อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเปิดการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่จาก Apple คือ iPhone 5 ซึ่งจากข้อมูลที่หลุดกันมามากมายเกี่ยวกับ iPhone 5 ซึ่งก็พอที่จะเห็นว่า iPhone 5 จะมีหน้าตาออกมาเป็นเเบบไหนกันเเล้ว ซึ่งจากที่เห็นโดยรวมเเล้วก็ถือเป็นการอัพเกรดใหญ่ทางด้านซอฟเเวร์เเละฮาร์ดเเวร์ ซึ่งต่างกับ iPhone 4S ที่ส่วนใหญ่เเล้วเป็นการเปลี่ยนเเปลงจากภายใน เช่น ตัวประมวลผล กล้อง ระบบ Siri เเต่ภายนอกนั้นไม่ต่างกับ iPhone 4 เดิม ทำให้ iPhone 5 นี้มีความน่าอัพเกรดกว่าเมื่อเทียบจาก iPhone 4 ไปยัง 4S
สิ่งที่เปลี่ยนไปใน iPhone 5
อะไรที่ iPhone 5 ดีกว่า iPhone 4S
หน้าจอใหญ่ขึ้น เเสดงผลได้มากกว่าเดิม จาก 3.5 นิ้วเป็น 4 นิ้ว โดยเป็นการเพิ่มความยาวของจอและตัวเครื่องขึ้น ซึ่งในจุดนี้ Apple ชี้แจงว่า เพื่อจะได้สามารถใช้งานได้ถนัดมือเพราะด้านกว้างยังคงเท่าเดิม โดยเฉพาะการพิมพ์ข้อความด้วยมือข้างเดียวอย่างที่ผู้ใช้สมาร์ทโฟนนิยม ส่วนในด้านความยาวที่เพิ่มขึ้นนั้นก็เพื่อที่ผู้ใช้จะสามารถอ่านข้อความได้มากขึ้นทั้งในการใช้งานทั่วไปและขณะพิมพ์ข้อความอยู่
ส่วนเรื่องความละเอียดจอที่เพิ่มขึ้นนั้น ถึงแม้จะยังไม่ไปถึงขั้น 720p อย่างที่สมาร์ทโฟนหลายๆ รุ่นในตลาดนำหน้าไปแล้วแต่ก็ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมคือเรื่องของอัตราส่วนจอ ซึ่งเปลี่ยนจาก 3:2 ที่ใช้มาตั้งแต่ iPhone รุ่นแรกมาเป็น 16:9 ใน iPhone 5 ที่จะมีผลชัดเจนก็คือเรื่องของการรับชมภาพยนตร์ที่มีอัตราส่วนภาพเป็น 16:9 ส่วนเรื่องของแอพนั้นก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร เพราะถ้าเป็นแอพที่สร้างมาเป็นอัตราส่วนจอแบบเก่า ก็สามารถรันได้สบายๆ โดยเหลือเป็นขอบดำอยู่ตรงหัว/ท้ายแอพเล็กน้อย ไม่ได้ใช้การยืดแอพออกไปแต่อย่างใด และถ้าแอพใดที่เขียนออกมาบนอัตราส่วนจอ 16:9 แล้ว ก็น่าจะได้รับผลในเรื่องของการแสดงข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมด้วย
ซีพียูดีขึ้น เปลี่ยนจาก Apple A5 ไปเป็น A6 (รายละเอียดเชิงสถาปัตยกรรมต้องรอ) ที่ Apple อ้างว่าความเร็วทั้งด้านการประมวลผลและด้านกราฟิกสูงกว่าของเก่า 2 เท่า เเต่ถ้านับจริงๆ แล้ว ความลื่นไม่น่าต่างจากของเก่า (เพราะของเก่าก็ลื่นดีอยู่แล้ว เนื่องด้วยข้อได้เปรียบตรงที่เป็นระบบปิด Apple สามารถควบคุมและออกแบบการทำงานของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้เอง จึงสามารถดึงประสิทธิภาพมาได้มาก) ?โดยเท่าที่มีคลิปรีวิวจากงานเปิดตัวของ Apple จากสื่อที่เข้าร่วมในงานนั้น พบว่าความเร็วในส่วนของการเปิด/ปิดแอพและการถ่ายรูปค่อนข้างเร็วขึ้น เช่น เปิดเบราว์เซอร์น่าจะเร็วขึ้นกว่าเดิมอยู่นิดหน่อย การเรียกใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ทันใจ ซึ่งก็เป็นจุดเด่นของ iPhone ในแต่ละช่วงปีอยู่แล้ว
รองรับความเร็ว 3G สูงสุดเพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อน โดยรองรับได้ถึงเทคโนโลยี DC-HSDPA ที่มีความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุด 42 MBps สูงกว่า HSPA+ ถึงสองเท่า ซึ่งน่าเสียดายตรงที่ดูเหมือนว่าในไทยจะยังไม่มีให้ใช้อยู่ดี ส่วนเรื่องของ 4G LTE นั้นคงไม่เป็นประเด็นเท่าไร เพราะเรายังไม่ได้ใช้กันในเร็วๆ นี้แน่นอน เผลอๆ iPhone 6 ออกมาแล้วเราก็ยังไม่ได้ใช้อยู่ดี
ตัวเครื่องที่บางลง เบาลงกว่าเดิม โดยในส่วนของตัวเครื่องนั้นยังคงใช้เป็นโครงสร้างแบบ unibody เช่นเคย แต่เปลี่ยนส่วนชิ้นหลักเป็นอะลูมิเนียมที่มีน้ำหนักเบา แต่ก็ยังมีการติดตั้งชิ้นแก้วไว้ตรงส่วนบริเวณด้านบนและล่างของฝาหลังอยู่ ทำให้รูปร่างหน้าตาดูหรูหรา (จากรายงานของสำนักข่าวที่ไปพรีวิวในงานเปิดตัว) และด้วยการเปลี่ยนวัสดุหลักมาเป็นอะลูมิเนียม ส่งผลให้น้ำหนักตัวเครื่อง iPhone 5 เบาลงกว่า iPhone 4S ประมาณ 28 กรัม ส่วนความบางก็ลดลงเกือบๆ 2 มิลลิเมตร ซึ่ง Apple เคลมว่า iPhone 5 เป็นสมาร์ทโฟนที่บางที่สุดของโลกในปัจจุบันไปแล้ว
ซึ่งในจุดนี้ก็นับว่าเป็นการแสดงให้เห็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีของ Apple เมื่อเทียบกับปีที่แล้วได้ระดับหนึ่ง เนื่องด้วย Jony Ive ได้ชี้แจงเรื่องจุดประสงค์การออกแบบ iPhone 5 ว่า จะต้องทำให้ตัวเครื่องบางกว่าเดิม แต่ยังคงเทคโนโลยีของเดิมไว้ได้อย่างครบถ้วน และต้องสามารถใส่เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าไปได้ด้วย ซึ่งเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เห็นได้ชัดก็เช่น จอขนาดใหญ่ขึ้น ความละเอียดสูงขึ้น, ชิป 4G LTE ที่ไม่ได้เป็นชิ้นเดียวกับ CPU เป็นต้น
Wi-Fi รองรับความถี่ 5GHz เเล้ว ข้อนี้น่าจะทำให้หลายๆ คนที่ตั้งใจจะซื้อ iPhone 5 และ Access Point หรือ Wireless Router ต้องพิจารณามากขึ้น เนื่องด้วยที่ผ่านมาอุปกรณ์ network ที่รองรับ Wi-Fi 802.11n ความที่ 5 GHz พอมีวางจำหน่ายบ้างแล้ว แต่ก็ติดตรงที่ไม่รู้ว่าจะเอามาใช้กับอุปกรณ์อะไรได้มากน้อยเท่าไร เพราะส่วนใหญ่ในท้องตลาดจะรองรับการใช้งาน 802.11n ที่ความถี่คลื่น 2.4 GHz ซะมากกว่า
พอร์ตเชื่อมต่อ ในจุดนี้นับว่าเป็นการเริ่มต้นใหม่ได้ดีสำหรับ Lightning ที่จะมาแทนที่พอร์ต Dock connector ที่ใช้มานานหลายปีแล้ว ด้วยจุดประสงค์ของ Apple ที่ต้องการพอร์ตที่มีขนาดเล็กลง เพื่อจะได้สามารถออกแบบตัวเครื่องได้บางลงและเล็กลงกว่าเดิมในอนาคต ทั้งยังสามารถเสียบสายได้ไม่ว่าจะหันสายไปด้านใดก็ตาม ทำให้สะดวกกับการใช้งาน ส่วนเรื่องพินภายในก็ลดลงมาเหลือ 8 พินเท่านั้น ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีปัญหาในอนาคตกับอุปกรณ์ด้านเสียงต่างๆ ในอนาคต เพราะมีการตัดชุดส่งสัญญาณ Line-out ออกไป แถมบรรดาตัวแปลงจาก Lightning ไปเป็นพอร์ต Dock แบบ 30 พินนั้นก็มีระบุไว้ด้วยว่าอาจจะไม่สามารถใช้กับอุปกรณ์เสริมบางอย่างได้แล้วด้วย
ส่วนเรื่องของความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลนั้นก็เท่ากับ iPhone 4S ครับ เพราะยังคงใช้การเชื่อมต่อแบบ USB 2.0 เช่นเดิม
เพิ่มไมค์สำหรับตัดเสียงรบกวน โดยมีการเพิ่มไมค์อีกหนึ่งจุดที่บริเวณข้างๆ กล้องหลังของ iPhone 5 ทำให้สามารถตัดเสียงรบกวนจากภายนอกในระหว่างการสนทนาได้ดีขึ้นกว่าเดิม รวมไปถึงไมค์ด้านหลังนี้ยังช่วยให้การอัดเสียงขณะถ่ายวิดีโอทำได้ดีกว่าเดิมอีกต่างหาก เพราะไมค์หันหน้าเข้าไปรับเสียงจากทิศทางที่ถ่ายวิดีโอแบบตรงๆ
กล้องหน้าที่ความละเอียดสูงขึ้น โดยใน iPhone 5 จะมีการปรับตำแหน่งของกล้อง FaceTime ด้านหน้ามาไว้เหนือลำโพงสนทนา แต่ที่น่าสนใจกว่าก็คือมีการเพิ่มสเปกของกล้องให้สูงขึ้น โดยใช้เป็นกล้องความละเอียดการถ่ายภาพสูงสุด 1.2 ล้านพิกเซล ส่วนความละเอียดสูงสุดของการถ่ายวิดีโอก็อยู่ที่ 720p เทียบเท่ากับใน MacBook รุ่นใหม่ๆ แล้ว จึงน่าจะเหมาะกับหลายๆ คนที่นิยมถ่ายรูปด้วยกล้องหน้ามากขึ้น รวมไปถึงผู้ที่ใช้งาน FaceTime ที่จะได้วิดีโอที่ชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าใน iPhone 4S ที่มีความละเอียดเพียงระดับ VGA (แถมยังสามารถใช้ FaceTime ผ่าน 3G/4G ได้แล้วอีกด้วย ซึ่งเป็นฟีเจอร์ของส่วน iOS 6)
ส่วนอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่เพิ่มเข้ามาในกล้อง FaceTime (กล้องหน้า) ก็คือ มีการใส่ Backside illumination sensor มาให้เหมือนกับในกล้อง iSight (กล้องหลัง) จึงคาดได้ว่ากล้องหน้าใน iPhone 5 นี้จะมีประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีขึ้นกว่า iPhone 4S
สามารถถ่ายภาพนิ่งขณะกำลังถ่ายวิดีโออยู่ได้ ส่วนนี้น่าจะเนื่องมาจากพลังการประมวลผลของชิป Apple A6 ที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนเรื่องการประมวลผลภาพ นอกจากนี้ในขณะถ่ายวิดีโอ ตัวซอฟต์แวร์ยังสามารถตรวจจับหน้า (Face Detection) ได้ด้วย เพื่อจัดเรื่องการโฟกัสขณะถ่ายได้ดีขึ้น
?
อะไรที่เหมือน / คล้ายของเดิม?
กล้อง สเปคเหมือนของเดิม ภาพอาจจะดีขึ้นเล็กน้อยจาก ISP บน Apple A6 ส่วนจุดต่างที่เพิ่มขี้นมาก็คือเรื่องการเปลี่ยนกระจกครอบด้านหน้า ที่ Apple อ้างว่าสามารถให้ภาพที่ได้คมชัดขึ้น สีสันถูกต้องยิ่งขึ้น ซึ่งถ้ามาวัดคุณภาพของภาพก็คงไม่น่าจะต่างจาก iPhone 4S มากเท่าไร
สนับสนุน 3G ทุกค่ายเหมือนเดิม
Bluetooth ที่ยังคงเป็น Bluetooth 4.0 อีกทั้งเรื่องฟีเจอร์ต่างๆ ภายในก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกด้วย
GPS/GLONASS เรื่องของระบบหาพิกัดก็ยังมีมาให้ทั้ง GPS และ GLONASS ซึ่งจะทำงานร่วมกันเพื่อให้สามารถระบุพิกัดได้แม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยใครที่ต้องการใช้ฟีเจอร์นี้ ใน iPhone 4S ก็มีอยู่แล้วครับ
เเล้วเปลี่ยนดีไหม ?
สำหรับคำถามนี้คงตอบตายตัวไม่ได้ คือถ้าเป็นคนที่ใช้ iPhone เเล้วไม่คิดจะใช้ Android? ตัวเลือกก็มีอยู่ไม่มากนัก เเน่นอนว่าหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นนั่นอาจจะเป็น dealbreaker ที่ทำให้คนตัดสินใจได้ไม่ยาก (เป็นรุ่นเเรกที่ iPhone จอใหญ่กว่า 3.5 นิ้ว) เเละรอคอยมานาน เเต่ถ้าคิดว่าหน้าจอ 3.5 นิ้วก็ยังใช้ได้ดีอยู่ ก็ไม่มีความเป็นจำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะฟีเจอร์อื่นๆ ทีเพิ่มมาไม่ได้มีประโยชน์มากมายนัก กล้องก็คล้ายๆ ของเก่าเเต่ภาพออกมาอาจจะดีขึ้นเล็กน้อยจาก ISP ของ Apple A6 เเต่ดูเเล้วกล้องไม่น่าจะต่างกับ iPhone 4S มากนัก ส่วนเรื่องตัวประมวลผลก็เป็นเรื่องที่มีการอัพเกรดกันทุกปีอยู่เเล้ว ส่วนเเบตเตอรี่นั้นคาดว่ามากกว่าเดิมเล็กน้อย จนไม่ถึงขั้นเห็นความเเตกต่างกับรุ่นก่อนหน้ามากนัก จุดที่สำคัญของ iPhone 5 นั้นเเทบไม่มีเรื่องอื่นเลยนอกจากจอที่ใหญ่ขึ้นเท่านั้นในเเง่ฮาร์ดเเวร์
ยิ่งเมื่อนำมาเทียบกับ Android นั้นสเปคจะเห็นว่าไม่ได้น่าตื่นตาตื่นใจเท่าไรเพราะเป็นสิ่งที่พบเห็นมานานพอสมควรเเล้วกับสเปคเเบบนี้ โดยเฉพาะเรื่องหน้าจอ ซึ่งจุดเด่นของ iPhone จะอยู่ในเรื่องของ iOS เเละเเอพลิเคชันเสียมากกว่า เเต่ข้อดีของ iPhone คือมักจะมากับซีพียูที่อยู่ในระดับต้นๆ ของปีตลอดทุกรุ่น จึงไม่มีปัญหาว่าเเอพลิเคชันจะรันไม่ได้เเน่นอน ถ้าจะมองว่าใช้โทรศัพท์เป็น ?เครื่องมือ? ก็ถือว่า iPhone ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีเพราะมีความเสถียรในการใช้งานที่ดีกว่า Android เเต่สำหรับฝั่งที่เน้นดึงความสามารถของเครื่องออกมาให้เต็มที่รวมไปถึงชอบการปรับเเต่งที่ยืดหยุ่นกว่า? (มุมมองของผมคือถึง iPhone จะเจลเบรคลง Cydia ได้ก็ยังปรับเเต่งได้จำกัดเมื่อเทียบกับ Android อยู่ดี รวมถึงต้องทำการเเบคอัพเเพคเกจเเละการหา repo ต่างๆ) มีตัวเลือกอื่นๆ ที่น่าสนใจกว่ามากมายโดยมีราคาตั้งเเต่หมื่นกลางๆ ก็ได้สเปคเท่า iPhone 5 เเล้วถ้าไม่นับเรื่องซีพียู
สรุป
- ใช้ iPhone อยู่เเล้ว มีงบซื้อ iPhone อยู่ > ซื้อได้เลย
- ใช้ iPhone อยู่เเล้ว ลังเลว่าจะซื้อดีไหม > รออัพเกรดได้อีกทีปีหน้าดีกว่า
- ใช้ Android อยู่เเละไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร > ข้ามไปได้เลย
- ใช้ Android อยู่เเละอยากลองใช้ iPhone บ้าง > รอซื้อได้เลย จอใหญ่ใช้งานดีขึ้นเเน่นอน ไม่พอใจขายได้ราคาตกน้อยกว่าซื้อ iPhone 4S ปล่อยออกไม่ยาก