ในที่สุด Apple ก็ได้ทำการเปิดตัว iPad Air 4 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ ซึ่งการเปิดตัวรุ่นใหม่ในครั้งนี้เรียกได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อนแบบคนละโลกกันเลย ด้วยดีไซน์ใหม่ ชิปรุ่นใหม่ รองรับอุปกรณ์ใหม่ ๆ เหมือน iPad Pro แบบราคาประหยัดเลยก็ว่าได้ เราไปดูกันดีกว่าว่าจะมีสเปคแบบไหนบ้าง
iPad Air 4 : ราคา
ก่อนจะไปดูสเปค สิ่งที่เรามักจะสนใจก่อนก็คือราคา ซึ่งเอาจริง ๆ ราคา iPad Air 4 นั้นแพงขึ้นจาก iPad Air 3 อยู่เล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับความสามารถที่ได้กลับมาแล้วก็นับว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ โดยจะมีราคาดังนี้
- Wi-Fi 64GB : 19,900 บาท
- Wi-Fi 256GB : 24,400 บาท
- Cellular 64GB : 24,900 บาท
- Cellular 256GB : 29,400 บาท
นอกจากราคาเครื่องแล้วยังมีอีก 2 สิ่งที่เป็นส่วนประกอบ ซึ่งจะซื้อหรือไม่ก็แล้วแต่คุณเลย นั่นก็คือ Apple Care+, Apple Pencil 2, Keyboard(Magic Keyboard / Smart Keyboard Folio) ซึ่งทั้งสามจะมีราคาดังนี้
- Apple Care+ : 2,500 บาท
- Apple Pencil 2 : 4,490 บาท
- Keyboard
- Magic Keyboard : 9,990 บาท
- Smart Keyboard Folio : 5,990 บาท
ซึ่งหากต้องการแบบครบเซ็ตแล้วจะต้องจ่ายอย่างน้อย 32,880 บาท ( iPad Air 4 WiFi 64GB, Apple Care+, Apple Pencil 2, Smart Keyboard Folio) ซึ่งเป็นราคาที่ค่อนข้างหนักเอาการ ดังนั้นหากคิดจะซื้อก็ไม่จำเป็นต้องซื้อแบบยกชุดก็ได้ ทุกอย่างมีของแทนตัวอยู่แล้ว (นอกจากตัวเครื่อง) ซึ่งราคาถูกกว่า (อาจใช้ความสามารถไม่ได้เต็มที่) แต่ก็ช่วยทำให้เราประหยัดได้ในระดับหนึ่งเลย
นอกจากนี้หากใครที่เป็นนักเรียนที่ได้รับการตอบรับเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย รวมถึงผู้ปกครอง อาจารย์ เจ้าหน้าที่ และผู้สอนแบบโฮมสคูลในทุกระดับชั้น สามารถซื้อเครื่องได้ในราคาพิเศษ โดยจะเริ่มต้นที่ 18,300 บาท Apple Pencil รุ่นที่ 2 มีจำหน่ายในราคา 4,190 บาท, Smart Keyboard Folio ในราคา 5,300 บาท และ Magic Keyboard ในราคา 9,300 บาท
iPad Air 4 : สเปคและดีไซน์
หลังจากที่เราเห็นราคากันไปแล้วเราก็มาต่อกันที่ตัวเครื่องกันบ้าง โดยตัวเครื่องนั้นเรียกได้ว่าลอก iPad Pro มาเกือบทั้งหมดเลยก็ว่าได้ แต่จะต่างกันตรงที่ไม่ได้ใช้ FaceID แต่ใช้เป็น TouchID ที่ย้ายไปอยู่ด้านข้างตัวเครื่องรวมถึงการที่สีให้เลือกถึง 5 สีนั่นเอง (สีเงิน, สีเทาสเปซเกรย์, สีโรสโกลด์, สีเขียว และสีสกายบลู) ส่วนจุดที่คล้ายกันก็คือหน้าจอที่มีขอบเล็กลง ลำโพง 4 ตัว กล้องหลัง 12MP และพอร์ตชาร์จแบบ USB Type-C
สำหรับในส่วนของสเปคนั้นชูจุดเด่นด้วยชิปประมวลผล Apple A14 Bionic ที่เป็นชิปขนาด 5nm ตัวแรกของโลก มีหน้าจอแบบ Liquid Retina ขนาด 10.9 นิ้ว (เดิมเป็นจอ Retina ขนาด 10.5 นิ้ว) มีความละเอียด 2360 x 1640 พิกเซล ที่ 264 พิกเซลต่อนิ้ว (ppi) ซึ่งรองรับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 มีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นคือรุ่น WiFi และรุ่น Cellular ทำให้ทั้ง 2 รุ่นมีน้ำหนักที่ต่างกันเล็กน้อย (รุ่น WiFi หนัก 458 กรัม | รุ่น Cellular หนัก 460 กรัม)
ทางด้านกล้องถ่ายภาพนั้นในส่วนของกล้องหลังเป็นกล้องเดี่ยวความละเอียด 12MP เป็นชุดเลนส์ 5 ชิ้น มีรูรับแสงขนาด ƒ/1.8 พร้อมด้วยฟิลเตอร์ Hybrid IR, Live Photos พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว, HDR, ระบบป้องกันภาพสั่นไหวอัตโนมัติ, บันทึกวิดีโอระดับ 4K สูงสุด 60 fps พร้อมด้วยระบบป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหวในคุณภาพระดับภาพยนตร์ (เฉพาะความละเอียด 1080p และ 720p) ในส่วนของกล้องหน้านั้นเป็นกล้องความละเอียด 7MP มีรูรับแสงขนาด ƒ/2.0 บันทึกวิดีโอระดับ HD 1080p ที่ 60 fps มาพร้อม HDR และระบบป้องกันภาพสั่นไหวอัตโนมัติ
ด้วยความที่มาพร้อมกับชิป A14 ทำให้รองรับการเชื่อมต่อ WiFi6 และได้ระบบชาร์จเร็วขนาด 20W ติดมาด้วย (อะแดปเตอร์ชาร์จเร็ว 20W มาพร้อมในกล่อง) ซึ่งตัวแบตเตอรี่นั้น Apple เคลมเอาไว้ว่าท่องเว็บผ่าน Wi‑Fi หรือดูวิดีโอได้นานสูงสุด 10 ชั่วโมง ส่วนท่องเว็บโดยใช้เครือข่ายข้อมูลเซลลูลาร์ได้นานสูงสุด 9 ชั่วโมง
สรุปสเปคและดีไซน์
ดีไซน์
- ทำการเปลี่ยนดีไซน์จาก iPad Air 2019 ไปเป็นทรงเดียวกับ iPad Pro
- เอาปุ่ม Home ออกแล้วย้าย TouchID ไปไว้ด้านข้าง
- ขอบหน้าจอบางลงและไร้ notch
- เปลี่ยนพอร์ตจาก Lightning ไปเป็น USB Type-C
- มีให้เลือก 5 สี
สเปค
- หน้าจอ Liquid Retina HD 10.9 นิ้ว
- ชิป Apple A14 Bionic
- หน่วยความจำ 64GB / 256GB
- กล้องหลัง 12MP
- กล้องหน้า 7MP
- รองรับชาร์จเร็ว 20W
- รองรับ Apple Pencil 2, Magic Keyboard, WiFi6
หากใครอยากรู้ว่ามันต่างจาก iPad Air 3 ตรงไหนบ้าง สามารถเข้าไปดูได้ที่ iPad Air 4 vs iPad Air 3
รวมภาพจากงานเปิดตัว