เพื่อน ๆ คิดว่ามือถือที่มีหน้าจอ 5.5 นิ้ว HD, บอดี้โลหะ มีระบบสแกนลายนิ้วมือ ควรจะมีราคาอยู่ที่เท่าไหร่กัน? 8,000 บาท, 6,000 บาท, 5,000 บาท สำหรับมือถือยี่ห้ออื่นก็คงจะประมาณนี้แหละครับ แต่ถ้าเป็นมือถือที่ผมจะมารีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันในวันนี้เนี่ย บอกเลยว่ามันมีราคาค่าตัวไม่ถึง 4,000 บาทเท่านั้น แต่มี 3 สิ่งที่ผมกล่าวไว้ในข้างต้น ไม่ว่าจะเป็น บอดี้ที่ใช้วัสดุเป็นโลหะ, หน้าจอขนาดใหญ่ 5.5 นิ้ว ความละเอียด HD และระบบเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ
โทรศัพท์มือถือ ASTON Luxury 4G เป็นโทรศัพท์ที่ผมจะมารีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันครับ โดย ASTON เป็นมือถือที่จัดอยู่ในประเภท House Brand คือไม่ได้มีขายกันทั่วโลก และถ้าข้อมูลผมไม่ผิดพลาด มือถือ ASTON ก็น่าจะขายอยู่แถว ๆ บ้านเรา แล้วก็ประเทศเพื่อนบ้านนี่แหละครับ แต่เห็นว่าเป็นมือถือ House Brand แบบนี้ สิ่งที่มีใน ASTON Luxury 4G ส่วนตัวผมว่ามันก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน เมื่อเทียบกับราคาค่าตัว 3,990 บาท
สเปค ASTON Luxury 4G
- หน้าจอ 5.5 นิ้ว ความละเอียด 720×1280 พิกเซล HD
- หน่วยประมวลผล MediaTek MT6735P Quad-core 1 GHz
- หน่วยประมวลผลกราฟิก Mali-T720 GPU
- แรม 1GB
- รอม 16GB
- รองรับ Micro-SD สูงสุด 128GB
- กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล
- กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล
- รองรับ 2 ซิม
- รองรับ 3G : 900/2100MHz
- รองรับ 4G LTE : 850/900/1800/2100MHz
อุปกรณ์ในกล่องของ ASTON Luxury 4G ก็ให้มาเยอะสไตล์มือถือราคา 3,990 บาท คือนอกจากตัวเครื่อง, สายชาร์จกับอแดปเตอร์แล้ว ยังมีหูฟังกับเคสฝาพับติดมาให้ด้วย โดยเฉพาะตัวเคสฝาพับนี่ยอมใจจริง ๆ เพราะออกแบบมาได้ Universal มาก ๆ คือใช้การติดกับตัวเครื่องด้วยเทปกาว 2 หน้า ใช่แล้วล่ะ เพื่อน ๆ อ่านไม่ผิดหรอก!! เคสฝาพับ ASTON Luxury 4G ติดกับตัวเครื่องด้วยเทปกาวสองหน้าครับ ยังดีที่พอเราปิดฝาพับ ตัวเครื่อง ASTON Luxury 4G ก็สามารถแสดงนาฬิกาผ่านช่องวงกลมบริเวณเคสฝาพับได้อยู่
จุดเด่น
ข้อสังเกต
บทสรุป
BEST PRICE
Design
ASTON Luxury 4G มาพร้อมกับดีไซน์ที่ส่วนตัวผมค่อนข้างประทับใจกับมือถือราคา 3,990 บาท คือได้มือถือบอดี้โลหะ วัสดุฝาหลังประมาณ 80% เป็นโลหะ ส่วนพื้นที่ด้านล่างและด้านบนเป็นพลาสติก ในแง่ของความหรูหรานั้น ด้านหลังของ ASTON Luxury 4G ผมว่าไม่เป็นรองใครเหมือนกัน ฝาหลังเป็นโลหะขัดลาย มีด้วยกัน 2 สี คือสีทอง และสีชมพู Rose Gold ทันกระแสแน่นอน
รายละเอียดทางด้านหลังของ ASTON Luxury 4G ประกอบไปด้วยกล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ใช้เซนเซอร์ของ Sony แต่ก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นเซนเซอร์รุ่นไหน ตัวกล้องนูนขึ้นมาจากตัวเครื่องเล็กน้อย ใต้กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล ติดแฟลช Dual LED แบบสีเดียวมาให้ เปิดไฟฉายนี่สว่างจ้าแน่นอน
ด้านล่างแฟลช Dual LED มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส ที่เว้าลงไปจากฝาหลังเล็กน้อย ตัวเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือสามารถปลดล็อกโทรศัพท์ได้ (ความเร็วพอ ๆ กับ Touch ID ของ iPhone 5s) และเราสามารถแตะเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือขณะที่หน้าจอดับอยู่ เพื่อเป็นการปลดล็อกตัวเครื่องได้ทันที โดยที่ไม่ต้องกดปุ่ม Power เพื่อเปิดหน้าจอก่อน
ด้านหน้าของ ASTON Luxury 4G สิ่งแรกที่ผมรู้สึกว่า ไหน ๆ ก็ทำแล้ว น่าจะใส่ไฟ LED ไว้ที่ใต้ Navigation Key ทั้ง 3 ปุ่มด้วยเถอะ เพราะใช้ตอนกลางคืนแล้วกดผิดกดถูก ด้วยความไม่ชิน บวกกับตำแหน่งของปุ่มที่เล็กซะเหลือเกิน โดยปุ่ม Navigation Key ของ ASTON Luxury 4G ไล่จากขวาไปซ้าย จะเป็นปุ่มเมนู, ปุ่มโฮม และปุ่มย้อนกลับ เมื่อกดปุ่มโฮมค้างไว้จะเป็นการเปิดหน้า Recent App ครับ
หน้าจอ ASTON Luxury 4G มีขนาดอยู่ที่ 5.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ HD พาแนลหน้าจอเป็นแบบ TFT แต่ก็ไม่ได้มีมุมมองภาพที่แย่จนเกินไป การตอบสนองเมื่อทำการทัชสกรีนก็จัดว่าใช้ได้ แต่ก็ไม่ได้ลื่นติดมือ อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้เมื่อเทียบกับราคาค่าตัวของ ASTON Luxury 4G ที่ 3,990 บาท (สามารถใส่ Code ส่วนลดเพื่อลดราคาเพิ่มได้อีกใน Lazada)
ด้านบนหน้าจอ ASTON Luxury 4G ประกอบไปด้วยลำโพงสำหรับสนทนา, เซนเซอร์วัดแสง และกล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช LED เซนเซอร์ Sony เช่นเดียวกันกับกล้องหลัง
ด้านข้างของตัวเครื่อง ASTON Luxury 4G เริ่มจากทางด้านขวา ประกอบไปด้วยช่องใส่ซิมจำนวน 2 ช่อง โดยช่องเล็กจะเป็นซิม 2 รองรับซิมการ์ดขนาด Nano Sim ส่วนช่องใหญ่จะเป็นช่องใส่ซิม 1 (Nano Sim) กับ Micro SD Card ที่รองรับความจุสูงสุด 128 GB ข้อสังเกตคือตัวถาดซิมจะใส่ยากเล็กน้อย
ด้านซ้ายของตัวเครื่องเป็นปุ่ม Power, ปุ่มปรับระดับเสียง ด้านล่างประกอบไปด้วยพอร์ท Micro USB สำหรับเชื่อมต่อข้อมูลและชาร์จไฟ กับลำโพงหลักของตัวเครื่อง ASTON Luxury 4G ส่วนช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรจะอยู่ทางด้านบนของตัวเครื่อง
เคสที่แถมมาให้ในกล่อง ASTON Luxury 4G เป็นเคสฝาพับตามที่ผมได้เกริ่นไว้ในส่วนนำของรีวิว ASTON Luxury 4G คือเป็นเคสฝาพับที่ติดกับตัวเครื่องด้วยเทปกาวสองหน้า และสามารถใช้ตั้งตัวเครื่องได้ แต่ต้องระวังเวลาแกะเคส อาจจะทำให้ตัวเคสเกิดความเสียหายได้ครับ ตอนรีวิว ASTON Luxury 4G ผมลองแกะมาถ่ายภาพไปรอบนึง ผลคือเทปกาวสองหน้ามันดึงหลุดออกมาจากตัวเคสเฉยเลย สรุปง่าย ๆ คือติดแล้วติดเลย ไม่ควรแกะออก ตัวฝาพับเมื่อทำการพับปิดหน้าจอจะสามารถแสดงหน้านาฬิกาได้ครับ
ภาพรวมในส่วนของการดีไซน์ ASTON Luxury 4G ถ้าพูดถึงการออกแบบ ก็จัดว่าทำได้ดีทีเดียว มาพร้อมรูปทรงที่ทันสมัย วัสดุที่ให้มาก็รู้สึกคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป จะติดก็ตรง Navigation Key นี่แหละครับ มองแทบไม่เห็นเลย ต้องใช้ความเคยชินอย่างมากในการใช้งาน แล้วก็เคสฝาพับที่ดิบไปหน่อย เพราะจะติดกับ ASTON Luxury 4G ได้ต้องใช้เทปกาว 2 หน้าเท่านั้น นี่มันเคสแบบ Universal ชัด ๆ
Software
ASTON Luxury 4G มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 5.1 Lollipop แต่มีการปรับแต่งไอคอนของแอปพลิเคชันต่าง ๆ ยกแผง คือไม่มีอะไรเหมือน Stock Rom Android 5.1 เลย แต่ถ้ากดเข้าไปในหน้าการตั้งค่า หรือในแอปพลิเคชันพื้นฐาน อันนี้ก็จะเหมือน Stock Rom ครับ เอาเป็นว่ามันใช้งานไม่ยาก ใครที่เริ่มใช้งานสมาร์ทโฟนก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ซอฟท์แวร์ ASTON Luxury 4G ที่น่าสนใจก็จะเป็นตัวเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ วิธีการตั้งค่าครั้งแรกก็ให้เข้าไปที่ การตั้งค่า > ส่วนตัว > ID ลายนิ้วมือ > จัดการลายนิ้วมือ แล้วก็เข้าไปเพิ่มลายนิ้วมือ โดยตัว Fingerprint ของ ASTON Luxury 4G นอกจากจะใช้ปลดล็อกตัวเครื่องได้แล้ว ยังสามารถใช้ในการล็อกแอปพลิเคชันที่เราไม่อยากให้คนอื่นมาแอบดูได้ เช่น แอปแชท หรือแกลลอรี่รูปภาพ เมื่อตั้งค่าให้ล็อกแอป เวลาที่จะใช้งานแอปพลิเคชันเหล่านั้นก็จำเป็นที่จะต้องใส่รหัส หรือสแกนลายนิ้วมือก่อนทุกครั้ง
ส่วนคำสั่งพื้นฐานอย่างการแตะปุ่มสแกนลายนิ้วมือเพื่อทำการรับสายโทรศัพท์ หรือใช้ในการถ่ายภาพ (เป็นปุ่มชัตเตอร์) ASTON Luxury 4G ก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ข้อสังเกตคือ 2 ฟีเจอร์นี้ จะไม่จำเป็นว่าต้องเป็นนิ้วที่ลงทะเบียนไว้เท่านั้น คือใช้นิ้วไหน หรือนิ้วใครก็ได้ในการกดรับสาย และกดแทนปุ่มชัตเตอร์
Camera
กล้องหลังของ ASTON Luxury 4G ให้มาที่ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล Auto Focus ติดแฟลช LED มาให้ 2 ดวง เป็นแฟลชสีขาวสีเดียว ซึ่งการใส่แฟลชสีเดียวมา 2 ดวง ก็จะช่วยแค่ในเรื่องของความสว่างเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ได้มีผลในแง่ของสีสันภาพถ่าย เพราะฉะนั้นการเปิดแฟลชถ่ายรูปในตอนกลางคืนอาจจะได้ภาพที่ดูแข็ง ๆ ไปหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้รูปเลย
การใช้งานกล้อง ASTON Luxury 4G ก็ไม่ได้ใช้งานยากแต่อย่างใด ตัวซอฟท์แวร์กล้องถอดมาจาก Stock Rom Android 5.1 Lollipop แทบจะ 100% ทั้งการใช้งานและการตั้งค่า โหมดการใช้งานมีด้วยกัน 4 โหมดหลัก ๆ สำหรับถ่ายภาพนิ่ง ได้แก่
- ภาพถ่ายปกติ (มี HDR, ชูสองนิ้วเพื่อลั่นชัตเตอร์)
- โหมดติดตามการเคลื่อนไหว (ถ่ายภาพต่อเนื่องหลายช็อต)
- โหมดหน้าสวย
- โหมดพาโนรามา
ส่วนกล้องหน้าของ ASTON Luxury 4G มีความละเอียดอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซล ติดแฟลช LED มาให้จำนวน 1 ดวง ช่วยในการถ่ายรูปในที่แสงน้อยได้ในระดับหนึ่ง โหมดกล้องหน้ามีด้วยกัน 3 โหมด ได้แก่
- โหมดถ่ายภาพปกติ
- โหมดหน้าสวย
- โหมดถ่ายภาพหลายมุมมอง
คุณภาพของรูปถ่ายจากกล้อง ASTON Luxury 4G ก็ทำได้ตามราคาแหละครับ คุณภาพของรูปถ่ายขึ้นอยู่กับสภาพแสงเป็นหลัก คือถ้ามีแสงเพียงพอก็พอใช้ได้ แต่ถ้าแสงน้อยก็จะได้คุณภาพที่ดรอปลงไปพอสมควร ส่วนกล้องหน้าก็มีโหมดหน้าสวยฟรุ้งฟริ้งมาให้ สำหรับตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง ASTON Luxury 4G ก็สามารถรับชมได้จาก Gallery ด้านล่างนี้เลย
Performance
ASTON Luxury 4G มาพร้อมกับชิปเซ็ต MediaTek MT6735P เป็นซีพียูแบบ Quad Core ความเร็ว 1 GHz, GPU Mali-T720 และ Ram 1 GB (เหลือใช้ประมาณ 200 – 300 mb) ก็สามารถใช้งานทั่วไป ใช้งานอินเทอร์เน็ต 4G/ 3G/ Wifi ได้อย่างไม่มีปัญหา หรือจะใช้เล่น Social Network เช่น Facebook, Line ก็ได้เช่นกัน
แต่ถ้าต้องการใช้เล่นเกม อาจจะเล่นได้ลื่นเฉพาะเกมที่ไม่ค่อยกินสเปคเท่าไหร่ เช่น Candy Crush, Cookie Run (ปรับลดกราฟฟิค) หรืออาจจะเล่นได้บางเกม แต่ต้องปรับกราฟฟิคในระดับต่ำสุด เช่น Asphalt 8 เป็นต้น ส่วนการรับชมวีดีโอ, Youtube, Line TV หรือใช้ดูทีวีออนไลน์ ASTON Luxury 4G ก็สามารถรับชมได้ทั้งหมด อย่าง Youtube นี่เปิดวีดีโอความละเอียด HD 720p ได้สบาย ๆ
แบตเตอรี่ของ ASTON Luxury 4G ไม่ได้มีการระบุความจุมาแต่อย่างใด คาดว่าคงเป็นแบตเตอรี่ความจุ 3000 mAh แหละครับ ตามขนาดหน้าจอ การใช้งานก็ถือว่าแบตอึดใช้ได้ ด้วยองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น แบตเตอรี่, หน้าจอ รวมถึงสเปคที่ไม่ได้สูงมาก เลยทำให้ ASTON Luxury 4G สามารถใช้งานได้หมดวันแบบสบาย ๆ ไม่ต้องพก PowerBank