข้างลำบาก
– ตัวเครื่องค่อนข้างมีน้ำหนัก
บทสรุป
BEST PRICE
Design
พูดถึงเรื่องดีไซน์กับบ้างดีกว่า ASUS Zenfone Selfie จะมีทั้งหมด 6 สีด้วยกันนั่นคือสีขาว,แดง,ชมพู,ฟ้า,เทา และสีทอง เครื่องที่เราจะมารีวิววันนี้จะเป็นสี ชมพูครับASUS Zenfone Selfie มาพร้อมดีไซน์ที่เราอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตากันดี เพราะเรียกได้ว่าการออกแบบของ Zenfone ทุกรุ่นนั่นมักจะมีดีไซน์คล้ายๆกันหมด บางรุ่นนี่เหมือนกันเป๊ะเลย ด้านหน้าของตัวเครื่องจะเป็นหน้าจอ IPS ขนาด 5.5 นิ้วแบบ Full HD ( 1080 x 1920 ) พร้อมเทคโนโลยีกันรอยขีดข่วนแบบ Corning Gorilla Glass 4 ความหนาแน่นพิกเซลอยู่ที่ 403 ppi
แน่นอนว่าหน้าจอของ ASUS Zenfone Selfie ยังคงมีความสดใสและสีสันที่สวยงามไม่แพ้ Zenfone รุ่นอื่นๆ หน้าจอสามารถสู้แสงแดดได้ดีเหมือนเช่นเคย การตอบสนองต่อการสัมผัส ก็ทำได้อย่างไม่มีปัญหาหน่วงหรือช้าแต่อย่างใด พื้นที่ของหน้าจอคิดเป็นประมาณ 70 % ของตัวเครื่องด้านหน้า เทียบเท่ากับรุ่นอื่นๆ ด้านบนของหน้าจอจะประกอบไปด้วยกล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซลที่มีเทคโนโลยี PixelMaster 2.0 มาช่วยลด Noise ของภาพที่เราถ่ายออกมา และช่วยเพิ่มคมชัดมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมาพร้อมแฟลชคู่แบบ Real Tone ที่จะช่วยให้สีผิวดูสมจริงมากยิ่งขึ้น ใกล้กันเป็นลำโพงสนทนา และและเซ็นเซอร์ Proximity Sensor ที่จะช่วยปิดหน้าจอในขณะที่เราสนทนา
ด้านล่างของหน้าจอจะเป็นปุ่มควบคุมแบบสัมผัสของตัวเครื่องซึ่งในรุ่นนี้ก็ยังคงไม่มีไฟ LED ใส่มาให้ครับ ทำให้การใช้งานเวลากลางคืนอาจจะต้องอาศัยความเคยชินอยู่บ้าง ด้านล่างสุดของหน้าจอจะเป็นพลาสติกขัดเงาให้ความรู้สึกคล้ายโลหะ เหมือนรุ่นก่อนๆ ด้านข้างของตัวเครื่องบางเพียง 3.9 มิลลิเมตรเท่านั้น ทั้งสองด้านไม่มีปุ่มควบคุมใด ๆนอกจากช่องสำหรับแกะฝาหลังที่ด้านขวาของหน้าจอ ด้านบนของตัวเครื่องมีปุ่มสำหรับ ปิด/เปิด เครื่อง ใกล้ๆกันเป็นช่องสำหรับเสียบหูฟังแบบ 3.5 มิลลิเมตร และไมค์ตัดเสียงรบกวน ด้านล่างของตัวเครื่องจะมีช่องสำหรับชาร์จแบตเตอรี่และเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์แบบ Micro USB และไมค์สนทนา
ด้านหลังของตัวเครื่อง เป็นพลาสติกขัดเงาสีสันสดใส เช่น สีชมพูที่เรานำมารีวิวนั้นอาจจะออกแบบมาเพื่อเอาใจผู้หญิงโดยเฉพาะก็ว่าได้ ด้านหลังของตัวเครื่องจะประกอบไปด้วย กล้องขนาด 13 ล้านพิกเซลพร้อมเทคโนโลยี Pixel Master 2.0 โครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์ ที่ด้านข้างของกล้องจะเป็นแฟลชคู่ LED แบบ Real Tone เช่นเดียวกับกล้องด้านหน้าของตัวเครื่อง และสิ่งที่เพิ่มเข้ามาในรุ่นนี้คือมี เทคโนโลยีเลเซอร์โฟกัสอัตโนมัติเพิ่มเข้ามาอีกด้วย ด้านล่างของกล้องจะเป็นปุ่มลด/เพิ่ม เสียง และเราจะเห็นโลโก้ ASUS เด่นชัดอยู่ตรงกลางฝาหลังเหมือนในรุ่นอื่นๆของ ASUSด้านล่างจะเป็นช่องลำโพง ซึ่งยังคงเป็นลำโพงเดี่ยวเหมือนเดิมครับ เสียงที่ออกมาจากลำโพงจัดว่าธรรมดาครับ ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ
ตัวเครื่องมีงานประกอบที่แน่นหนาดีทีเดียวเรียกว่ามีสีสันหวานๆน่ารักๆ แต่ผมสังเกตว่าฝาหลังของตัวเครื่องยังคงค่อนข้างแกะยากอยู่เหมือนเดิมครับ เมื่อเปิดฝาหลังจะพบแบตเตอรี่ขนาด 3000 mAh ซึ่งในรุ่นนี้เราสามารถถอดเปลี่ยนเองได้แล้ว ช่องใส่ซิมการ์ดแบบ Micro Sim 2 ช่อง ช่องใส่ Micro SD ( รองรับความจุสูงสุด 128 GB )และที่ฝาหลังด้านในจะไม่มี NFC ใส่มาให้ในรุ่นนี้เหมือนที่ใส่ใน ASUS Zenfone 2 และ ASUS Zenfone 2 Deluxe
สิ่งที่อาจจะต้องตำหนิอีกเช่นเคยนั่นคือแผงควบคุมยังไม่ใส่ไฟ LED มาให้ เพื่อการใช้งานในเวลากลางคืนที่ดีขึ้น พูดถึงเรื่องการพกพาก็ทำได้สะดวกครับ เพราะตัวเครื่องมีน้ำหนักเพียง 170 g เท่านั้น ตัวเครื่องมีดีไซน์โค้งมนพอดีมือเหมือน Zenfone รุ่นอื่นๆที่ผ่านมา การพกพาไปตามที่ต่างๆก็ทำได้สะดวก เช่นเดียวกับ Zenfone รุ่นอื่นๆ แต่สำหรับบางคนอาจมองว่าตัวเครื่องมีน้ำหนักมากไปสักนิดหนึ่ง
Software
ASUS Zenfone Selfie มาพร้อม Android 5.0 ครอบทับด้วย Zen UI 2.0 เช่นเดียวกับ ASUS Zenfone 2 แน่นอนว่ารองรับแอพพลิเคชั่นใหม่ๆได้อย่างสมบูรณ์ รวมไปถึงยังมีแอปพลิเคชันติดตั้งมาให้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันพื้นฐานจาก Google และแอปพลิเคชัน เบ็ดเตล็ด ต่างๆ อย่างเช่น แอปพลิเคชันเครื่องคิดเลข, เครื่องบันทึกเสียง, เข็มทิศ และวิทยุ FM Stereo
นอกจากแอพพลิเคชั่นจากGoogle แล้ว ASUS ยังใส่ฟีเจอร์ต่างๆที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานมาให้อีกด้วย อาทิเช่น ตัวจัดการพลังงาน หรือ Do It Later ที่เสมือนเป็นเลขาส่วนตัวในเรื่องของตารางนัดหมายต่างๆ หรือจะเป็น Auto-Start Manager ที่จะช่วยจัดสรรแอพส์ที่เราต้องการจะให้ทำงานทันทีหลังเปิดเครื่องซึ่งก็มีประโยชน์เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีAudio Wizard ที่จะช่วยทำให้เสียงที่ออกมานั้นดียิ่งขึ้น การเข้าถึง Google Now ก็ยังทำได้อย่างสมบูรณ์แบบอีกเช่นเคยด้วยการกดปุ่ม Home ค้างไว้ประมาณ 2 วินาทีเท่านั้น
ASUS Zenfone Selfie รุ่นที่เรานำมารีวิวนั้นมีความจำภายใน 32 GB ( เหลือให้ใช้งานจริงประมาณ 25 GB และเรายังสามารถใส่ Micro SD เพิ่มได้อีก 128 GB ถือว่าเยอะมากเลย และด้วย Ram ที่ให้มาถึง 3 GB ( เหลือให้ใช้จริงราวๆ 1.4 GB ) ซึ่งเท่านี้ก็สามารถใช้งานแอพส์ต่างๆได้หลายแอพส์เรียกว่าเพียงพอต่อการใช้งานได้เป็นอย่างดี
Camera
มาดูเรื่องกล้องกันบ้างดีกว่าครับ ASUS Zenfone Selfie มาพร้อมกับกล้อง 13 พิกเซลพร้อมเทคโนโลยี PixelMaster 2.0 ที่จะช่วยให้ภาพมีความคมชัดมากขึ้นไปอีกครับ แต่สิ่งที่พิเศษเอามากๆนั่นคือในรุ่นนี้จะมาพร้อมกล้องหน้าขนาด 13 ล้านพิกเซล เช่นเดียวกับกล้องหลังแต่ในครั้งนี้จะเพิ่มเทคโนโลยีโฟกัสอัตโนมัติด้วยลำแสงเลเซอร์เข้ามา ช่วยให้การโฟกัสในจุดต่างๆทำได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยสามารถโฟกัสได้ไวถึง 0.2 วินาทีเท่านั้น
ในส่วนของกล้องหน้านั้นถือว่าชัดขึ้นมากกว่าเดิมเพราะมีความละเอียดที่สูงกว่านั้นเองและทำหน้าที่ในระดับทั่วไปได้เป็นอย่างดี ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วเรื่องกล้องของ ASUS Zenfone Selfie นั้นเรียกได้ว่าไม่แตกต่างจาก ASUS Zenfone 2 หรือ ASUS Zenfone 2 Deluxe เลย ฟังก์ชั่นต่างๆก็ครบครันเหมือนเดิม โดยกล้องทั้งหน้าและหลังจะมีโหมดการถ่ายภาพมากถึง 17 โหมดด้วยกันเลยทีเดียว แต่ที่ผมจะนำเสนอจะเป็นโหมดที่เราใช้งานกันบ่อยๆนั่นก็คือ โหมด Beautification,Low Light,Super Resolution และ Manual ครับ
- Beautification หรือเราอาจเรียกว่าโหมดบิวตี้ก็ได้ครับ โหมดนี้อาจจะถูกใจสาวๆที่ชอบถ่ายเซลฟี่ครับ เพราะสามารถปรับแต่งได้หลากหลายครับ ไม่ว่าจะเป็นผิวเนียน ปรับโทนสีผิว หน้าเรียว ตาโต ก็สามารถปรับได้ตามใจครับ
- Low Light คือการปรับแต่งเม็ดพิกเซลให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อเพิ่มความสว่างต่อพิกเซลให้มากขึ้น พูดง่ายๆก็คือสามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น แต่การเปิดใช้ฟังก์ชั่นนี้ความละเอียดของกล้องถ่ายภาพจะถูกลดลงเหลือเพียง 3 ล้านพิกเซลเท่านั้นแต่ได้รายละเอียดของภาพที่ชัดเจนขึ้นครับ
- Super Resolution เป็นโหมดที่ทำให้เราสามารถถ่ายภาพด้วยความละเอียดสูงถึง 52 ล้านพิกเซลโดยหลักการทำงานคือระบบจะถ่ายภาพไว้ทั้งหมด 4 ครั้งแล้วจึงประมวลเข้าเป็นภาพความละเอียดสูง เหมาะสำหรับการนำภาพไปปรับแต่งต่อไป แต่ข้อเสียของการถ่ายภาพด้วยโหมดนี้นั่นก็คือไฟล์ภาพจะค่อนข้างใหญ่เพราะเกิดจากการรวมภาพ 4 ภาพเข้าด้วยกันแต่การถ่ายภาพด้วยโหมดนี้จะได้รายละเอียดของภาพมากกว่าการถ่ายแบบปกติครับ
- Manual หรือบางคนอาจจะเรียกว่าโหมดโปรครับ ซึ่งในโหมดนี้เราสามารถปรับแต่งค่าต่างๆของกล้องได้ทั้งหมด เช่น ค่า White Balance ซึ่งปรับได้ทีละ 50K ค่าความไวแสง (ISO) ที่ปรับได้ตั้งแต่ 50-800 ค่าความเร็วชัตเตอร์ก็สามารถปรับได้นานสุดที่ 1/2 วินาที ค่าการชดเชยแสง และ ระยะโฟกัสก็สามารถปรับได้ตามใจชอบครับ จะหน้าชัดหลังเบลอก็สามารถทำได้ง่ายดายทีเดียวครับ
Performance
พูดถึงประสิทธิภาพของการทำงานกันบ้างครับ ASUS Zenfone Selfie มาพร้อมกับซีพียู Snapdragon 615 แบบ 64-bit เมื่อพูดถึงชิพ Snapdragon แล้วหลายคนคงคลายกังวลไปได้อย่างแน่นอนเพราะทุกวันนี้ซีพียู Snapdragon ถือเป็นที่สุดสำหรับการใช้งาน
เมื่อทดสอบด้วยแอพส์ยอดนิยมอย่าง Antutu Benchmark พบว่า ASUS Zenfone Selfie สามารถทำคะแนนอยู่ที่ 36,942 คะแนนเท่านั้น จะเห็นได้ว่าคะแนนที่ออกมานั้นอยู่ในเกณฑ์ปานกลางไม่สูงมากและก็ไม่น้อยจนน่าเกลียดถือว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา
และเช่นเดียวกับ ASUS Zenfone 2 การใช้งานกราฟิกหนักๆเช่น เล่นเกม แนะนำให้เปลี่ยนโหมดการใช้งานเป็นโหมด Performance ซึ่งจะช่วยเร่งให้ซีพียูนั้นทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หลังจากทำการทดสอบเกมดังๆที่ใช้ทรัพยากรเครื่องสูงๆอย่าง Asphalt 8,Modern Combat ก็พบว่าการประมวลผลทำได้พอใช้ มีอาการกระตุกเป็นช่วงๆ
เท่าที่สังเกตมามือถือรุ่นที่ใช้ Snapdragon 615 และจีพียู Adreno 405 มักจะพบกับปัญหานี้อยู่เช่นกันอาจจะต้องรอการอัพเดทเพื่อแก้ปัญหาในจุดนี้กันต่อไป แต่ถ้าเป็นเกมง่ายๆที่ไม่ต้องการใช้สเปคสูงมากนักก็สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล ไม่ค่อยพบปัญหาภาพกระตุกเท่าไรนัก เนื่องจากซีพียูระดับนี้สามารถเล่นเกมที่มีการประมวลผลในระดับปานกลางได้เป็นอย่างดี
การเชื่อมต่อต่างๆ เช่น Wifi ก็สามารถเชื่อมต่อได้อย่าง เนื่องจากชิพ Snapdragon นั้นขึ้นชื่อเรื่องประสิทธิภาพอยู่แล้ว และทาง ASUS ก็ได้ปล่อยซอฟท์แวร์ออกมาให้อัพเดทแก้บัคต่างๆของระบบจนเรียกได้ว่าระบบค่อนข้างสเถียร การใช้งานพบปัญหาน้อยมาก การใช้งานแบตเตอรี่ถือว่าจัดสรรพลังงานได้ค่อนข้างดี สามารถใช้งานในระยะเวลานานได้อย่างต่อเนื่อง
ASUS Zenfone Selfie นั้น มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 3,000 mAh ที่เรียกว่ากำลังพอใช้งานได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้เรายังสามารถเลือกโหมดประหยัดพลังงานแบบต่างๆเพื่อยืดอายุการใช้งานให้นานยิ่งขึ้น แต่เสียดายที่ในรุ่นนี้ไม่มีเทคโนโลยีชาร์จเร็วเข้าใส่เข้ามาด้วย ทำให้การชาร์จแบตเตอรี่นั้นค่อนข้างค่อนข้างที่จะใช้เวลาอยู่สักหน่อย แต่ประสิทธิภาพโดยรวมนั้นสามารถใช้งานทั่วๆไปได้เป็นอย่างดี เกมเล็กๆน้อยหรือแอพส์ทั่วไปนั้นสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Overall
และมาถึงบทสรุปจากการใช้งานจริงก็พบว่า ASUS Zenfone Selfie นั้นเรียกว่าให้คุณภาพดีเกินราคา 8,990 บาท ซึ่งตามปกติแล้วมือถือในราคาประมาณนี้มักจะไม่ใช้ซีพียูระดับนี้ และปัจจุบันเราสามารถพบซีพียู Snapdragon 615 ในเครื่องที่มีราคาตั้งแต่ 12,000 บาทขึ้นไป อาทิเช่น Vivo X5Pro,Oppo R7 Plus,HTC Desire 826 ชี้ให้เห็นถึงความคุ้มค่าที่ใส่มาในราคาเพียง 8,990 บาท แรมขนาด 3 GB ที่ใช้ทำให้การใช้งานหลายๆแอพส์ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป แต่อาจมีข้อเสียคือแอพส์ที่ต้องใช้การประมวลผลสูงอาจพบปัญหากระตุกบ้างในบางครั้ง
และที่จะเป็นไฮไลท์สำหรับรุ่นนี้เลยก็คือกล้องหน้าที่มีขนาด 13 ล้านพิกเซล ที่มีเอฟเฟคให้เล่นถึง 17 เอฟเฟคเพียงแค่ 3 อย่างที่ผมได้กล่าวมานั้นก็เรียกว่าเหมือนได้เครื่องสเปคราคา 1,5000 บาทมาใช้งาน ในราคาเพียง 8,990 บาทเท่านั้น ซึ่งราคานี้อาจจะทำให้คู่แข่งที่มีราคาหรือสเปคใกล้เคียงกันตกที่นั่งลำบากเลยก็เป็นได้ ในส่วนของวัสดุของตัวเครื่องนั้นก็ยังแอบเสียดายที่ตัวเครื่องยังคงใช้พลาสติกเป็นหลัก และในรุ่นนี้ไม่มีเทคโนโลยีชาร์จเร็วเข้ามาให้ แต่เพียงเท่านี้ก็ถือได้ว่าเป็นมือถือที่ตอบโจทย์ใครหลายคนได้เป็นอย่างดีเลยครับ