เปรียบเทียบสเปค iPad mini 6 vs iPad Air 4 ต่างกันตรงไหน และรุ่นไหนเหมาะกับใครบ้าง?
หลังจากที่ Apple Event ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ได้เปิดตัวอุปกรณ์ของ Apple หลายรุ่นมากๆ แต่หลักที่คนให้ความสนใจกันมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น iPhone 13 ที่เปิดตัวออกมาใหม่พร้อมกล้องระดับเทพ และมีหน้าจอเป็น 120Hz แล้ว (อ่านต่อ.. สเปค iPhone 13) ส่วนใครที่คิดอยู่ว่าจะซื้อรุ่นไหนดีสามารถเข้าไปดู เปรียบเทียบ iPhone 13 Pro กับ iPhone 13 ได้ที่นี่เลย นอกจากจะมี iPhone ที่เปิดตัวออกมาแล้ว อีกหนึ่งอุปกรณ์ที่เปิดตัวออกมา และถือว่าเป็นตัวที่หลายคนอยากจะได้กันเป็นแถบๆ นั่นก็คือ iPad mini รุ่นที่ 6 ที่ทำสเปคออกมาได้น่าใช้งานมากๆ สำหรับคนที่คิดอยู่ว่าจะซื้อ iPad Air 4 หรือว่าจะรอซื้อ iPad mini 6 ดีกว่ากัน เดี๋ยววันนี้ทาง Specphone จะมาเปรียบเทียบสเปคของทั้งสองรุ่นนี้ว่า iPad mini 6 vs iPad Air 4 มีความแตกต่างกันตรงไหน และรุ่นไหนเหมาะกับการใช้งานแบบไหนบ้าง ไปดูกันเลย
ตารางเปรียบเทียบสเปค iPad mini 6 vs iPad Air 4
ข้อมูล\ รุ่น | iPad Air 4 (10.9 นิ้ว) | iPad mini 6 (8.3 นิ้ว) |
หน้าจอ | Liquid Retina | Liquid Retina |
ขนาด | 247.6 x 178.5 x 6.1 มม. | 195.4 x 134.8 x 6.3 มม. |
น้ำหนัก | WiFi : 458g Cellular : 460g | WiFi : 293g Cellular : 297g |
สี | เงิน, เทาสเปซเกรย์, โรสโกลด์, เขียว, สกายบลู | ชมพู, ม่วง, สตาร์ไลท์, เทาสเปซเกรย์ |
ชิปประมวลผล | Apple A14 Bionic | Apple A15 Bionic |
RAM | 4GB | 4GB* |
ROM | 64GB/ 256GB | 64GB/ 256GB |
กล้องหน้า | FaceTime HD 7MP | Ultrawide 12MP |
กล้องหลัง | 12MP | 12MP แฟลช True Tone |
Apple Pencil | Apple Pencil (รุ่นที่ 2) | Apple Pencil (รุ่นที่ 2) |
Keyboard | Magic Keyboard และ Smart Keyboard Folio | Keyboard Bluetooth |
แบตเตอรี่ | ดูวิดีโอสูงสุด 10 ชั่วโมง ท่องเน็ตสูงสุด 9 ชั่วโมง ช่องต่อ USB-C | ดูวิดีโอสูงสุด 10 ชั่วโมง ท่องเน็ตสูงสุด 9 ชั่วโมง ช่องต่อ USB-C |
การเชื่อมต่อ | 4G, WiFi 6 | 5G, WiFi 6 |
ราคา (เริ่มต้น) | 19,900 บาท | 17,900 บาท |
รูปแบบการดีไซน์ตัวเครื่องของ iPad mini 6 vs iPad Air 4
อันดับแรกที่หลายคนต้องคำนึงถึงและดูก่อนแรกๆ ก็คือรูปแบบการดีไซน์ของตัวเครื่อง ที่ทั้งสองตัวนี้จะเป็นแบบเหลี่ยม มุมโค้งมนเหมือนกัน มาพร้อมกับปุ่มด้านบนที่เป็นเซ็นเซอร์ Touch ID และมีโมดูลกล้องตัวเดียวเหมือนกันอีกด้วย จะมีที่ต่างกันก็ตรง iPad mini 6 นั้นมีแฟลชที่กล้องหลังแล้ว ส่วนในเรื่องของขนาดตัวเครื่อง แน่นอนว่า iPad mini 6 มีขนาดเล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ตัวของ iPad Air 4 ก็มีความบางกว่าเพียง 0.2 มม.เท่านั้นเลย รวมไปถึงน้ำหนักที่ตัวของ iPad Air 4 จะมีน้ำหนักเยอะกว่า เพราะว่าตัวเครื่องมีขนาดใหญ่กว่านั่นเอง นอกจากนี้เรื่องของสีตัวเครื่องก็มีสีที่ไม่เหมือนกันด้วย เพราะว่า iPad mini 6 มีสีให้เลือกอยู่ 4 สีคือสีชมพู, สีม่วง, สีสตาร์ไลท์ และสีเทาสเปซเกรย์ ซึ่งสีชมพูก็คือสวยมากจริงๆ ส่วนทางด้านของ iPad Air 4 จะมีให้เลือกอยู่ 5 สีคือเงิน, เทาสเปซเกรย์, โรสโกลด์, เขียว และสกายบลู
หน้าจอแสดงผลของ iPad mini 6 vs iPad Air 4
เรื่องของหน้าจอของ iPad mini 6 vs iPad Air 4 ทั้งสองรุ่นนี้ ต้องบอกว่ามีหน้าจอที่เหมือนกันเกือบจะเป๊ะๆ เลยทางด้านของคุณภาพและเทคโนโลยีต่างๆ โดยจะมีหน้าจอเป็น Liquid Retina และมีจอภาพ Multi Touch แบ็คไลท์แบบ LED พร้อมเทคโนโลยี IPS ส่วนการแสดงผลหน้าจอจะเป็น True Tone ที่ดูเป็นธรรมชาติเมื่อใช้งานกับขอบเขตสีกว้างระดับ P3 กับความสว่าง 500 นิตแบบทั่วไปเหมือนกันเป๊ะๆ และด้วยการสะท้อนแสงกลับเพียง 1.8% ของทั้งสองรุ่น จึงทำให้ตัวหนังสือและสีสันต่างๆ บนหน้าจอจะคมชัดมากๆ ที่สำคัญคือทั้งสองรุ่นนี้รองรับ Apple Pencil (รุ่นที่ 2) แล้ว ความแตกต่างของทั้งสองรุ่นนี้ก็คือ iPad mini 6 จะมีความละเอียดหน้าจอ 2266 x 1488 ที่ 326 ppi ความกว้างหน้าจอ 8.3 นิ้ว ส่วนของ iPad Air 4 จะมี 2360 x 1640 พิกเซล ที่ 264 ppi หน้าจอกว้าง 10.9 นิ้วพร้อมรองรับ Magic Keyboard และ Smart Keyboard Folio ในขณะที่ iPad mini 6 จะรองรับเพียงคีย์บอร์ด Bluetooth เท่านั้น
ชิปประมวลผลของ iPad mini 6 vs iPad Air 4
มาในส่วนของชิปประมวลผลของ iPad mini 6 vs iPad Air 4 กันบ้าง ที่ต้องบอกเลยว่า iPad mini 6 นั้นมีชิปที่เร็วแรงกว่าเยอะมาก ด้วยชิป Apple A15 Bionic ตัวใหม่ตัวเดียวกับที่ใส่เข้าไปใน iPhone 13 ด้วย โดยความเร็วที่ได้นั้นจะเพิ่มขึ้นมาจากเดิมถึง 40% จาก CPU 6-Core และ GPU 5-Core กับ Neural Engine แบบ 16-Core ที่เร็วกว่าเดิมสูงสุดถึง 2 เท่า ทำให้การเล่นเกม การออกแบบหรือตัดต่อผ่าน Photoshop ก็สามารถทำได้ดีเยี่ยมแน่นอน แถมยังใช้งาน 5G ได้แล้ว ส่วนในด้านของ iPad Air 4 จะยังคงเป็นชิปตัวเดิมคือ A14 Bionic ที่มีความเร็วเพียงพอสำหรับการใช้งานปกติอยู่แล้ว แต่ก็คงไม่เท่าตัวใหม่ นอกจากนี้ความจุของทั้งสองรุ่นนี้จะเท่ากันคือ 64GB และ 256GB กับแบตเตอรี่ที่สามารถดูวิดีโอได้นานสูงสุด 10 ชั่วโมง และท่องเว็บได้สูงสุด 9 ชั่วโมง แถมยังรองรับพอร์ต USB-C และชาร์จได้ 20W เหมือนกัน
กล้องหน้าและกล้องหลังของ iPad mini 6 vs iPad Air 4
สิ่งต่อมานี้ถือว่ามีความสำคัญมากพอสมควรสำหรับการใช้งาน iPad เลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เน้นถ่ายรูปเท่า iPhone แต่ถ้าต้องใช้เพื่อประชุมแล้วก็ถือว่าสำคัญไม่น้อยเลย โดยตัวกล้องของทั้งสองรุ่นนี้จะเป็นกล้องตัวเดียวเหมือนกัน และมีความละเอียดเท่ากันคือ 12MP สามารถถ่ายได้แบบ HDR อัจฉริยะ 3 กับการซูมดิจิทัลได้สูงสุด 5 เท่าเหมือนกันหมด แต่ความต่างก็คือกล้องหลังของ iPad mini 6 จะมีแฟลช True Tone แบบ LED สี่ดวงเพิ่มเข้ามาช่วยให้การถ่ายรูปดีขึ้นเยอะมาก รวมไปถึงกล้องหน้าของ iPad mini 6 ที่เป็นกล้องอัลตร้าไวด์มุมมองภาพ 122 องศาที่ความละเอียด 12MP พร้อมคุณสมบัติการถ่าย HDR อัจฉริยะ 3 และจัดให้อยู่ตรงกลางแบบเดียวกับตัว Pro เลย ส่วนของ iPad Air 4 จะยังเป็น FaceTime HD 7MP ที่ใช้งานทั่วไปได้ดีอยู่
ราคาของ iPad mini 6 vs iPad Air 4
ในด้านราคาตัวเครื่องเปล่าของทั้งสองรุ่นนี้ (รวมถึงรุ่นย่อย) จะมีราคาที่ไล่เลี่ยกันมากๆ มีความห่างกันเพียง 1000-2000 บาทเท่านั้น ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นรุ่น WiFi หรือว่ารุ่น Wi-Fi + Cellular มีราคาดังนี้
ราคา IPAD AIR 4
- Wi-Fi
- 64GB ราคา 19,900 บาท
- 256GB ราคา 24,900 บาท
- Wi-Fi + Cellular
- 64GB ราคา 24,400 บาท
- 256GB ราคา 29,400 บาท
ราคา IPAD mini 6
- Wi-Fi
- 64GB ราคา 17,900 บาท
- 256GB ราคา 23,400 บาท
- Wi-Fi + Cellular
- 64GB ราคา 23,400 บาท
- 256GB ราคา 28,900 บาท
สรุปการใช้งาน iPad mini 6 vs iPad Air 4
จากตารางการเปรียบเทียบสเปค iPad mini 6 vs iPad Air 4 ด้านบน และข้อมูลต่างๆ ที่เราได้นำมาเทียบกันดูนั้น ถ้านับเรื่องความเร็วแรงและความสดใหม่ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า iPad mini นั้นมีความเร็วแรงกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะเป็นรุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวมา ทำให้สเปคต่างๆ ทั้งตัวเครื่องและกล้องก็จะดีขึ้นตามไปด้วย แต่ทั้งนี้การใช้งาน iPad mini 6 จะเหมาะกับคนที่เน้นเครื่องเล็กพกพาง่าย และเน้นการใช้งานประชุม งานตัดต่อ หรือว่างานกราฟิกมากกว่างานที่เอาไว้พิมพ์ หรือคิดเนื้อหาคอนเทนต์ต่างๆ เพราะว่าไม่สามารถใช้ Magic Keyboard จาก Apple ได้ รวมไปถึงขนาดหน้าจอที่ไม่ได้ใหญ่มากทำให้การใช้งานแบบรุ่นหน้าจอใหญ่ก็คงเทียบกันไม่ได้ ส่วนตัวของ iPad Air 4 นั้นจะเหมาะกับสายคอนเทนต์ หรือว่าคนที่ต้องพิมพ์งานอยู่บ่อยๆ เพราะสามารถเชื่อมต่อเคส Magic Keyboard ได้ปกติ รวมไปถึงงานตัดต่อภาพและวิดีโอ หรือดูหนังที่ต้องการหน้าจอใหญ่แบบเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นก็สามารถเลือกซื้อ iPad Air 4 ได้เลย ส่วนเรื่องราคานั้นไม่ได้ห่างกันมากนัก ถ้าชอบตัวไหนและคิดว่าเหมาะก็จัดตัวนั้นไปเลยจบๆ แล้วถ้ามีเรื่องไหนน่าสนใจอีก เราก็จะนำมาฝากกันเรื่อยๆ เลยนะครับ