สมาร์ตวอทช์คือหนึ่งในอุปกรณ์เสริมที่ผู้ใช้สมาร์ตโฟนมักจะหามาใช้งานคู่กัน เนื่องจากความสามารถในปัจจุบันที่รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ดูเวลาที่เป็นฟังก์ชันหลักของการเป็นนาฬิกา การแสดงข้อมูลจากมือถือ ใช้ตรวจจับข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสุขภาพ ใช้ฟังเพลง คุยโทรศัพท์ได้โดยไม่จำเป็นต้องหยิบมือถือขึ้นมา เป็นต้น ซึ่งเมื่อประกอบกับระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ที่ทำได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ต้นทุนการผลิตที่มีแนวโน้มต่ำลง เราจึงได้เห็นนาฬิการูปแบบนี้ในราคาที่จับต้องได้ง่ายขึ้นมาก
ในบทความนี้เราจะมาแนะนำสมาร์ตวอทช์ 5 รุ่นที่น่าสนใจในช่วงราคาไม่เกิน 2,000 บาท ซึ่งถือเป็นช่วงราคาระดับเริ่มต้น และได้เป็นสินค้าจากแบรนด์ที่มีชื่อ ได้รับความนิยมในระดับหนึ่ง ทุกเรือนรองรับฟังก์ชันการทำงานหลัก ๆ คือสามารถใช้ดูเวลา ดูข้อมูลแจ้งเตือน และตรวจจับข้อมูลด้านสุขภาพ เช่นการนับก้าวเดิน คำนวณแคลอรี่ วัดอัตราการเต้นของหัวใจกันได้ทั้งหมด ส่วนราคาก็จะเป็นราคาจากร้านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทยในแพลตฟอร์มออนไลน์นะครับ ดังนั้นก็อาจจะมีการปรับเปลี่ยนบ้างเล็กน้อย หรือถ้าเป็นช่วงมีจัดโปรโมชันก็อาจจะได้ในราคาดีกว่านี้อีกด้วย
Redmi Watch 5 Lite ราคา 1,650 บาท
เริ่มต้นกันด้วยรุ่นสุดคุ้มอย่าง Redmi Watch 5 Lite ที่ต้องบอกเลยว่าในงบ 2,000 รุ่นนี้จะเด่นมากในแง่ที่ตัวเรือนมาพร้อมระบบระบุตำแหน่ง GNSS ถึง 5 ระบบ ประกอบด้วย GPS, Galileo, Glonass, BeiDou และ QZSS เรียกได้ว่าให้มาแทบจะเท่า ๆ กับมือถือเลยทีเดียว ทำให้เรือนนี้ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการเก็บข้อมูลขณะวิ่ง เพราะจะสามารถออกไปวิ่งได้โดยไม่จำเป็นต้องพกมือถือเพื่อใช้ในการจับตำแหน่งและนำทางเลย
จุดเด่นต่อมาก็คือตัวเรือนมาพร้อมหน้าจอ AMOLED ขนาด 1.96″ แบบสัมผัสที่ถือว่ามีขนาดค่อนข้างใหญ่ ทำให้ใช้งานง่าย ความคมชัดสูง รองรับหน้าจอแบบติดตลอด (Always-On Display) มีหน้าปัดให้เลือกเปลี่ยนได้มากกว่า 200 แบบส่วนหน้าตาโดยรวมก็จะมีรูปทรงที่ค่อนข้างคล้ายกับค่ายผลไม้นิดนึง แต่สิ่งที่เรือนนี้เหนือกว่าแน่ ๆ ก็คือแบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานในโหมดทั่วไปได้นานสุดถึง 18 วัน ถ้าใช้งานหนักหน่อยก็จะอยู่ที่ 12 วัน หรือถ้าเปิด AOD ให้หน้าจอติดตลอดด้วยก็จะอยู่ได้นานสุดประมาณ 7 วัน จึงจัดว่าเหมาะทั้งกับการใช้เป็นสมาร์ตวอทช์เรือนหลัก หรือจะใช้ไว้สำหรับใส่วิ่ง ใส่ออกกำลังกายอย่างเดียวก็ได้
ส่วนด้านการออกกำลังกาย Redmi Watch 5 Lite มีโหมดการออกกำลังกายมากกว่า 150 แบบ มีระบบช่วยแนะนำด้านการออกกำลังกาย รวมถึงยังใส่ว่ายน้ำได้ เพราะตัวเรือนได้รับการออกแบบมาให้กันน้ำได้ระดับ 5ATM คือที่ระดับน้ำลึกสุดประมาณ 50 เมตร แต่ก็ไม่แนะนำสำหรับการใส่ดำน้ำนะครับ
ตัวเรือนจะเป็นพลาสติก NCVM สาย TPU แบบนิ่มที่สามารถใส่ได้กับข้อมือหลายขนาดตั้งแต่รูแรกสุด 13.5 จนถึงรูสุดท้าย 20.5 ซม. (5.3″-7.8″) มาพร้อม Xiaomi HyperOS รองรับการทำงานร่วมกับทั้ง iOS 12 และ Android 8.0 ขึ้นไป เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.3 และมีลำโพงในตัว สามารถใช้คุยโทรศัพท์ผ่านตัวเรือนได้เลย
เหมาะกับใคร?
Redmi Watch 5 Lite จะเหมาะกับผู้ที่ต้องการสมาร์ตวอทช์ระดับเริ่มต้นที่ใช้งานทั่วไปได้ดี มี AOD ไว้ดูเวลาได้สะดวก และต้องการใส่วิ่งแบบไม่อยากพกมือถือติดตัวไปด้วยตลอดเวลา
Mibro Watch A2 ราคา 1,690 บาท
อีกรุ่นที่มีราคาใกล้เคียงกันก็คือ Mibro Watch A2 ซึ่งจัดว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์สมาร์ตวอทช์สายสปอร์ตระดับเริ่มต้นที่น่าสนใจในปัจจุบัน ด้วยฟังก์ชันที่ค่อนข้างครบครันสำหรับสายออกกำลังกาย และดีไซน์ที่จัดว่าลงตัว น้ำหนักเบา สามารถใส่วิ่งได้สบาย อย่างเรือนนี้ก็จะมีน้ำหนักตัวเรือนรวมสายเพียง 47 กรัมเท่านั้น และถ้าอยากให้น้ำหนักเบา ใส่สบายก็สามารถเปลี่ยนไปใช้สายแบบผ้า Active Loop ที่แถมมาในกล่องก็ทำได้ง่าย ๆ เพราะตัวล็อกสายเป็นแบบ quick release ซึ่งเท่ากับว่าสามารถหาซื้อสายมาเปลี่ยนตามความต้องการก็ได้ด้วย โดยจะใช้สายหน้ากว้าง 22 มม. ที่เป็นหนึ่งในขนาดยอดนิยม และมีตัวเลือกสายให้เลือกหลากหลายแบบมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นสายยาง ซิลิโคน สายผ้า สายหนัง สายโลหะ ซึ่งเมื่อตัวเรือนเป็นหน้ากลม ก็ทำให้สามารถหาสายมาใส่ได้ไม่ยากนัก ใช้งานได้ในหลากหลายโอกาส
หน้าปัดทรงกลม ตัวเคสทำมาจากพลาสติก Polyamide ผสมกราไฟต์ ขอบ bazel ด้านในจะเป็นกรอบโลหะล้อมรอบหน้าจอ AMOLED ขนาด 1.39″ 60Hz ทำให้ได้ภาพที่สวยงาม สีสด การเปลี่ยนหน้าจอมีความลื่นไหล มีหน้าปัดให้เลือกเปลี่ยนได้จากในแอป Mibro Fit ที่มีให้ใช้งานทั้งใน iOS และ Android ฟังก์ชันการทำงานร่วมกับสมาร์ตโฟนก็จัดว่าครอบคลุมการใช้งานะื้นฐาน อาทิการดูข้อมูล คุยโทรศัพท์ผ่าน Bluetooth การตอบกลับสายเรียกเข้า มีโหมดออกกำลังกาย 70 รูปแบบ รองรับการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ วัดระดับออกซิเจนในเลือด ติดตามการนอนหลับ
ตัวเรือนสามารถกันน้ำได้ที่ระดับ 2ATM (20 เมตร) สามารถใส่ล้างมือ ว่ายน้ำในสระที่น้ำค่อนข้างนิ่งได้ ส่วนแบตเตอรี่ก็สามารถใช้งานทั่วไปได้นานสุดราว 50 วัน ส่วนถ้าเปิดใช้งานแบบจัดเต็มทุกฟังก์ชันก็จะอยู่ที่ประมาณ 10 วัน สำหรับการฟังเพลงและคุยโทรศัพท์ผ่านนาฬิกาจะทำได้ราว 5 ชั่วโมง
เหมาะกับใคร?
รวม ๆ จะค่อนข้างเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ตวอทช์สำหรับใส่ออกกำลังกาย โดยเน้นแบตอึด ใช้งานได้หลายวัน หน้าจอสวย สู้แดดได้ดี และต้องการฟีเจอร์ตรวจจับการนอนหลับด้วย และมีการรับรองว่าสามารถกันน้ำได้แน่ ๆ ที่ระดับ 2ATM
AUKEY SW-2U ราคา 1,750 บาท
ด้านของแบรนด์อุปกรณ์เสริมชื่อดังอย่าง AUKEY เองก็มีการนำสมาร์ตวอทช์เข้ามาขายในไทยเช่นกัน นั่นคือรุ่น Smart Watch 2 Series (SW-2U) จุดเด่นคือรูปลักษณ์ที่จัดว่ามีความพรีเมียมพอตัว สามารถใช้เป็นนาฬิกาใส่ทั่วไปในชีวิตประจำวันได้สบาย โดยเฟรมของตัวเรือนจะใช้วัสดุเป็น Zinc Alloy รมดำบรัชลายที่ช่วยเพิ่มความหรูหรา มีปุ่มกดหลักและเม็ดมะยมอยู่ด้านข้าง จับคู่มากับสายหนังวีแกนสีน้ำตาล และมีสายซิลิโคนแถมมาให้อีกหนึ่งเส้น สามารถถอดเปลี่ยนได้อย่างง่ายดาย หรือจะซื้อสายที่ชอบมาเปลี่ยนเองก็ทำได้ โดยเลือกเป็นสายขนาด 22 มม. ได้เลย
หน้าจอ AMOLED ขนาด 1.43″ มีขนาดค่อนข้างใหญ่พอสมควร โดยจะเหมาะกับผู้ชายมากกว่า รองรับการแสดงภาพแบบติดตลอดเวลา (AOD) จับคู่กับมือถือและปรับตั้งค่าต่าง ๆ ได้ผ่านแอป AUKEY Fit Pro ที่มีให้ใช้งานได้ทั้ง iOS และ Android มีหน้าปัดให้เลือกเปลี่ยนได้มากกว่า 300 แบบ ส่วนการทำงานก็จะรองรับการแสดงข้อมูลแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ สามารถรับสายโทรศัพท์ และควบคุมการเล่นเพลงผ่านตัวเรือนได้เลย ด้านของสุขภาพก็รองรับการวัดข้อมูลทั้งอัตราการเต้นของหัวใจ การวัดระดับออกซิเจนในเลือด วิเคราะห์การนอนหลับ มีโหมดออกกำลังกายมากกว่า 10 โหมด รองรับการออกกำลังกายหลัก ๆ อย่างการวิ่ง วิ่งบนลู่ เดิน ปีนเขา ปั่นจักรยาน เตะบอลได้แบบครบถ้วน
ความสามารถในการกันน้ำกันฝุ่นของตัวเรือนจะผ่านการรับรองมาที่ระดับ IP68 ที่ปกติแล้วก็สามารถใส่ในชีวิตประจำวันได้สบาย ใส่ล้างมือ ใส่ขณะเปียกฝน โดนเหงื่อขณะใช้งาน โดนน้ำกระเซ็นใส่ได้แบบไม่น่ามีปัญหา ส่วนการใส่ว่ายน้ำ อันนี้อาจจะไม่แนะนำเท่าไหร่ครับ แบตเตอรี่รองรับการใช้งานได้นานสุด 15 วัน
เหมาะกับใคร?
จากทั้งหมด ทำให้ AUKEY SW-2U จะเป็นสมาร์ตวอทช์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่มองหานาฬิกามาใส่ใช้งานทั่วไปซักเรือน มาพร้อมสายหนังที่ดูดี เสริมลุคได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ต้องการรับข้อมูลการแจ้งเตือนจากมือถือ มีการ tracking พวกการนับก้าว การออกกำลังด้วยในราคาไม่แพงมากนัก
Amazfit Bip 5 Unity ราคา 1,940 บาท
สำหรับแบรนด์ Amazfit ถือว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์สมาร์ตวอทช์ที่ได้รับความนิยมสำหรับสายออกกำลังกาย ด้วยตัวเลือกของรุ่นและราคาที่มีหลากหลาย อย่างถ้าต้องการสมาร์ตวอทช์ราคาไม่เกิน 2,000 ซักเรือนก็จะมี Amazfit Bip 5 Unity ที่น่าสนใจ กับราคา 1,940 บาท และอาจใส่โค้ดส่วนลดลงไปได้อีกเล็กน้อย โดยจุดที่น่าสนใจคือเฟรมของตัวเรือนจะทำมาจากสแตนเลสสตีลเหมือนกับในนาฬิกาข้อมือสำหรับใช้งานทั่วไปหลาย ๆ รุ่น มีจุดเด่นทั้งในด้านความทนทานและความหรูหรา ตัวเรือนมีความหนาเพียง 10 มม. และมีน้ำหนักเพียง 25 กรัมเท่านั้น (ไม่รวมสาย) ทำให้สามารถใส่ในชีวิตประจำวัน ใส่วิ่ง ใส่ออกกำลังกายได้สบาย สายรองรับการใช้กับข้อมือได้หลากหลายขนาดตั้งแต่ 15.5 ถึง 21 ซม. (6.1″- 8.2″) หากต้องการเปลี่ยนสายก็สามารถหาซื้อสายหน้ากว้าง 22 มม. มาเปลี่ยนได้
และเห็นบางเบาแบบนี้ แต่จริง ๆ แล้วตัวเรือนมาพร้อมกับหน้าจอสัมผัสที่ใหญ่ถึง 1.91″ หรือขนาดประมาณ 46 มม. ซึ่งถือว่าเป็นนาฬิกาที่หน้าจอใหญ่สะใจมาก ทำให้สามารถดูเวลาและข้อมูลบนหน้าจอได้สะดวก จะติดก็ตรงที่พาเนลจอยังเป็น LCD อยู่ ไม่ได้เป็นจอ AMOLED เหมือนรุ่นอื่น ๆ ทำให้อาจจะใช้งานกลางแจ้งไม่สะดวกอยู่บ้าง ความสามารถในการกันน้ำกันฝุ่นจะอยู่ที่ระดับ IP68 ใช้งานทั่วไปได้สูงสุด 11 วัน ส่วนถ้าใช้งานหนักจะอยู่ได้สูงสุด 5 วัน แต่ถ้าเลือกใช้โหมดประหยัดพลังงานจะสามารถใช้ได้สูงสุดถึง 26 วันเลยทีเดียว
ด้านสุขภาพก็จะรองรับการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ระดับออกซิเจนในเลือด ตรวจจับการนอน วัดระดับความเครียดได้ รองรับโหมดการออกกำลังกายได้กว่า 120 โหมด และสามารถตรวจจับการออกกำลังกายแบบอัตโนมัติได้ 6 ชนิดกีฬา เช่น การวิ่งกลางแจ้ง การวิ่งบนลู่ การเดิน เป็นต้น รองรับการทำงานร่วมกับแอป Zepp ที่มีให้ใช้ทั้งบน iOS และ Android เช่นกัน สามารถใช้รับสายผ่าน Bluetooth และคุยโทรศัพท์ผ่านลำโพงกับไมค์ในตัวเรือนได้เลย
เหมาะกับใคร?
ถ้าต้องการสมาร์ตวอทช์สำหรับออกกำลังกาย เน้นหน้าจอใหญ่ ๆ ในราคาไม่ถึงสองพันบาท Amazfit Bip 5 Unity คือรุ่นที่น่าใช้งานมากทีเดียว เพราะฟังก์ชันหลักให้มาครบ วัดความเครียดสะสมได้ แถมได้น้ำหนักเบาด้วย ติดที่หน้าจอไม่ใช่ AMOLED เท่านั้นเอง
KAVVO Cyber RH1 ราคา 1,290 บาท
ปิดท้ายด้วย KAVVO Cyber RH1 ที่อาจจะดูไม่ค่อยคุ้นหูคุ้นตามากนัก แต่ก็มีฟังก์ชันบางส่วนที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับราคาพันต้น ๆ นั่นคือความสามารถในการวัดความดันโลหิตของผู้ใช้งานได้ ซึ่งปกติแล้วมักจะมีอยู่ในรุ่นที่ราคาสูงกว่านี้ รวมถึงยังสามารถวัดค่าทั่วไปอย่างอัตราการเต้นของหัวใจ ปริมาณออกซิเจนในเลือด และวัดการนอนหลับได้ตามปกติด้วย อย่างไรก็ตามต้องหมายเหตุไว้ว่าค่าที่ได้จากการวัดด้วยสมาร์ตวอทช์ทุกรุ่น จะไม่สามารถนำไปใช้ในทางการแพทย์ได้นะครับ แต่จะเหมาะไว้สำหรับประเมินแบบคร่าว ๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการดูแลสุขภาพเท่านั้น แต่ก็ต้องถือว่ามีประโยชน์อยู่เหมือนกัน อย่างน้อยก็คือน่าจะพอช่วยตรวจจับสัญญาณสุขภาพเบื้องต้นได้ เผื่อเริ่มมีสิ่งผิดปกติ จะได้ไปตรวจวัดด้วยเครื่องมือเฉพาะทางและพบแพทย์ได้แต่เนิ่น ๆ
อีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจก็คือในตัวเรือนจะมี NFC ที่ใช้จ่ายเงินผ่าน Alipay ได้ ซึ่ง ณ ขณะนี้ก็มีร้านค้าหลายแห่งที่รองรับการจ่ายผ่าน Alipay บ้างแล้วเหมือนกัน และจะยิ่งได้ประโยชน์เต็ม ๆ สำหรับผู้ที่ไปเที่ยวประเทศจีนหรือประเทศที่รองรับการจ่ายเงินในรูปแบบนี้ ทำให้เวลาต้องการจ่ายเงินก็สามารถยื่นข้อมือไปตรงบริเวณเซ็นเซอร์ได้เลย เพิ่มความสะดวกได้ดีทีเดียว
ส่วนของตัวเรือนก็จะทำมาจาก Zinc Alloy หน้าจอ TFT ขนาด 1.39″ รีเฟรชเรต 60Hz ให้ภาพที่ดูลื่นเนียนตา กันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 รองรับโหมดออกกำลังกายมากกว่า 100 แบบ แบตเตอรี่ใช้งานได้นานสุดราว 7 วันต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง รองรับการคุยโทรศัพท์ผ่าน Bluetooth ได้ ซิงค์ข้อมูลกับมือถือผ่านแอป GloryFit ได้ตามแบบฉบับสมาร์ตวอทช์ปกติ มีแอปให้ใช้งานได้ทั้ง iOS, Android และ HarmonyOS ส่วนราคาก็สามารถหาซื้อได้ในหลักพันต้น ๆ เท่านั้น
เหมาะกับใคร?
น่าจะตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการนาฬิกาแบบสมาร์ต ๆ ที่ฟังก์ชันพื้นฐานครบถ้วนในราคาระดับเริ่มต้น โดยไม่เน้นว่าต้องเป็นแบรนด์หลัก แต่เน้นที่ความสามารถหลากหลาย วัดความดันได้ แล้วก็อาจจะต้องใช้งาน AliPay บ่อย ๆ เรือนนี้น่าจะถูกใจพอสมควรเลย
สิ่งที่จะได้จากสมาร์ตวอทช์ราคาพันต้น ๆ
แน่นอนว่าด้วยราคาที่จัดว่าอยู่ในระดับเริ่มต้นของผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ ทำให้สเปคและฟังก์ชันต่าง ๆ อาจจะยังไม่ถึงกับจัดเต็มอยู่บ้าง แต่โดยพื้นฐานแล้วทั้ง 5 เรือนก็จะมีจุดร่วมบางส่วนที่เหมือนกัน อาทิ
- คุณสมบัติในการตรวจวัดข้อมูลสุขภาพคล้ายกัน คือ วัดอัตราการเต้นของหัวใจ วัดออกซิเจนในเลือด วัดการนอนหลับ
- รองรับโหมดการออกกำลังกายได้หลากหลาย ครอบคลุมไลฟ์สไตล์ในปัจจุบัน
- แบตอึด ใช้งานทั่วไปได้ไม่ต่ำกว่า 7 วัน
- มีแอปเชื่อมกับมือถือ สามารถใช้ดูการแจ้งเตือน ซิงค์ข้อมูลสุขภาพ คุยโทรศัพท์ผ่านตัวเรือนได้เลย
- สามารถเปลี่ยนรูปแบบหน้าปัด เปลี่ยนสายเองได้
- กันน้ำกันฝุ่นขั้นต่ำที่ IP68 ซึ่งจะเหมาะกับการใส่ใช้งานทั่วไป ไม่เน้นเรื่องการว่ายน้ำ การแช่น้ำนาน ๆ
ที่เหลือก็คงต้องพิจารณาจากจุดเด่นของแต่ละเรือน แต่ละรุ่น รวมถึงรูปร่างหน้าตา ดีไซน์ตัวเรือนกันอีกทีครับว่าแต่ละท่านจะชอบแบบไหน