เมื่อวันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นวันแรกที่ iPhone X สมาร์ทโฟนรุ่นท็อปสุดของ Apple ในปี 2017 ได้เริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ โดย iPhone X เปิดตัวพร้อมกับ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่ในประเทศไทยตอนนี้วางจำหน่ายแค่เฉพาะ iPhone 8 กับ iPhone 8 Plus ก่อน ตามสเต็ปของประเทศที่ถูกจัดอยู่ใน Tier 3
ส่วน iPhone X ที่ขายกัน ณ ตอนนี้ก็จะอยู่ในโซนประเทศ Tier 1 อย่างเครื่องรีวิว iPhone X ที่เราไปลงทุนบินไปซื้อมารีวิวนั้นเป็นเครื่องจากศูนย์ Apple Store ประเทศสิงคโปร์ ประเทศเพื่อนบ้านในโซนอาเซียนนั่นเอง ด้วยเหตุผลเรื่องการเดินทางที่สะดวก ใช้เวลาไม่มาก แม้ว่าตัวเครื่องจะมีราคาแพงพอ ๆ กับที่ขายในบ้านเราก็ตาม โดย iPhone X ที่เราซื้อมารีวิวเป็นรุ่นความจุ 256 GB สี Space Grey จัดเป็นรุ่นที่หาซื้อยากที่สุด มีความต้องการในตลาดมากที่สุด ราคาหิ้วที่ประเทศมาบุญครองเท่าที่ทราบก็อยู่ที่ 50,000 บาทปลาย ๆ เกือบ 60,000 บาทเลยทีเดียว
ราคาที่สิงคโปร์ หักลบแล้วก็พอ ๆ กับบ้านเรา เผลอ ๆ แพงกว่าเล็กน้อย (โดนตัดบัตรไป 47,700 บาทสำหรับ 256 GB)
ระหว่างที่รออ่านรีวิวแบบจัดเต็ม iPhone X อนาคตใหม่ของ iPhone หลังจากที่ไม่ได้เปลี่ยนดีไซน์แบบจริงจังมาประมาณ 3 ปีได้ เราก็มีบทความ Hands-on ลองจับ iPhone X ที่วางโชว์ใน Apple Store ประเทศสิงคโปร์มาฝากเพื่อน ๆ ให้อ่านเรียกน้ำย่อยกันไปก่อน โดยตัวรีวิวฉบับเต็ม iPhone X น่าจะไม่เกินอาทิตย์หน้าครับ ขอเวลาแอดมินไปลองเล่นเสียก่อน เครื่องนี้มันมีความเปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อนมากอยู่เหมือนกัน
iPhone X มีด้วยกัน 2 สี ได้แก่ สี Silver กับสี Space Grey ความแตกต่างของทั้งสองสีจะอยู่ที่ด้านข้าง กับด้านหลัง โดยรุ่นสี Silver จะเหมือนมีด้วยกัน 3 สีในเครื่องเดียว ด้านหน้าสีดำ, กรอบเครื่องสีเงิน แล้วก็ฝาหลังสีขาว รุ่นสีดำจะเป็นสีดำล้วน ทั้งด้านหน้า, กรอบเครื่อง และฝาหลัง วัสดุฝาหลังของทั้ง 2 สี ใช้วัสดุเป็นกระจก เช่นเดียวกับ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ส่วนกรอบเครื่องก็เพิ่มความพรีเมียมสมราคาเกือบครึ่งแสน ด้วยการเปลี่ยนมาใช้กรอบตัวเครื่องจากสแตนแลส ให้ความเงางาม, สวยงาม และความหรูหราไปอีกระดับ
ด้านหน้าของ iPhone X มีความเปลี่ยนแปลงจากเดิมเยอะมาก ปุ่มโฮมที่เคยมีมาตั้งแต่ iPhone 2G โดนตัดทิ้งเช่นเดียวกับตอนที่ Apple เลิกใช้ Click Wheel บน iPod เหลือแค่เพียงเส้นด้านล่าง และแน่นอนว่าระบบรักษาความปลอดภัยอย่าง Touch ID ก็โดนทิ้งลงถังขยะไปเช่นเดียวกับปุ่มโฮม แล้วแทนที่ด้วยระบบรักษาความปลอดภัยด้วยการสแกนใบหน้า Face ID ที่จะเป็นมาตรฐานใหม่ของโลกสมาร์ทโฟนในเร็ว ๆ นี้
ด้านบนหน้าจอ iPhone X จะเห็นว่ามีติ่งเล็ก ๆ ที่ทำให้หน้าตามันเหมือนตัว X โดยติ่งหรือบริเวณที่จอแหว่งนั้นเป็นพื้นที่ของกล้อง TrueDepth ที่เพิ่มความสามารถให้กับ iPhone X มากมาย ทั้งในด้านการถ่ายภาพ, Animoji และ Face ID
ข้าง ๆ บริเวณที่จอแหว่งไปก็คือส่วนการแจ้งเตือนแบตเตอรี่, สัญญาณโทรศัพท์, Location Service และอื่น ๆ รวมถึงเป็นการเรียกหน้า Notification Center (ปัดจากด้านซ้าย) และหน้า Control Center (ปัดจากทางด้านขวา) เนื่องจากไม่มีปุ่มโฮม และการกลับหน้าโฮมบน iPhone X อาศัยการปัดหน้าจอจากล่างขึ้นบนแทน
รายละเอียดทางด้านข้างยังคงคล้ายกับ iPhone รุ่นอื่น ๆ แต่พิเศษด้วยวัสดุกรอบตัวเครื่องที่ทำจากสแตนเลส ข้อสังเกตก็คือมันน่าจะเป็นรอยได้ง่ายพอสมควร ที่แน่ ๆ เลยมันเก็บรอยนิ้วมือได้ดีทีเดียว
สีดำก็จะดูเข้า Theme หน่อย เพราะมาในโทนดำทั้งหมด
ด้านหลัง iPhone X ใช้วัสดุเป็นกระจกเช่นเดียวกับ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus แต่จากที่รับชมการ Drop Test มา เหมือนว่ากระจกหลัง iPhone X จะทนกว่าเล็กน้อย รุ่นนี้รองรับการชาร์จไร้สายผ่านแท่นชาร์จมาตรฐาน Qi เช่นเดียวกันกับ iPhone 8 Series
ตัวเครื่อง iPhone X แม้จะมาพร้อมหน้าจอขนาด 5.8 นิ้ว แต่น้ำหนัก และขนาดตัวเครื่องกลับใหญ่กว่า iPhone 8 ที่มีหน้าจอ 4.7 นิ้วเพียงเล็กน้อย ด้วยการใช้หน้าจอแบบเต็มจอ แถมยังตัดปุ่มโฮมทิ้งไปอีก
ปิดท้ายบทความลองจับ iPhone X ด้วยกล่องและอุปกรณ์ข้างใน สรุปก็คือการรองรับชาร์จเร็ว, แท่นชาร์จไร้สาย ต้องซื้อแยกเอาเองตามสไตล์ของ Apple เพราะอุปกรณ์ในกล่องยังคงเป็นชุดเดิม ได้แก่ อะแดปเตอร์ 5W, สาย Lightning to USB และหูฟัง Earpods (Lightning)
สำหรับบทความรีวิวเต็ม ๆ iPhone X อดใจรอไม่นานครับ ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนทดสอบอยู่ รับรองว่าจัดเต็มแน่นอน!!
คนที่ Apple Store สิงคโปร์ เยอะกว่าตอน iPhone 8 กับ iPhone 8 Plus วางจำหน่าย