ในที่สุด Apple ก็วางจำหน่าย iPhone SE รุ่นใหม่ในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย เรียกได้ว่าเป็นไอโฟนรุ่นประหยัดเข้ากับเศรษฐกิจช่วงนี้ได้เป็นอย่างดี กับราคาเริ่มต้น 14,900 บาท ในบอดี้ iPhone 8 แต่ชิปแรงเท่า iPhone 11
สเปค iPhone SE 2020
- หน้าจอ IPS ขนาด 4.7 นิ้ว Retina HD ขอบเขตสี DCI-P3
- ชิปประมวลผล Apple A13 Bionic พร้อม Neural รุ่นที่ 3
- วัสดุตัวเครื่องเป็นอลูมิเนียม
- ระบบปลดล็อก Touch ID
- กล้องหลังความละเอียด 12MP f/1.8 รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 60fps ระบบบันทึกเสียงสเตอริโอ
- กล้องหน้า FaceTime HD ความละเอียด 7MP f/2.2
- รองรับการใช้งาน 2 ซิม (eSIM + Nano SIM)
- แบตเตอรี่ใช้งานได้เท่า ๆ iPhone 8
- รองรับชาร์จเร็ว 18W* และรองรับชาร์จไร้สาย
- รองรับการเล่นคอนเทนต์ HDR10 และ Dolby Vision
- กันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP67 ที่ความลึก 1 เมตร นาน 30 นาที
- Wi‑Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax พร้อม 2×2 MIMO
- ราคาเริ่มต้น 14,900 บาท
*ต้องซื้ออุปกรณ์เพิ่มเติม เป็นอะแดปเตอร์ USB-PD กับสาย Lightning to USB-C
Unbox แกะกล่อง iPhone SE 2020
ตัวกล่อง iPhone SE มีขนาดกะทัดรัด หน้ากล่องเผยให้เห็นรูปตัวเครื่องบริเวณหน้าจอ อุปกรณ์ในกล่องของ iPhone SE 2020 ตามมาตรฐานของไอโฟนเลยครับ ประกอบไปด้วย
- ตัวเครื่อง iPhone SE
- สายชาร์จแบบ Lightning to USB
- อะแดปเตอร์ 5W (5V 1A)
- หูฟัง EarPods แบบหัวต่อ Lightning
iPhone SE มีด้วยกัน 3 สี ได้แก่ สีดำ, สีขาว และสีแดง Product Red ตรงนี้ขึ้นอยู่กับว่าชอบสีอะไรล่ะครับ แต่จากที่ทีมงาน SpecPhone ไปเดินหาซื้อมาเมื่อวาน (1 มิถุนายน 2563) ดูเหมือนว่าสีแดงน่าจะขายดีที่สุด ส่วนเครื่องรีวิว iPhone SE ที่เราซื้อมานั้นเป็นตัวเครื่องสีขาว
สัมผัสแรกของ iPhone SE ก็คือสัมผัสเดิมที่คุ้นเคยกับตอน iPhone 8 ครับ ตัวเครื่องกะทัดรัดขนาดพอดีมือ น้ำหนักเบามาก (148 กรัม) โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ iPhone 11 Pro Max ที่ผู้เขียนใช้งานเป็นประจำ
ด้านหน้าตัวเครื่องเป็นหน้าจอ Retina HD ขนาด 4.7 พาแนลแบบ IPS LCD ขอบเขตสีกว้าง P3 รองรับการแสดงผลแบบ True Tone และมี Haptic Touch ด้านบนหน้าจอประกอบไปด้วยลำโพงและกล้องหน้า FaceTime HD 7MP f/2.2 ส่วนด้านล่างหน้าจอเป็น Touch ID ที่หลายคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
ตัวปุ่ม Home ที่มี Touch ID ของ iPhone SE จะแตกต่างจากปุ่มโฮมของ iPhone 6 หรือ iPhone SE ตัวเก่า โดยปุ่มโฮมคราวนี้ไม่ใช่ปุ่มโฮมที่กดได้จริง ๆ แต่เมื่อสัมผัสลงไปที่ตัวปุ่ม จะมีแรงสั่นที่ให้สัมผัสเหมือนกำลังกดปุ่มลงไป ข้อดีของปุ่มโฮมแบบนี้ก็คือ ไม่ต้องกังวลว่าใช้ไปนาน ๆ แล้วปุ่มโฮมจะยุบนั่นเอง
ด้านข้างตัวเครื่อง iPhone SE ใช้วัสดุเป็นอลูมิเนียมแบบเดียวกับตอน iPhone 8 รายลฃะเอียดต่าง ๆ เริ่มจากด้านขวาประกอบไปด้วยปุ่ม Power ด้านซ้ายเป็นปุ่มปรับระดับเสียง กับปุ่มเปิด – ปิดเสียง ด้านล่างเป็นพอร์ตเชื่อมต่อแบบ Lightning ส่วนลำโพงของ iPhone SE เป็นลำโพงแบบสเตอริโออยู่บริเวณด้านล่าง กับด้านบนตัวเครื่องครับ
ด้านหลังตัวเครื่อง iPhone SE มีฝาหลังเป็นกระจกแบบ Glossy รายละเอียดด้านหลังประกอบไปด้วยกล้องหลังเลนส์ไวด์ ความละเอียด 12MP f/1.8 พร้อมแฟลชแบบ True Tone LED
สิ่งที่แตกต่างระหว่าง iPhone 8 กับ iPhone SE ในด้านการออกแบบ อยู่ที่โลโก้ Apple ที่บริเวณฝาหลัง โดยโลโก้ Apple ของ iPhone SE จะอยู่ในตำแหน่งกึ่งกลาง เช่นเดียวกับ iPhone 11, iPhone 11 Pro แต่ถ้าเป็น iPhone 8 โลโก้จะเยื้องไปทางด้านบนมากกว่า
รวม ๆ ในแง่ของการออกแบบ iPhone SE แทบจะถอดแบบมาจาก iPhone 8 เลยทีเดียว และเท่าที่หาข้อมูลเพิ่มเติมมา iPhone SE สามารถใส่เคส iPhone 8 ได้ด้วยครับ
กล้องถ่ายรูปของ iPhone SE เป็นกล้องเดี่ยวเลนส์ไวด์ 12MP f/1.8 จากข้อมูลที่ต่างประเทศ พบว่าใช้โมดูลกล้องเดียวกับ iPhone 8 แต่สิ่งที่แตกต่างคือ iPhone SE ใช้ชิปประมวลผล Apple A13 Bionic ที่มีหน่วยประมวลผลภาพ (ISP) ที่ดีกว่า เพราะฉะนั้นภาพถ่ายจะทำออกมาได้ดีกว่า iPhone 8 อย่างแน่นอน
โหมดถ่ายรูปใน iPhone SE นอกจากโหมดออโต้แล้ว ก็จะมีพาโนรามา และยังสามารถใช้งาน Portrait หรือโหมดหน้าชัดหลังเบลอพร้อมการจัดแสงได้ด้วย แต่ข้อสังเกตคือ Portrait ไม่สามารถถ่ายอย่างอื่นนอกจากคนได้ ผมลองถ่ายของอื่น ๆ มันจะขึ้นว่า No person detected
ข้อสังเกตอีกอย่างของกล้อง iPhone SE คือไม่สามารถถ่ายโหมดกลางคืนได้เหมือน iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ครับ
คร่าว ๆ สำหรับ iPhone SE ผมมองว่ามันเป็นสมาร์ตโฟนเครื่องเล็ก ใช้งานได้คล่องตัวมากด้วยมือเดียวที่ทรงพลังเอามาก ๆ เลยครับ ผมทดสอบเล่นเกมไปหลาย ๆ เกม พบว่ามันเล่นได้ลื่นมาก ส่วนเรื่องแบตเตอรี่ก็ถือว่าใกล้เคียงกับตอน iPhone 8 อาจจะต้องพก Powerbank หากใช้งานหนัก ๆ
ราคา iPhone SE 2020
ปิดท้ายด้วยราคา iPhone SE มีด้วยกัน 3 ความจุ แต่ส่วนตัวผมแนะนำว่า 128GB ขึ้นไปน่าจะเหมาะกับการใช้งานระยะยาวมากกว่า เพราะอย่างรุ่น 64GB เหลือพื้นที่หลังจากเปิดเครื่องราว 50GB เท่านั้นเองครับ (ส่วนในรูปที่เหลือ 46GB เพราะโหลดแอปพลิเคชั่นเพิ่มเติมไปแล้ว)
- 64GB ราคา 14,900 บาท
- 128GB ราคา 16,900 บาท*
- 256GB ราคา 20,900 บาท*
สำหรับใครที่สนใจ iPhone SE สามารถไปลองเล่นเครื่องจริงได้ที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายของทาง Apple ไม่ว่าจะเป็น iStudio, Power Buy รวมถึงโอเปอร์เรเตอร์อย่าง AIS, dtac, TrueMove H และยังสามารถซื้อกับทาง Apple โดยตรงได้ที่ Apple Store ไอคอนสยาม หรือช่องทางออนไลน์ www.apple.com/th