ต้องบอกว่า iPhone รุ่นหลักประจำปี 2020 ก็คือกลุ่มของ iPhone 12 ที่ทำออกมาได้ค่อนข้างโดนใจผู้ที่ต้องการเปลี่ยนมาใช้มือถือ 5G พอสมควรเลย โดยเฉพาะกับ iPhone 12 Pro Max ที่เป็นรุ่นใหญ่สุด ท็อปสุด จัดเต็มทั้งขนาดหน้าจอ และก็มีสเปคภายในบางจุดที่ให้มาสูงกว่ารุ่นเกือบท็อปอย่าง iPhone 12 Pro ด้วย แต่ก็มาพร้อมกับราคาเริ่มต้นเกือบแตะ 40,000 บาท จึงทำให้มีประเด็นอยู่เหมือนกันว่ามันคุ้มหรือเปล่าที่จะเป็นเจ้าของ iPhone 12 Pro Max หรือจะยอมถอยลงมาเป็นรุ่น Pro ปกติที่ราคาย่อมเยากว่า ลองมาชมในรีวิวบทความนี้ดูครับ ว่าตัวของรุ่น Pro Max มีอะไรน่าสนใจบ้าง คุ้มกับการอัพเงินขึ้นไปขนาดไหน
ซึ่ง iPhone 12 ในซีรีส์ Pro นี้จะมาพร้อมตัวเครื่องที่แตกต่างจากรุ่นปกติพอสมควร แม้ว่ารูปร่างหน้าตาจะคล้ายกัน แต่วัสดุนั้นจะให้ความรู้สึกว่าเป็นรุ่นพรีเมียมกว่าอย่างชัดเจน ประกอบกับโทนสีของตัวเครื่องที่ให้ความ luxury กว่า อย่างในรีวิวนี้ก็จะเป็น iPhone 12 Pro Max สีทอง ความจุ 512 GB ซึ่งเป็นรุ่นท็อปสุดประจำรุ่นเลย
สเปค iPhone 12 Pro Max
- ชิปประมวลผล Apple A14 Bionic
- แรม 6 GB
- หน้าจอ OLED แบบ Super Retina XDR ขนาด 6.7″ ความละเอียด 2778 x 1284
- จอรองรับการแสดงสีระดับ DCI-P3 / HDR และรองรับฟังก์ชัน True Tone
- พื้นที่เก็บข้อมูลมีให้เลือกทั้ง 128 / 256 และ 512 GB
- กล้องหลัง 3 ตัว ใช้เซ็นเซอร์รับภาพที่ใหญ่กว่ารุ่นอื่น + เซ็นเซอร์ LiDAR
- กล้องหลัก 12MP f/1.6 ระบบกันสั่นแบบใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์ (sensor shift)+ Dual OIS
- เลนส์อัลตร้าไวด์ 12MP f/2.4
- เลนส์เทเล 12MP f/2.2 กันสั่น Dual OIS
- รองรับการซูมออปติคอล 5 เท่า (เข้าใกล้ 2.5x ออก 2x) และซูมดิจิตอลได้สูงสุด 12 เท่า
- รองรับการถ่ายภาพนิ่งแบบไฟล์ Raw ด้วย AppleProRAW
- รองรับการถ่ายวิดีโอ HDR Dolby Vision 60fps และมีฟังก์ชันการซูมเสียง (Audio zoom)
- กล้องหน้า 12MP f/2.2 ถ่ายวิดีโอได้ระดับ HDR Dolby Vision 30fps และมีระบบกันสั่น
- รองรับ 5G ในไทยในช่วงคลื่น sub-6
- WiFi 6 MIMO 2×2 + Bluetooth 5.0 + UWB + NFC
- กันน้ำกันฝุ่นในระดับ IP68
- ลำโพงสเตอริโอ ระบบเสียงรอบทิศทาง Dolby Atmos
- รองรับการเล่นวิดีโอ HDR แบบ Dolby Vision / HDR10 และ HLG
- แบตเตอรี่ 3687 mAh รองรับการชาร์จเร็ว
- รองรับการชาร์จไร้สายทั้งแบบ MagSafe (สูงสุด 15W) และ Qi (สูงสุด 7.5W)
หากเทียบสเปคบนหน้ากระดาษของ iPhone 12 Pro Max กับ iPhone 12 Pro ที่เป็นรุ่นใกล้เคียงกัน ก็จะมีจุดต่างหลักเลยคือหน้าจอกับแบตเตอรี่ที่ใหญ่กว่าตามขนาดเครื่อง และจุดที่เพิ่มความน่าสนใจให้กับรุ่น Max ก็คือเซ็นเซอร์รับภาพ และก็ขนาดเม็ดพิกเซลบนเซ็นเซอร์ของกล้องหลังที่มีขนาดใหญ่กว่า ช่วยให้การรับแสงของกล้องหลังตัวหลักนั้นทำได้ดีขึ้น รวมถึงยังมีระบบกันสั่นเพิ่มมาในระดับเซ็นเซอร์รับภาพด้วย (sensor shift) ซึ่งเป็นระบบกันสั่นแบบเดียวกับที่พบในกล้อง DSLR / Mirrorless จากที่ระบบ OIS แบบปกติจะอาศัยการขยับโมดูลเลนส์ ส่งผลให้ทุกเลนส์ของกล้องหลังในรุ่น Max จะมีระบบชดเชยการสั่นมาให้ เพื่อภาพที่คมชัด โดยเฉพาะในการถ่ายวิดีโอ
เรียกว่าถ้าต้องการกล้องระดับใช้งานได้จริงจังยิ่งขึ้น รุ่น Pro Max ดูจะมีภาษีดีกว่ารุ่น Pro ปกติอยู่นิดนึง
สำหรับราคา iPhone 12 Pro Max เครื่องศูนย์ไทย อิงตามราคาบนหน้าเว็บ Apple ก็จะเริ่มต้นที่ 39,900 บาทในรุ่นความจุ 128 GB จากนั้นก็บวกไปอีก 4,000 บาทในรุ่น 256 GB ส่วนถ้าจะจัดเต็มสุด 512 GB ก็บวกขึ้นมาเป็น 51,900 บาทเลย ซึ่งเป็นสเต็ปที่ก้าวกระโดดอยู่พอตัว ความเห็นของผมคือ ถ้าต้องการซื้อมาใช้งานทั่วไป อยากได้ iPhone รุ่นใหม่จอใหญ่ รุ่น 128 GB ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานได้สบายแล้วครับ อาจจะเอาเงินไปจ่ายค่าพื้นที่ iCloud เพื่อเก็บรูปซักหน่อยก็ดี หรือจะยอมบวกไปเป็นรุ่น 256 GB ก็พอไหว แต่ถ้าระดับ 512 GB นี้ น่าจะเหมาะกับคนที่ต้องการซื้อมาใช้งานด้านวิดีโอจริงจังซะมากกว่า เช่น เอามาถ่ายวิดีโอ 4K 60fps
ตัวเครื่อง
มาดูที่อุปกรณ์ในกล่องก่อนแล้วกันครับ แน่นอนว่าเป็นข่าวใหญ่มาตั้งแต่ตอนเปิดตัวเลยว่าปีนี้ Apple จะเลิกแถมอะแดปเตอร์ชาร์จไฟ และหูฟังใน iPhone ทุกรุ่น เราจึงได้เห็นกล่อง iPhone บางลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องก็จะมีเพียงสาย Lightning – USB-C เข็มจิ้มถาดใส่ซิม สติกเกอร์โลโก้ Apple 1 ดวง และก็เอกสารคู่มือเล็กน้อย
เทียบขนาดกับกล่องของ iPhone 11 ต้องบอกว่าบางกว่ากันครึ่งต่อครึ่งเลย
รูปทรงด้านหน้าของ iPhone 12 Pro Max ก็ต้องบอกว่ายังเป็นทรงเดียวกับรุ่นก่อนเลย คือมีติ่งจอด้านบนเป็นแนวยาวขนาดเท่าเดิม มีขอบจอสีดำกินเข้ามาบางกว่ารุ่นปกติอย่าง iPhone 12 ส่วนขอบกระจกด้านนอกจะเป็นแบบเรียบไปชนกับขอบสแตนเลสสตีลได้ลงตัวพอดี ต่างจาก iPhone 11 Pro Max ที่เป็นขอบโค้งนิด ๆ และถึงแม้จะใช้กระจกแบบเรียบก็ตาม แต่เท่าที่ผมใช้งานมาก็ไม่พบปัญหาขอบบาดมือแต่อย่างใด จะมีเจ็บมือเล็กน้อยตอนที่ต้องกำเครื่องไว้นาน ๆ
สีสันและความสว่างบนจอนั้นทำได้ดีมากตามสไตล์รุ่นท็อปของ Apple ด้วยโครงสร้างจอแบบ OLED ของจอ Super Retina XDR ทำให้ได้สีสันที่สดใส สามารถเร่งความสว่างได้สูงสุดถึง 800 nits ส่วนในการแสดงภาพแบบ HDR นั้นจะเร่งขึ้นไปได้สูงถึงระดับ 1200 nits ทำให้ไม่ว่าจะใช้งานในที่ร่ม หรือจะกลางแดดจัดก็ไม่มีปัญหา
โดยปัจจุบันนี้ ตัววิดีโอที่ให้ภาพแบบ HDR เองก็หาชมได้ง่ายขึ้นมาก โดยเฉพาะในแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง YouTube และ Netflix ก็มีให้ได้ชมกันเยอะพอสมควรเลย ทำให้การรับชมความบันเทิงบน iPhone 12 Pro Max นั้นเต็มอิ่มแน่นอน
ส่วนกระจกหน้าจอจะเป็นเซรามิกชิลด์ที่มีจุดเด่นตรงความแข็งแกร่ง ควบคู่กับความใสที่ทำให้แสงส่องผ่านได้ดี
บริเวณฝั่งขวาของติ่งจอด้านบน จะเป็นจุดที่ iOS ใช้แสดงสถานะว่ามีการใช้งานกล้องกับไมโครโฟนอยู่ โดยถ้าเป็นการใช้กล้อง เช่น เมื่อเปิดแอปกล้อง ก็จะเป็นจุดสีเขียว ส่วนถ้าเป็นการใช้ไมค์เพียงอย่างเดียว ก็จะเป็นไฟสีส้ม ดังนั้น ถ้าเจอจุดสีปรากฏขึ้นมาตรงบริเวณนี้ก็ไม่ต้องตกใจครับ จอไม่ได้เสีย แต่เป็นฟังก์ชันการเตือนของตัว iOS เอง เพื่อให้ผู้ใช้ว่าตอนนี้กล้อง/ไมค์ทำงานอยู่
ด้านหลังของ iPhone 12 Pro Max ก็จะมีสีที่แตกต่างกันตามสีเครื่อง อย่างถ้าเป็นเครื่องสีทอง ฝาหลังก็จะเป็นสีทองอ่อน ๆ เกือบถึงระดับบรอนซ์ทอง วัสดุที่ใช้ก็จะเป็นกระจกผิวด้าน ต่างจากบริเวณขอบเครื่องสแตนเลสสตีลที่เป็นสีทองแวววาว
บริเวณกล้องหลังก็จะมีมาด้วยกัน 3 เลนส์ พ่วงมาด้วยไฟแฟลช LED และก็เซ็นเซอร์ LiDAR สำหรับช่วยในการวัดระยะห่างจากวัตถุ ซึ่งจะเข้ามาช่วยในการวัดระยะโฟกัสเมื่อถ่ายภาพในที่มีแสงน้อยให้ทำได้เร็ว และแม่นยำมากยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าตรงบริเวณกล้องหลังจะนูนขึ้นมาจากผิวฝาหลัง โดยมีขอบสแตนเลสสีทองเป็นวงล้อมรอบกระจกปิดหน้าเลนส์ด้วย
ขอบด้านบนจะมีเพียงแถบช่วยเพิ่มช่องว่างในเนื้อโลหะ เพื่อช่วยในการรับสัญญาณของเสาอากาศ ส่วนด้านล่างจะมีทั้งลำโพง ไมค์ และก็พอร์ต Lightning
ฝั่งขวามีปุ่ม Power ซึ่งเครื่องในไทยจะมีเพียงเท่านี้เลยครับ ต่างจากเครื่องที่ขายในสหรัฐฯ ที่จะมีแถบยาว ๆ เพิ่มมาด้วยอีกแถบหนึ่ง เพื่อใช้ช่วยในการรับสัญญาณ 5G ในช่วงคลื่นระดับ mmWave (2600 MHz ขึ้นไป) ที่ในตอนนี้ยังมีใช้งานอยู่ไม่กี่เครือข่ายในไม่กี่ประเทศเท่านั้น ทำให้ถ้าหากคุณต้องการซื้อ iPhone มาใช้งาน 5G ในไทย ก็เลือกซักรุ่นในซีรีส์ iPhone 12 มาได้เลยครับ ไม่จำเป็นต้องไปหาเครื่องหิ้วจาก USA ให้วุ่นวาย เพราะถึงได้มา ก็ได้ประสิทธิภาพในการใช้งานในไทยที่เท่ากับเครื่องศูนย์ไทยอยู่ดี
ส่วนฝั่งซ้ายจะมีสวิตช์เปิด/ปิดเสียง ปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง และก็ถาดใส่ซิมการ์ด ซึ่งรุ่นในไทยจะใส่นาโนซิมได้ซิมเดียว ถ้าต้องการใช้สองเบอร์ก็ต้องใช้การเพิ่ม eSIM เข้ามา แต่สำหรับในตอนนี้ (ต้นปี 2021) หากต้องการใช้งานซิมการ์ด+นาโนซิม จะยังไม่สามารถใช้งาน 5G ได้ครับ ต้องใช้งานแค่เบอร์เดียวก่อน คาดว่าจะมีการอัพเดตตามมาให้ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพในอนาคต
การใช้งาน 5G
โดยปกติแล้ว iPhone มักจะมาพร้อมความสามารถในการจับคลื่นสัญญาณ cellular ได้ครอบคลุมเกือบถึงคลื่นความถี่ ทำให้มั่นใจได้เลยว่า iPhone 12 series นั้นจะรองรับการใช้งาน 5G ทุกเครือข่ายในไทยได้แบบไม่มีปัญหา โดยผมลองทดสอบกับ 5G AIS ก็ได้ความเร็วอยู่ในระดับที่ดีเลย กับการกระจายสัญญาณ 5G แบบ NSA ในต่างจังหวัด ซึ่งความเร็วที่ได้นั้นในระดับเดียวกันกับ Samsung Galaxy S21+ 5G ที่ได้มาทดสอบพร้อม ๆ กันเลย
ส่วนโหมดการรับสัญญาณ Voice & Data ตัว iOS 14 จะมีสามรูปแบบคือ
- 5G On – บังคับให้จับ 5G ตลอดเวลาเท่าที่ทำได้ (แต่ถ้าไม่เจอคลื่นก็สลับมาเป็น 4G)
- 5G Auto – ตัวเครื่องจะจับ 4G เป็นหลัก แต่ถ้ามีการใช้งานที่ต้องใช้เน็ตเร็ว ๆ ก็จะสลับมาใช้ 5G ให้อัตโนมัติ และสลับกลับเมื่อไม่ได้ใช้เน็ตเร็วระดับ 5G
- 4G – บังคับให้เครื่องจับ 4G อย่างเดียว
ในหัวข้อ Data Mode ก็จะเป็นเรื่องการใช้งานปริมาณเน็ตที่มีแบ่งย่อยอีกสามแบบอีกครับ
- Allow More Data on 5G – เปิดให้เครื่องใช้เน็ตเต็มที่ เพื่อการใช้งานด้านวิดีโอและ FaceTime ในความละเอียดภาพระดับสูง
- Standard – เปิดให้ใช้เน็ตตามปกติ มีการโหลดข้อมูล และโหลดอัพเดตแอปเบื้องหลังได้ แต่จำกัดปริมาณเน็ตในการใช้งานวิดีโอและ FaceTime ให้อยู่ในระดับมาตรฐาน
- Low Data Mode – ลดปริมาณการใช้เน็ตลง โดยจะไม่อนุญาตให้ระบบโหลดข้อมูลกับโหลดอัพเดตเบื้องหลัง
ซึ่งสำหรับ iPhone 12 Pro Max ที่ให้ปริมาณแบตมาเยอะกว่ารุ่นอื่นนั้น จะเปิดโหมด 5G On ไปเลยก็สบาย ๆ ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพื้นที่ในการใช้งานประจำนั้น อยู่ในบริเวณที่สัญญาณ 5G ครอบคลุมเกือบตลอดเวลา เช่น ตามถนนเส้นหลักและพื้นที่สำคัญ ๆ ใน กทม. เพราะทำให้ตัวเครื่องไม่ต้องผลาญการใช้งานแบตมากขึ้นเพื่อการพยายามจับสัญญาณ 5G ส่วนในหัวข้อ Data Mode นั้น ใช้แค่ระดับ Standard ก็เพียงพอแล้ว
แต่ถ้าคุณจะนำไปใช้งานในพื้นที่ที่สัญญาณ 5G ยังไม่ครอบคลุมเต็มที่นัก แนะนำให้ปรับเป็น 5G Auto จะดีกว่า หรือถ้ามั่นใจว่าไม่ได้ใช้สัญญาณ 5G แน่ ๆ หรือไม่มีแพ็คเกจ 5G ก็ปรับเป็นโหมด 4G ไปเลย เซฟแบตเตอรี่สุด
เคส MagSafe
อุปกรณ์เสริมที่ได้รับการเปิดตัวมาพร้อมกับ iPhone 12 Pro Max ก็คืออุปกรณ์ในกลุ่ม MagSafe เช่น เคส MagSafe ที่เราได้รับมารีวิวพร้อมตัวเครื่องเลย โดยชิ้นนี้จะเป็นเคสใสครับ ราคาหน้าเว็บ Apple อยู่ที่ 1,790 บาท
เนื้อวัสดุจะเป็นโพลีคาร์บอเนตที่มีความยืดหยุ่นบริเวณขอบเล็กน้อย มีแถบแม่เหล็ก MagSafe ฝังมาในตัว
เมื่อประกบกับตัวเครื่อง อาจจะแอบขัดใจนิดนึงตรงที่โลโก้ Apple มันดันไม่อยู่กึ่งกลางวงกลมซะอย่างนั้น แต่ที่แน่ ๆ คือมันพอดีเครื่องเป๊ะ ทำให้ตอนถอดเคสนั้นอาจจะลำบากซักนิดนึง ส่วนตัวปุ่ม Power อาจจะต้องใช้แรงกดซักหน่อย ต่างจากพวกเคสซิลิโคนที่ดูเหมือนจะกดได้ง่ายกว่า
บริเวณกล้องหลัง จะมีขอบนูนขึ้นมาเพื่อช่วยป้องกันการขีดข่วนเมื่อวางบนพื้น ส่วนบริเวณพอร์ตเชื่อมต่อก็จะเป็นแบบเปิดโล่งทั้งแถบเลย
ส่วนขอบจะอยู่สูงขึ้นมาจากขอบจอเล็กน้อย แต่ไม่ได้กินเข้าไปในขอบเนื้อกระจก ทำให้แทบไม่มีปัญหากับการติดกระจกหรือฟิล์มกันรอยหน้าจอแน่นอน
กล้อง iPhone 12 Pro Max
โครงสร้างภายนอกของกล้องหลัง iPhone 12 Pro Max ถ้าเทียบกันแล้วก็จะต่างจาก iPhone 11 Pro Max เพียงแค่การมีจุดวงกลมดำที่เป็นเซ็นเซอร์ LiDAR เพิ่มเข้ามาใต้เลนส์อัลตร้าไวด์ (13mm.) ส่วนเลนส์ด้านบนสุดคือเลนส์เทเลซึ่งจะใช้เป็นเลนส์หลักในโหมด Portrait ที่ระยะซูม 2.5x (65mm.) และเลนส์ด้านล่างสุดคือเลนส์ไวด์ปกติ (26mm.)
โดยในการซูม หลัก ๆ แล้วจะมีปุ่มลัดมาให้ปรับระยะการซูมด้วยกัน 3 ช่วงคือ 0.5x ที่ใช้เลนส์อัลตร้าไวด์ ระยะ 1x คือเลนส์ไวด์ปกติ ไม่มีการซูม และก็ระยะ 2.5x ที่เป็นการซูมสุดระยะแบบออปติคอล ส่วนในการซูมรวมทั้งหมดที่มีการซูมดิจิตอลมาด้วย จะทำได้สูงสุดที่ 12x
ด้านบนนี้เป็นภาพจากการซูมในระยะต่าง ๆ ครับ เริ่มจากซ้ายสุดที่เป็น 1x ถัดมาเป็น 0.5x (เลนส์อัลตร้าไวด์), 2.5x และปิดท้ายสุดที่ 12x
Deep Fusion เป็นอีกหนึ่งฟังก์ชันที่เป็นตัวเสริมความคมชัดให้กับภาพถ่ายใน iPhone นับตั้งแต่ iPhone 11 เป็นต้นมา ซึ่งจุดเด่นหลักเลยก็คือการเพิ่มความคมชัดให้กับรายละเอียดปลีกย่อยในภาพ เช่น เส้นผม ขนสัตว์ ต้นไม้ ใบไม้ ซึ่งก็ยังคงมีอยู่ใน iPhone 12 ทุกรุ่น และผลลัพธ์ที่ได้ก็จัดว่าน่าพอใจเช่นเดิม
ในการถ่ายภาพย้อนแสงที่ใช้ HDR ช่วย ก็ทำได้ดีพอสมควร อย่างในภาพด้านบนนี้เป็นการถ่ายย้อนแสงที่ค่อนข้างจ้าในช่วงสาย ๆ ผลที่ได้คือมีการเก็บรายละเอียดในส่วนมืดได้ระดับหนึ่ง
ต่อกันที่การถ่ายแก้วกาแฟด้วยโหมด Portrait ต้องบอกว่าการตัดขอบหลอดนั้นทำได้ค่อนข้างสมบูรณ์ แต่มีการเบลอขอบแก้วจนดูภาพฟุ้งไปหน่อย
การถ่ายไฟโบเก้ด้วยโหมด Portrait ก็ทำได้ไม่ยากครับ ขอแค่มีแหล่งกำเนิดแสงอยู่หลังตัวแบบ ระบบก็จะจัดการเบลอพื้นหลังจนกลายเป็นโบเก้ดวงกลม ๆ ให้แล้ว ซึ่งทำได้ง่ายกว่าพวก iPhone 12 และ 12 mini ที่ไม่มีเลนส์เทเลอย่างเห็นได้ชัด
ต่อกันด้วยการถ่ายภาพกลางคืน ซึ่งตัว iPhone จะมีโหมดถ่ายกลางคืนที่สามารถทำงานขึ้นมาอัตโนมัติตามสภาพแสง อย่างในภาพซ้ายนี้เป็นการลองถ่ายแบบบังคับปิดโหมดกลางคืนครับ ซึ่งภาพที่ได้จะสว่างขึ้นมาจากสภาพแสงจริงเล็กน้อย
ส่วนภาพขวาคือปล่อยให้ระบบใช้โหมดกลางคืนแบบอัตโนมัติ โดยในตอนถ่ายก็ต้องถือค้างไว้ประมาณ 2-3 วินาที ภาพที่ได้นั้นแทบจะไม่เหมือนการถ่ายกลางคืนเลย สามารถจับโฟกัสได้เร็วและแม่นด้วยการใช้ LiDAR การเก็บรายละเอียดในจุดต่าง ๆ ก็ทำได้ค่อนข้างดี สามารถนำรูปไปใช้งานได้ แต่อาจจะยังดูมืดไปนิด ถ้าไปเทียบกับพวกรุ่นท็อปของ Android
กล้องหน้าเองก็รองรับโหมด Portrait เช่นเดิม พร้อมยังรองรับ Deep Fusion ด้วย ทำให้ภาพที่ออกมาจะค่อนข้างเรียล ส่วนการตัดขอบเพื่อทำพื้นหลังเบลอก็ทำได้ค่อนข้างดูเป็นธรรมชาติดี อาจจะมีส่วนที่ตัดไม่ค่อยแม่นอยู่บ้าง แต่ก็จะมีการปรับระดับความเบลอเพื่อให้ดูไม่โดดจากพื้นหลังเกินไป เช่น สมมติให้ตัวแบบมีความชัดระดับ 1 ซึ่งยิ่งใกล้หลุดจากขอบตัวแบบยิ่งขึ้น ระดับความชัดก็จะค่อย ๆ ลดลงแบบ 0.9 0.8 0.7 ไล่ไปจนเหลือ 0 คือเป็นส่วนพื้นหลังที่เบลอไปเลย
ต่างจากในหลาย ๆ รุ่นที่มักจะใช้การตัดเบลอจาก 1 พอพ้นขอบตัวแบบ ความชัดก็กลายเป็น 0 ไปเลย ลักษณะนี้จะทำให้ภาพดูลอย และดูเหมือนเป็นการตัดแปะ โดยการทำงานในส่วนนี้ก็จะเกิดจากทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ผสมผสานกัน ซึ่งต้องบอกว่า Apple จะเน้นในแนวที่ให้ภาพออกมาเป็นธรรมชาติมากกว่าเสมอมา
ปิดท้ายด้วยการนำไฟล์ RAW จากเลนส์อัลตร้าไวด์ของ iPhone 12 Pro Max ที่เกิดจากการเปิดโหมด Apple ProRAW มาแต่งต่อใน iPad บ้างครับ รูปซ้ายสุดคือภาพดิบ ๆ เลย จะสังเกตว่าไฟที่ตัวร้านจะสว่างฟุ้ง ซึ่งเกิดจากการที่ตัวกล้องพยายามเก็บภาพมาให้มากที่สุด ภาพขวาสุดคือภาพพรีวิวของไฟล์ RAW ที่ระบบเก็บไว้ให้ ส่วนภาพกลางคือภาพที่ลองเอามาแต่งต่อนิดหน่อย ซึ่งที่จริงแล้วจะแต่งเพิ่มได้มากกว่านี้อีกครับ แต่ด้วยการที่เป็นเลนส์อัลตร้าไวด์ แม้จะเปิดโหมดกลางคืนได้ แต่ภาพที่ออกมาก็ไม่ชัดเท่ากับเลนส์ไวด์ปกติอยู่แล้ว
ส่วนด้านล่างนี้เป็นแกลเลอรี่รวมภาพถ่ายจาก iPhone 12 Pro Max ครับ คลิกชมกันได้เลย
คราวนี้เป็นวิดีโอที่ได้จากกล้องหลังของ iPhone 12 Pro Max ซึ่งมีระบบกันสั่น OIS ที่ระดับเซ็นเซอร์ร่วมกับที่ชุดเลนส์ เทียบกับ iPhone 11 ที่ใช้กันสั่นเพียงแค่ที่ชุดเลนส์บ้าง โดยทั้งคู่ตั้งค่าการถ่ายไว้ที่ระดับ 4K 60FPS ครับ จะมีต่างกันหน่อยก็คือ 12 Pro Max จะเป็นการถ่ายที่ HDR ด้วย ส่วนการถ่ายก็ใช้การถือคู่กันแล้วเดินถ่ายไปเรื่อย คล้ายกับพวกการถ่าย VLOG หรือถ่าย Live โดยไม่ได้ใช้ไม้กันสั่นใด ๆ
จุดที่สังเกตเห็นได้ชัดเลยคือ วิดีโอจาก 12 Pro Max จะดูนิ่งกว่า อาการสั่นน้อยกว่าในขณะที่เดินถือกล้อง ในขณะที่ iPhone 11 จะมีการโยกไปโยกมาตามจังหวะการเดินอยู่พอสมควร นอกจากนี้ การเบลอหลังของ 12 Pro Max ในช่วงที่ถ่ายเฉพาะดอกไม้ก็ดูเบลอกว่าด้วย ส่วนโทนสีพบว่า 12 Pro Max มีความอุ่นกว่ากันเล็กน้อย
อีกจุดที่น่าสนใจก็คือขนาดไฟล์ครับ เพราะทั้งสองไฟล์เป็นวิดีโอ 4K 60FPS ความยาวประมาณ 3 นาทีนิด ๆ เหมือนกัน (12 Pro Max เป็น HDR ด้วย) แต่พบว่าขนาดไฟล์มันต่างกันเกือบเท่าตัวเลย
- iPhone 12 Pro Max – ประมาณ 860 MB
- iPhone 11 – ประมาณ 1.5 GB
ซอฟต์แวร์ และฟังก์ชันอื่นที่น่าสนใจ
iPhone 12 Pro Max มาพร้อมกับ iOS 14 ที่ในขณะนี้ (ปลายเดือนมกราคม 2021) สามารถอัพเป็น iOS 14.4 ซึ่งเปิดให้ใช้งานฟังก์ชันวัดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหัวใจ ECG ด้วย Apple Watch Series 6 ที่ใช้ watchOS 7.3 ได้แล้ว
ส่วนพื้นที่เก็บข้อมูล หากเป็นรุ่นความจุ 512 GB ตามเครื่องรีวิวเครื่องนี้ ก็จะถูกกันไว้ให้ระบบรวม ๆ ตอนที่เปิดเครื่องครั้งแรกประมาณ 9 GB
ความแรง การเล่นเกม แบตเตอรี่และความร้อน
โดยปกติแล้ว ชิปตระกูล A ของ Apple มักจะมาพร้อมกับคะแนนประสิทธิภาพที่สูงระดับท็อปประจำปีอยู่เสมอ ซึ่งในปีนี้ Apple A14 Bionic ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเช่นเคย ด้วยคะแนน AnTuTu ระดับ 650,000 คะแนน ส่วน GeekBench 5 ก็ทำคะแนนทั้งแบบ single-core และ multi-core ที่สูงกว่า A13 Bionic ใน iPhone 11 Pro Max แต่ในแง่ของ multi-core นั้นจะยังมีคะแนนต่ำกว่าพวกชิปสำหรับ iPad Pro เช่น A12Z และ A12X อยู่ประมาณ 600 คะแนน
ด้านของความลื่นไหลในการใช้งาน แน่นอนว่าไม่มีปัญหากับการใช้งานในปัจจุบัน รวมไปถึงในอีกอย่างต่ำ 2 ปีข้างหน้าได้สบาย ๆ จะติดก็แค่หน้าจอที่ยังเป็น 60Hz เท่านั้น เลยอาจจะทำให้พวกแอนิเมชัน การเลื่อนหน้าจอต่าง ๆ อาจจะดูไม่ไหลลื่นเท่ากับมือถือฝั่ง Android ที่มีตัวเลือกจอทั้ง 90Hz 120Hz 144Hz ให้เลือก แต่ถ้าพูดในแง่ของความเร็วในการทำงาน การโหลดข้อมูล รับรองว่าสมกับการเป็นรุ่นท็อปเลย
ด้านของการเล่นเกม คงไม่จำเป็นต้องทดสอบเรื่องเฟรมเรต ความลื่นไหล เพราะเท่าที่ผมลองเล่นดูแล้ว ทุกเกมปรับกราฟิกระดับสูงสุดได้ไม่มีปัญหา ส่วน Genshin Impact ก็สามารถปรับกราฟิกสูงสุดพร้อม 60fps ได้ ตัวเกมไหลลื่น จะมีกระตุกบ้างตอนที่แพนฉากไปมา เนื่องจากตัวเกมกำลังโหลดข้อมูลฉากในเบื้องหลังอยู่ แต่พอซักพักก็ไม่มีปัญหาแล้ว
ส่วนอีกประเด็นเกี่ยวกับเรื่องเกมที่น่าสนใจบน iPhone ก็คือบริการ Apple Arcade ที่ให้ผู้ใช้สามารถสมัครสมาชิกเพื่อเล่นเกมในคลังของ Apple Arcade เองได้ฟรี ๆ แบบไม่มีโฆษณา ในราคาเดือนละ 99 บาท โดยเกมที่มีนั้น เกือบทั้งหมดเป็นเกม exclusive ที่ลงเฉพาะ Apple Arcade เท่านั้น ซึ่งมีทั้งเกมฟอร์มใหญ่ ไปจนถึงเกม casual ที่เล่นเพลิน ๆ ฆ่าเวลาได้
ในการใช้งานแบตเตอรี่ของ iPhone 12 Pro Max ด้วยความจุที่ให้มาราว 3600 mAh ซึ่งถึงแม้ว่าอาจจะดูน้อยกว่ามือถือ Android รุ่นท็อป ๆ อยู่บ้าง แต่ด้วยการจัดการพลังงานของทั้งระบบที่ Apple ทำมาค่อนข้างดี จึงทำให้มันเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปประจำวัน แม้จะเปิด 5G ตลอดเวลาก็ตาม (ถ้าไม่ได้เล่นเกมหนัก หรือเทสความเร็ว 5G ทั้งวัน) ยิ่งถ้าช่วงนี้ใครที่ยังต้องทำงานจากที่บ้านแบบ Work from home อยู่ ก็สบาย ๆ ครับ ใช้ 2 วันแบบไม่ชาร์จก็ยังไหว
ส่วนการชาร์จไฟเข้า ด้วยการที่ในกล่องไม่แถมอะแดปเตอร์มาให้ ถ้าให้แนะนำอะแดปเตอร์ที่ชาร์จได้ค่อนข้างเร็วก็ควรจะเป็นอะแดปเตอร์ USB-C ที่รองรับ Power delivery (PD) จะดีที่สุด โดยตามที่ Apple แนะนำก็คือควรจะมีกำลังในการจ่ายไฟ 20W ขึ้นไป ซึ่งจะสามารถชาร์จได้ 50% ในเวลาประมาณ 30 นาที หรือถ้าต้องการชาร์จไร้สาย จะใช้แท่นชาร์จแบบ Qi ก็ได้ครับ ด้วยราคาที่ย่อมเยากว่า แต่ก็จะรองรับการจ่ายไฟแค่ 7.5W เท่านั้น แต่ถ้าอยากชาร์จไร้สายที่เร็วขึ้นก็คงต้องหาแท่นชาร์จแบบ MagSafe มาใช้ครับ
ต่อมาเป็นการลองยิงปืนวัดอุณหภูมิระหว่างทำงานกันซักหน่อย โดยเป็นการวัดอุณหภูมิในขณะที่อยู่ในพื้นที่อากาศถ่ายเทดี ไม่ได้เปิดแอร์ พบว่าระหว่างเครื่อง idle จุดที่ร้อนสุดคือตรงบริเวณซ้ายบนของจอ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีชิป A14 Bionic อยู่ อุณหภูมิที่ได้ก็อยู่ที่ราว 30-32 องศาเซลเซียส ซึ่งเย็นกว่า Samsung Galaxy S21+ 5G ที่ผมเพิ่งทดสอบไปก่อนหน้านี้อยู่นิดหน่อย
พอลองเปิดเกม Genshin Impact ปรับกราฟิกสูงสุด แล้ววัดอุณหภูมิบ้าง พบว่าจุดที่ร้อนสุดก็ยังเป็นบริเวณเดิม แต่เป็นด้านหลังที่ร้อนกว่าด้านหน้าจอ วัดอุณหภูมิได้อยู่ในช่วง 45 – 46 องศาเซลเซียส ซึ่งกลายเป็นว่าร้อนกว่า S21+ เล็กน้อยด้วย แต่ถ้าใส่เคสก็จะช่วยลดความร้อนขณะจับได้พอสมควร
สรุปรีวิว iPhone 12 Pro Max
iPhone 12 Pro Max เป็น iPhone รุ่นท็อปที่ Apple ทำออกมาต่อยอด 11 Pro Max ได้สมกับการเป็นรุ่นท็อปประจำปี กับความสามารถรอบด้านที่ไม่ได้ตกไปจากเดิม ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความสามารถด้าน 5G ด้านการถ่ายวิดีโอระดับมืออาชีพเข้ามาอีก ส่วนในแง่ของดีไซน์ ก็ต้องบอกว่าออกมาได้ใจแฟน iPhone รุ่นเก่าด้วยการใช้รูปทรงเหลี่ยม ซึ่งเมื่อประกอบกับการเลือกใช้โทนสี ความแวววาว ก็ทำให้ตัวเครื่องมันดูพรีเมียมขึ้นไปอีกระดับได้เลย
จะมีที่น่าเสียดายหน่อยก็คือพอร์ตเชื่อมต่อที่ยังไม่เปลี่ยนเป็น USB-C เสียที ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าคงจะกระทบกับสายการผลิต และต้นทุนต่าง ๆ มากพอตัว เราเลยยังต้องใช้พอร์ต Lightning ไปก่อน ประกอบกับปีนี้ Apple เริ่มจะไม่แถมอะแดปเตอร์และหูฟัง EarPods อีก จึงทำให้เกิดเสียงวิจารณ์พอสมควร กับมือถือราคาเกือบ 40,000 บาท แต่ผู้ใช้ต้องไปหาอะแดปเตอร์เอง (ซึ่งก็มีแนวโน้มว่าวงการมือถือจะเปลี่ยนไปเป็นลักษณะนี้มากขึ้นแน่ ๆ)
ทีนี้ ด้วยปัจจัยเรื่องราคาก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่าระหว่าง iPhone 12 Pro Max มันจะคุ้มหรือเปล่าถ้าเทียบกับ 12 Pro ธรรมดาที่ราคาเริ่มต้นถูกกว่ากันราว 3,000 บาท แต่ได้ฟีเจอร์หลาย ๆ จุดที่เหมือนกัน จะมีก็แค่เรื่องจอเล็กกว่า แบตน้อยกว่า และก็เซ็นเซอร์รับภาพของกล้องหลังที่เล็กกว่า ซึ่งแน่นอนว่าถ้าคุณต้องการ iPhone จอใหญ่ที่สุด หรือต้องการ iPhone ที่ใช้งานแบตได้ทั้งวันแบบไม่ต้องกังวล ตัวของ 12 Pro Max ย่อมตอบโจทย์ที่สุด
แต่ในประเด็นของเรื่องกล้อง แม้ว่า iPhone 12 Pro Max จะให้เซ็นเซอร์รับภาพมาใหญ่กว่า เม็ดพิกเซลรับภาพใหญ่กว่า เพื่อการรับแสงในที่มีแสงน้อยที่ดีขึ้น แต่เท่าที่ผมทดสอบดู ก็พบว่าภาพจากโหมดกลางคืนของ 12 Pro Max นั้นดูมีรายละเอียดที่คมกว่า และมีความสว่างกว่าภาพในมุมเดียวกัน มืดเกือบสนิทเหมือนกันจาก iPhone 11 ที่ผมใช้อยู่ไม่มากนัก จะมีจุดที่สังเกตได้ก็คือปริมาณ noise ที่น้อยกว่า และการโฟกัสที่เร็วกว่ากันนิดหน่อย ดังนั้น ถ้าคุณไม่ได้ใช้ถ่ายรูปในที่มีแสงน้อยมากเป็นประจำ ขนาดเซ็นเซอร์รับภาพที่ใหญ่ขึ้นของ 12 Pro Max อาจจะไม่ใช่ปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อครับ อาจจะเปลี่ยนไปเป็น 12 Pro 256 GB ราคา 40,900 บาท ที่ดูลงตัวกว่า เพราะฟังก์ชันอื่น ๆ ของตัวกล้องนั้นแทบจะเหมือนกันเลย แต่ถ้าต้องใช้งานในระดับ production ที่จริงจังขึ้นมา และมีทุนในระดับหนึ่ง ก็ 12 Pro Max เถอะครับ เผื่อเหลือไว้ดีกว่าขาด