เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมงานสัมมนาออนไลน์ HUAWEI APAC 5G Media salon กับทางหัวเว่ย โดยในงานดังกล่าวนอกจากจะได้รับฟังข้อมูลเกี่ยวกับ 5G Roadmap และ 5G Ecosystem แล้ว ในงานดังกล่าวยังมีข้อมูลเกี่ยวกับ 2 สมาร์ตโฟนรุ่นใหม่อย่าง HUAWEI nova 7 Series สมาร์ตโฟนระดับกลางที่จะเปิดตัวในไทยเร็ว ๆ นี้ แต่ที่พิเศษสุด ๆ คือ ทั้งสองรุ่นรองรับการใช้งาน 5G ครับ
สำหรับ HUAWEI nova Series เป็นสมาร์ตโฟนที่ออกแบบมาสำหรับคนรุ่นใหม่ ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่นในทุกครั้งที่เปิดตัว อย่างเมื่อตอน HUAWEI nova 5T ก็มาพร้อมกับลวดลายแบบโฮโลกราฟฟิกสามมิติ หรือจะเป็นด้านสเปคและฟีเจอร์ ที่มักจะได้อะไรหลาย ๆ อย่างแบบสมาร์ตโฟนเรือธง แต่ถ้าจะให้พูดถึงจุดแข็งที่สุดของ nova Series ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องราคา ที่เปิดตัวเมื่อไหร่ ก็เป็นการสร้างมาตรฐานที่สูงขึ้นให้กับวงการสมาร์ตโฟนระดับกลาง
ครั้งนี้ก็เช่นกัน และส่วนตัวผมมองว่าทั้ง HUAWEI nova 7SE | HUAWEI nova 7 จะเป็นการสร้างมาตรฐานที่สูงมาก ๆ ให้กับวงการสมาร์ตโฟนระดับกลาง หมื่นต้น ๆ ไม่เกินสองหมื่นบาทได้เลยครับ เพราะในราคาดังกล่าว คุณจะได้สมาร์ตโฟนที่รองรับ 5G ใช่แล้วครับ! 5G ที่ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี 2020 หรือไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ จะต้องจ่ายเงินซื้อสมาร์ตโฟนราคาเกือบ 40,000 บาทนั่นล่ะ
แต่ในเวลาอันใกล้นี้ กำเงินหมืนนิด ๆ ก็ได้ใช้สมาร์ตโฟนที่รองรับ 5G แล้ว แถมขึ้นชื่อว่า HUAWEI เผลอ ๆ ผมว่าแกะจากกล่องมาก็ใช้ 5G ได้เลยแบบไม่ต้องรออัพเดตเฟิร์มแวร์ด้วยครับ
HUAWEI nova 7SE 5G – ราคา 11,990 บาท
เริ่มที่ HUAWEI nova 7SE มือถือ 5G ราคาย่อมเยาและคุ้มค่าที่สุดในท้องตลาด ขับเคลื่อนด้วยชิปประมวลผล Kirin 820 5G ชิปเซ็ต octa-core ระดับกลางรุ่นใหม่ล่าสุด ที่เทคโนโลยีการผลิต 7nm รองรับการใช้งาน 5G NSA (Non-Standalone) 8 คลื่นความถี่ และการันตีเลยว่ารองรับ 5G ทุกคลื่นในประเทศไทย
สเปคของโมเด็ม 5G ใน Kirin 820 รองรับการเชื่อมต่อความเร็วสูงสุดที่ 1278Mbps/ 170Mbps (Downlink/ Uplink) ข้อสังเกตก็คือ Kirin 820 รองรับแค่ 5G แบบ NSA ที่เป็นการใช้สถานีฐานร่วมกับเครือข่าย 4G เดิม หรือที่โอเปอเรเตอร์เปิดให้บริการกันอยู่ตอนนี้ แต่ถ้ามองในแง่ของการใช้งานระยะ 2 – 3 ปี ผมว่าเมื่อเทียบกับราคาค่าตัวแล้วก็ถือว่ารับได้ครับ อย่างน้อยในตอนนี้ มันก็เชื่อมต่อสัญญาณได้รวดเร็วกว่าสมาร์ตโฟนในระดับราคาเดียวกันอย่างแน่นอน
ด้านประสิทธิภาพในการประมวลผล Kirin 820 5G มาพร้อมกับชิปกราฟฟิก Mali-G57 + RAM 8GB และความจุในตัวเครื่อง 128GB พร้อมทั้ง GPU Turbo เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด ที่รองรับเกมอย่างน้อย 30 เกม ไม่ว่าจะเป็น PUBG Mobile, Fornite, ROV และอีกมากมาย สามารถเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล ไม่มีสะดุด
ตัวเครื่อง HUAWEI nova 7SE มีด้วยกัน 2 สี ได้แก่ Space Silver เน้นเรียบหรู และสี Crush Green ที่มาพร้อมกับลวดลายแบบโฮโลกราฟฟิก 3 มิติ มีน้ำหนักเพียง 189 กรัม มาพร้อมกับหน้าจอ LTPS แบบ Punch-hole Display ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ รองรับการปลดล็อกตัวเครื่องด้วยใบหน้าและเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบริเวณด้านข้าง
อีกหนึ่งจุดที่ HUAWEI ให้ความสำคัญใน nova Series มาโดยตลอดก็คือเรื่องกล้องถ่ายรูป เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานของคนรุ่นใหม่ที่นิยมถ่ายวิดีโอมากขึ้น nova 7 Series จึงรองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงถึง 4K รวมถึงฟีเจอร์ที่น่าจะถูกใจสาย Vlog อย่าง Dual-View Video ที่สามารถถ่ายวิดีโอกล้องหน้าและกล้องหลังได้พร้อมกัน
สำหรับกล้องของ HUAWEI nova 7SE มาพร้อมกับกล้องหลัง 4 ตัว AI Quad Camera ความละเอียดสูงสุด 64MP มีเลนส์มุมกว้าง 8MP ตามมาด้วยเลนส์โบเก้ 2MP และเลนส์มาโคร 2MP ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียด 16MP พร้อมโหมด Super Night Selfie 2.0 อีกทั้งประมวลผลภาพถ่ายด้วย NPU ทำให้ AI มีความแม่นยำและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ส่วนเรื่องแบตเตอรี่ HUAWEI nova 7SE ให้แบตเตอรี่ความจุสูงถึง 4,000 mAh รองรับการชาร์จเร็วระดับแฟล็กชิปฟีเจอร์ 40W HUAWEI SuperCharge ใช้เวลาเพียง 30 นาที สามารถชาร์จไฟได้ถึง 70% และยังได้รับการรับรองจาก TÜV Rheinland ให้สามารถใช้สมาร์ทโฟนต่อในขณะที่กำลังชาร์จได้ ไม่จำเป็นต้องหยุดพัก
ด้านระบบปฏิบัติการ nova 7SE มาพร้อมกับ EMUI 10.1 ที่มีพื้นฐานบน Android 10 กับ HMS หรือ HUAWEI Mobile Service สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นได้จาก AppGallery โดยในตอนนี้ก็มีหลายแอปพลิเคชั่นยอดนิยมพร้อมให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นแอปธนาคารต่าง ๆ หรือจะเป็นโซเชียลมีเดีย และล่าสุดเกมจากค่าย Garena ก็ทยอยเปิดให้ดาวน์โหลดผ่าน AppGallery แล้วครับ
HUAWEI nova 7 5G – ราคา 16,990 บาท
ส่วนรุ่นท็อปสุดอย่าง HUAWEI nova 7 5G ก็จัดเต็มไม่แพ้กัน เรียกได้ว่าฟีเจอร์ที่มีมาให้นั้นแทบจะเป็นสมาร์ตโฟนระดับเรือธงด้วยซ้ำไป เริ่มจากชิปประมวลผลที่เลือกใช้เป็น Kirin 985 5G 7nm แบบ octa-core แยกเป็น 1 คอร์ประมวลผลหนัก 3 คอร์ประมวลผลกลาง และ 4 คอร์ประมวลผลทั่วไป ทำให้ในการจัดการพลังงานนั้นทำได้ดีมากขึ้น ส่วนชิปประมวลผลกราฟฟิกเป็น Mali-G77
เสาสัญญาณ 5G ในชิปเซ็ต Kirin 985 5G เป็นการผสานระหว่างชิปประมวลผลกับเสาสัญญาณเข้าไว้ด้วยกัน จึงทำให้เกิดปัญหาความร้อนน้อยกว่า ส่วนการรองรับ 5G ในชิปเซ็ต Kirin 985 นั้นรองรับทั้งแบบ SA และ NSA สามารถเชื่อมต่อความเร็วสูงสุดที่ 1277Mbps/ 170Mbps (Downlink/ Uplink) แน่นอนว่าสามารถใช้งานในประเทศไทยได้อย่างไม่มีปัญหา
ส่วนเรื่องการเล่นเกม ด้วยชิปเซ็ตที่ทรงพลังระดับแฟล็กชิปอย่าง Kirin 985 + RAM 8GB + 256GB ROM (รองรับ NanoSD สูงสุด 256GB) อีกทั้งรองรับฟีเจอร์ GPU Turbo รุ่นใหม่ที่สามารถทำงานร่วมกับเกมได้อย่างน้อย 30 เกมไม่ว่าจะเป็น PUBG, Fortnite, ROV และอีกมากมาย ทำให้สามารถเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล เฟรมเรตสูงไม่มีสะดุด
HUAWEI nova 7 มาพร้อมกับหน้าจอ OLED HUAWEI Punch Display ขนาด 6.53 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ ขอบเขตสีกว้าง DCI P3 มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ และฝังกล้องหน้าความละเอียด 32MP ไว้บริเวณมุมซ้ายบนของตัวเครื่อง
ดีไซน์ตัวเครื่อง HUAWEI nova 7 ยังคงเอกลักษณ์ของ nova Series ได้เป็นอย่างดี ด้วยฝาหลังกระจกที่มีลวดลายแบบโฮโลกราฟฟิก 3 มิติ ตัวเครื่องมีความบาง และมีน้ำหนักเพียง 180 กรัม
ส่วนเรื่องกล้องถ่ายภาพ HUAWEI nova 7 มาพร้อมกับกล้องหลัง 4 ตัว AI Quad Camera ความละเอียดสูงสุด 64MP มีเลนส์มุมกว้าง 8MP เลนส์มาโคร 2MP และมีเลนส์ซูม Telephoto ความละเอียด 8MP ที่รองรับการซูม 5x Hybrid Zoom และซูมได้ไกลสุดที่ 20x Digital Zoom รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K
แบตเตอรี่ของ HUAWEI nova 7 มีความจุอยู่ที่ 4,000mAh รองรับชาร์จเร็ว 40W HUAWEI SuperCharge ชาร์จไฟได้ถึง 70% ในเวลาเพียง 30 นาที ระบบปฏิบัติการเป็น EMUI 10.1 ที่มีพื้นฐานบน Android 10 + HMS
ภาพรวมสำหรับ HUAWEI nova 7 Series ได้แก่ nova 7 และ nova 7SE ก็ถือเป็นมาตรฐานใหม่ของสมาร์ตโฟนระดับกลาง ราคาไม่เกิน 20,000 บาทเลยก็ว่าได้ จากการที่ทั้งสองรุ่นรองรับการใช้งาน 5G ทำให้การเข้าถึง 5G ดูมีความเป็นไปได้มากขึ้น ไม่จำเป็นว่าต้องซื้อโทรศัพท์ราคาแพง ๆ อีกต่อไป เพราะอย่าง HUAWEI nova 7SE ราคาหมื่นต้น ๆ ก็สามารถสัมผัสประสบการณ์เชื่อมต่อ 5G ได้แล้ว
นอกจากจะมีข้อมูลเกี่ยวกับ HUAWEI nova 7 Series 5G แล้ว ในงานสัมมนาออนไลน์วันที่ 2 HUAWEI 5G Media Salon ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับแท็บเล็ต 5G ที่จะมาเติมเต็ม 5G Ecosystem อย่าง HUAWEI MatePad Pro 5G ด้วยครับ หากสนใจสามารถกดเข้าไปอ่านจากบทความที่ผมเขียนแยกไว้ได้เลย
ทำไมถึงต้อง 5G?
5G ถือเป็นการพลิกเกมในวงการอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือเลยก็ว่าได้ จากคุณสมบัติหลักของตัวมันเอง ได้แก่ แบนด์วิดท์ขนาดใหญ่ การเชื่อมต่อเครือข่ายจำนวนมาก และความหน่วงต่ำ โดยความเร็วที่แท้จริงของ 5G จะเร็วกว่า 4G LTE อย่างน้อย 10 เท่า เร็วพอที่จะดาวน์โหลดภาพยนตร์ยาวสองชั่วโมงในเวลาน้อยกว่า 10 วินาทีเทียบกับการโหลดด้วย 4G ที่ใช้เวลาประมาณ 7 นาที
5G รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์สูงสุดถึง 1 ล้านเครื่องทุกตารางกิโลเมตร ความหน่วงสามารถเข้าถึงได้ต่ำสุดที่ 1 มิลลิวินาที ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับระบบขับขี่อัตโนมัติ รวมถึงการผ่าตัดทางไกล และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมได้อย่างกว้างขวาง
- ความบันเทิง: 5G + AR ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเต้นและร้องเพลงบนเวทีเดียวกันกับซูเปอร์สตาร์ได้ เกาหลีใต้เป็นประเทศแรกที่เปิดตัวเครือข่าย 5G เชิงพาณิชย์ มีผู้ใช้งาน 5G เพิ่มขึ้นเป็น 3.5 ล้านภายในเวลาเพียง 6 เดือน ข้อมูลการใช้งาน 5G ต่อเดือนมีมากกว่า 27GB ซึ่งคือเกือบ 3 เท่าของ 4G และเมื่อเทียบกับวิดีโอ 4K แล้วผู้ใช้งานสามารถรับชมวิดีโอด้วยความละเอียดที่สูงกว่าได้ในระดับ 8K ยกตัวอย่างเช่น งานปักดินแบบซูโจว มรดกทางวัฒนธรรมจีนโบราณ ที่คุณสามารถมองเห็นเส้นไหมขนาดเล็กแยกออกจากกันถึง 128 เท่า
- การออกอากาศ: 5G เข้ามาแทนที่รถถ่ายทอดสัญญาณด้วยกระเป๋าเป้เพียงใบเดียว รถถ่ายทอดสัญญาณนี้มีราคาสูงถึงหลายล้านดอลลาร์ต่อคัน และการติดตั้งใช้เวลา 2 ถึง 4 วัน แต่กระเป๋าเป้พกพานั้นต้องการเพียง HUAWEI 5G CPE Pro เท่านั้น เพื่อส่งสัญญาณวิดีโอสดไปยังสถานีโทรทัศน์
- การแพทย์: ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรค 5G เข้ามีบทบาทสำคัญในกลุ่มการแพทย์ 5G ช่วยแบ่งปันข้อมูลและช่วยชีวิตคนไข้ได้ เพราะผู้เชี่ยวชาญสามารถให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยจากระยะไกล ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญในเมืองหางโจวได้ทำการตรวจผู้ป่วยในเมืองหวงพีผ่านการตรวจอัลตราซาวด์ระยะไกลระบบ B-mode ซึ่งทั้งสองโรงพยาบาลอยู่ห่างกัน 700 กิโลเมตร นอกจากนี้การทำงานระยะไกลยังช่วยป้องกันไม่ให้แพทย์ติดเชื้อที่มักเกิดขึ้นจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยเป็นประจำอีกด้วย
- สายการผลิต: แบนด์วิดท์ 5G ที่สูง และความหน่วงต่ำช่วยให้การทำงานด้านการผลิตมีความยืดหยุ่นสูง ซึ่งทั้งเครื่องตรวจสอบคุณภาพชิ้นงานในสายการผลิตและการควบคุมแบบไร้สายล้วนต้องการแบนด์วิดท์ขนาดใหญ่และความหน่วงต่ำจาก 5G ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมกล้องถ่ายรูปที่อาศัยการอัพโหลดผ่าน 5G ไปยังคลาวด์เพื่อการตรวจจับคุณภาพของภาพถ่าย
- การทำเหมืองแร่: รถบรรทุกลากไร้คนขับ ที่ขับเคลื่อนเครื่องยนต์อัตโนมัติด้วย 5G ช่วยประหยัดเงินได้ถึง 1 ล้านหยวนต่อรถบรรทุกหนึ่งคันต่อปี และสามารถเพิ่มความเร็วในการขับขี่จากเดิมที่น้อยกว่า 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็น 35 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- ท่าเรือ: ด้วยความกว้างของแบนด์วิดท์ 5G ขนาดใหญ่ และความหน่วงต่ำช่วยให้การทำงานระยะไกลในการควบคุมเครนยกขนตู้สินค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเครนนึงจะมีกล้องติดอยู่ 10 ถึง 18 ตัว ซึ่งต้องการแบนด์วิดธ์ขนาด 60Mbps เพื่อส่งวิดีโอสดความละเอียดสูงกลับมายังห้องควบคุม ต้องขอบคุณ 5G ที่ช่วยให้เจ้าหน้าที่หนึ่งคนสามารถสลับเปลี่ยนการควบคุมเครนได้ถึง 6 ตัวจากห้องบังคับระยะไกล นำไปสู่สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยมากขึ้น
หัวเว่ยเป็นบริษัทเดียวในโลกที่ให้บริการ 5G แบบครบวงจรครอบคลุมทั้งโซลูชั่นและผลิตภัณฑ์
การเชื่อมต่อ 5G ได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับสมาร์ทโฟนเรือธงของหัวเว่ยไปแล้ว โดยเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หัวเว่ยเป็นผู้นำในการเปิดตัวอุปกรณ์ 5G อย่างเต็มรูปแบบกับสมาร์ทโฟนตระกูล P40 Series ที่กลายเป็น
สมาร์ทโฟนเพียงแบรนด์เดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่นำเสนอ 5G อย่างเต็มรูปแบบให้กับผู้บริโภค ประกอบไปด้วยสมาร์ทโฟน P40, P40 Pro, และ P40 Pro Plus รวมถึงสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่อย่าง HUAWEI nova 7 series ด้วย
หัวเว่ยคือผู้นำ 5G ระดับโลก ให้บริการโซลูชั่นหลากหลายตั้งแต่อุปกรณ์เครือข่ายไปจนถึงดีไวซ์สำหรับผู้บริโภคและอื่นๆ “หัวเว่ยมี โซลูชั่น 5G ครบวงจรที่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีพื้นฐาน 5G อุปกรณ์เครือข่าย 5G ชิป 5G และ 5G เทอร์มินัล โดยไตรมาสที่หนึ่งปี 2020 เราได้จัดส่งสมาร์ทโฟน 5G มากกว่า 15 ล้านเครื่องไปทั่วโลก” นายเควิน โฮ ประธานกลุ่มอุปกรณ์แฮนด์เซ็ต หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หัวเว่ยต่างจากบริษัทอื่นด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างไลฟ์สไตล์ AI แบบไร้รอยต่อ ด้วยการนำเสนอกลยุทธ์ 1 + 8 + N พร้อมทั้งเทคโนโลยีอันล้ำสมัยที่ทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างง่ายดาย
ยิ่งไปกว่านั้น หัวเว่ยได้จดสิทธิบัตร 5G Standard-Essential Patent (SEP) มากกว่า 20% และมีโครงการอีกกว่า 21,000 โครงการ ซึ่งเป็นจำนวนสูงที่สุดในอุตสาหกรรม รวมไปถึงการชนะสัญญากว่า 90 แห่งและจัดส่ง 5G Massive MIMO AAU ไปแล้วกว่า 600,000 ยูนิต
“ตั้งแต่ปี 2009 ถึง 2019 หัวเว่ยลงทุนในการทำวิจัยเกี่ยวกับ 5G ไปกว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมไปถึงชิปเซ็ต วัสดุของดีไวซ์ อัลกอริธึ่ม สัญญาณ ระบบทำความเย็นและอีกมากมาย” นายเควิน โฮกล่าว