หลังจากที่ Apple ได้เปิดตัว iPad Air 4 ไปเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งในครั้งนี้ Apple ได้ทำการอัพเกรดขนานใหญ่ให้กับ iPad Air ทีนี่เราเลยจับเอา iPad Air 4 vs iPad Air 3 ที่เป็นรุ่นก่อนให้ดูว่า Apple ได้ทำการอัพเกรดอะไรไปบ้าง แล้วมันคุ้มไหมกับราคาที่เพิ่มขึ้น
เทียบสเปค iPad Air 4 vs iPad Air 3
iPad Air 4 | iPad Air 3 | |
---|---|---|
หน้าจอ | Liquid Retina 10.9 นิ้ว ความละเอียด 2360 x 1640 ขอบเขตสีกว้าง P3 แสดงผลแบบ True Tone | Retina 10.5 นิ้ว ความละเอียด 2224 x 1668 ขอบเขตสีกว้าง P3 แสดงผลแบบ True Tone |
ชิปประมวลผล | A14 Bionic | A12 Bionic |
แรม | ยังไม่ทราบ* | 3GB |
หน่วยความจำ | 64GB / 256GB | 64GB / 256GB |
กล้องหลัง | 12MP | 8MP |
กล้องหน้า | 7MP | 7MP |
ขนาดและน้ำหนัก | 247.6 มม. x 178.5 มม. x 6.1 มม. 458 กรัม (รุ่น Wi‑Fi) 460 กรัม (รุ่น Wi‑Fi + Cellular) | 250.6 มม. x 174.1 มม. x 6.1 มม. 456 กรัม (รุ่น Wi‑Fi) 464 กรัม (รุ่น Wi‑Fi + Cellular) |
ราคา | Wi-Fi 64GB : 19,900 บาท Wi-Fi 256GB : 24,900 บาท Cellular 64GB : 24,400 บาท Cellular 256GB : 29,400 บาท | Wi-Fi 64GB : 17,900 บาท Wi-Fi 256GB : 22,900 บาท Cellular 64GB : 22,400 บาท Cellular 256GB : 27,400 บาท |
iPad Air 4 vs iPad Air 3 : ความแตกต่าง
ดีไซน์
ในเรื่องดีไซน์นั้นเป็นหนึ่งในตัวหลักของการเปลี่ยนแแปลงในครั้งนี้เลย เพราะในปัจจุบันดูเหมือน Apple จะพยายามเปลี่ยนดีไซน์อุปกรณ์ทุกอย่างของตนเองให้ไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งดีไซน์นี้เริ่มมาจาก iPad Pro ตอนนี้มาถึง iPad Air เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งผลจากดีไซน์นี้ทำให้ได้หน้าจอแบบไร้ปุ่ม Home ขอบจอบาง และได้เปลี่ยนพอร์ตจาก Lightning ไปเป็น Type-C แล้วด้วย ซึ่งการเปลี่ยนการออกแบบนี้ทำให้ตัวเครื่องสั้นลงเล็กน้อย และมีความกว้างมากขึ้นอีกนิด โดยที่ความหนาไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย
นอกจากนี้ด้วยการเปลี่ยนดีไซน์ทำให้ต้องเปลี่ยนรุ่น Apple Pencil ด้วย เพราะตอนนี้ iPad Air นั้นมีของเครื่องที่หนาขึ้น ช่วยให้สามารถเอา Apple Pencil มาประกบติดที่ด้านข้างได้แล้ว (ของเดิมขอบโค้งทำให้ประกบติดไม่ได้)
หน้าจอ
ในส่วนของหน้าจอนั้นนอกจากขนาดที่เพิ่มขึ้นตามที่ Apple เคยประกาศไว้ยังได้มีการเปลี่ยนพาแนลหน้าจอใหม่ด้วย โดยใน iPad Air 3 นั้นใช้เป็นหน้าจอ Retina ส่วน iPad Air 4 นั้นเป็นหน้าจอ Liquid Retina ซึ่งเป็นจอที่พัฒนาต่อยอดมาจากหน้าจอ Retina โดยจุดเด่นคือจะเป็นหน้าจอแบบเต็ม ส่งผลให้ไม่สามารถวางปุ่ม Home เอาไว้ใต้จอได้ และด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นทำให้ความละเอียดหน้าจอมีการเปลี่ยนแปลงไปเล้กน้อย โดยแต่เดิมนั้นจะมีความละเอียดอยู่ที่ 2224 x 1668 แต่ทว่าตอนนี้กลายเป็น 2360 x 1640 ทว่าถึงแม้ความละเอียดจะไม่เท่ากันแต่ความหนานแ่ของเม็ดพิกเซลก็ยังคงเท่าเดิมคือ 264 ppi
ชิปประมวลผล
ชิปประมวลผลเป็นหนึ่งในพระเอกหลักของการเปิดตัวรอบนี้เลยก็ว่าได้ เพราะชิป Apple A14 Bionic เป็นชิปรุ่นใหม่ที่ผลิตด้วยขนาด 5nm ตัวแรกของโลก ซึ่งพัฒนาขึ้นมาให้มีความแรงที่มากขึ้น และประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยเมื่อเทียบกับชิป Apple A12 Bionic แล้วจะแรงกว่าถึง 40% ซึ่งส่วนต่างตรงนี้ทำให้สามารถประมวลผลงานหนัก ๆ ได้ดียิ่งขึ้น จากที่แต่เดิมต้องไปซื้อ iPad Pro เท่านั้น ตอนนี้ก็สามารถใช้ iPad Air 4 แทนได้แล้ว และเนื่องจากชิปแรงขึ้นทำให้สามารถเพิ่มฟีเจอร์ให้กับกล้องได้มากขึ้นด้วย
กล้อง
กล้องเองก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ได้รับการอัพเกรดเช่นกัน โดยกล้องหลังนั้นเหมือนได้เอากล้องของ iPad Pro มาใส่ใน iPad Air 4 ซึ่งเป็นกล้องที่มีความละเอียด 12MP ส่งผลให้ความสามารถในการบันทึกวีดีโอเพิ่มมากขึ้นที่แต่เดิมบันทึกวิดีโอระดับ HD 1080p ที่ 30 fps กลายเป็นบันทึกวิดีโอระดับ 4K ที่ 24 fps, 30 fps หรือ 60 fps ช่วยให้สามารถยกเครื่องขึ้นมาถ่ายวีดีโอได้ทันทีโดยไม่ต้องไปเสียเวลาหยิบมือถือทั้ง ๆ ที่ถือ iPad อยู่
iPad Air 4 รอบนี้ต้องยอมรับว่า Apple อัพเกรดได้ขนานใหญ่มาก ถึงแม้จะทำให้ราคาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ความสามารถที่ตัวเครื่องสามารถทำได้นั้นเหนือกว่าส่วนต่างราคานี้มาก สำหรับใครที่พึ่งจะซื้อ iPad Air 3 ไปก็อาจจะเกิดอาการเจ็บหลังขึ้นมาเบา ๆ ได้ แต่ไม่ต้องเสียใจไป เพราะ iPad นั้นถึงแม้จะเป็นตัวตกรุ่นแต่ตราบใดที่ Apple ยังอัพเดต iOS ให้อยู่ก็ยังสามารถใช้งานต่อไปได้