ช่วงปลายปีแบบนี้ เชื่อว่าคงมีหลายท่านที่เล็งจะซื้อแท็บเล็ตเครื่องใหม่กันอยู่ ไม่ว่าจะเพื่อใช้เอง ให้ผู้หลักผู้ใหญ่ หรือให้เด็กเป็นของขวัญรับปีใหม่ก็ตาม ซึ่งในช่วงปลายปี 2024 ก็มีแท็บเล็ต Android ราคาไม่สูงมากให้เลือกอยู่พอสมควรทีเดียว โดยในบทความนี้เราจะมาแนะนำแท็บเล็ตราคาไม่เกิน 5000 บาท ที่น่าใช้งาน เน้นว่าเป็นเครื่องศูนย์ไทย มีร้านตัวแทนจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการ สามารถหาซื้อได้ทั้งผ่านหน้าร้านและช่องทาง official ในออนไลน์
HONOR Pad X8a
เริ่มรุ่นแรกด้วย HONOR Pad X8a ที่ราคาปริ่มงบ 5,000 บาทพอดี และเพิ่งเปิดตัวเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้เอง มาพร้อมกับชิป Snapdragon 680 แรม 4GB ซึ่งก็ให้ประสิทธิภาพในระดับที่ใช้งานพื้นฐานได้ ทั้งยังสามารถใช้งานแบตได้นาน เนื่องจากตัวชิปเป็นรุ่นที่ใช้พลังงานน้อย ผสานกับแบตเตอรี่ที่ให้มาถึง 8300mAh ทำให้สามารถใช้งานได้นาน ตามสเปคคือสามารถใช้ดูวิดีโอออนไลน์ได้นานถึง 14 ชั่วโมง จึงน่าจะเหมาะสำหรับใช้เป็นแท็บเล็ตเพื่อความบันเทิง ซึ่งก็เหมาะมากทีเดียว เพราะหน้าจอมีขนาด 11″ พาเนล IPS ความคมชัดระดับ FHD+ รีเฟรชเรต 90Hz รวมถึงยังมีเทคโนโลยีช่วยถนอมสายตา ที่จะช่วยลดระดับแสงให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม รองรับการใช้งานในการอ่าน ebook ด้วย
อีกจุดที่ทำให้ HONOR Pad X8a เหมาะกับการใช้เพื่อความบันเทิงก็คือภายในมาพร้อมลำโพง 4 ตัว ทั้งยังรองรับระบบเสียง Hi-Res ที่จะทำให้การฟังเพลงสนุกสนานเพลิดเพลินมากขึ้น เมื่อใช้กับแอปพลิเคชันสตรีมมิ่งเพลง หรือไฟล์เพลงที่เป็นแบบ Hi-Res ส่วนด้านของซอฟต์แวร์ก็จะเป็น MagicOS 8.0 ที่มีพื้นฐานมาจาก Android 14 รองรับการติดตั้งแอปผ่าน Play Store ได้ตามปกติ ส่วนในการใช้งานก็จะมีฟังก์ชันแบ่งหน้าจอเพื่อใช้ได้สูงสุด 4 แอปพร้อมกัน รวมถึงยังสามารถแชร์หน้าจอมือถือที่ใช้ Magic UI 3.0 ขึ้นไปมาไว้บนจอแท็บเล็ตได้ด้วย เพิ่มความสะดวกให้กับผู้ที่ใช้มือถือ HONOR อยู่แล้วด้วย
ส่วนราคา HONOR Pad X8a รุ่น Wi-Fi จะมีราคาอยู่ที่ 4,999 บาท แต่ถ้าอยากให้ใส่ซิมใช้ 4G LTE ด้วย ก็จะมีอีกรุ่นย่อยในราคา 5,999 บาท
Redmi Pad SE 8.7″
ฝั่ง Redmi เองก็มีแท็บเล็ตราคาไม่เกิน 5000 บาทให้เลือกด้วยเหมือนกัน โดยจะเป็น Redmi Pad SE ขนาด 8.7″ รุ่น Wi-Fi ที่มีราคาประมาณ 4,000 – 5,000 บาท สเปคที่ได้จะเป็นชิป MediaTek Helio G85 ที่อาจจะค่อนข้างมีอายุซักนิดนึง แต่ก็ยังรองรับงานเบา ๆ ใช้งานโซเชียล ดูหนัง ฟังเพลง ใช้ประกอบการเรียนรู้ได้อยู่ มาพร้อมแรม 4GB และพื้นที่เก็บข้อมูลในตัว 64GB ซึ่งสามารถใส่ MicroSD เพิ่มได้สูงสุด 2TB ประกอบกับหน้าจอขนาด 8.7″ HD+ 90Hz และน้ำหนักเครื่องเพียง 373 กรัม จึงทำให้ Redmi Pad SE 8.7″ เป็นหนึ่งในแท็บเล็ตที่เหมาะสำหรับการพกพา จะหยิบมาใช้อ่าน e-book ในเวลาว่างก็ยังได้ เพราะหน้าจอมีระบบถนอมสายตาและมีโหมดอ่านหนังสือมาให้ใช้งาน ซึ่งหน้าจอจะหรี่ความสว่างลง และปรับโทนสีให้ใช้งานได้สบายตามากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีลำโพงคู่แบบสเตอริโอที่รองรับระบบเสียง Dolby Atmos ด้วย ทำให้เสียงที่ได้มีมิติโอบล้อมมากยิ่งขึ้น แบตเตอรี่ความจุ 6650mAh รองรับการชาร์จเร็วที่ระดับ 18W เพียงพอสำหรับการใช้งานตลอดวันได้สบาย แต่ในกรณีที่ถ้าต้องการชาร์จ 18W เต็ม ๆ อาจจะต้องหาซื้ออะแดปเตอร์ชาร์จที่รองรับโปรโตคอลชาร์จเร็ว PD ที่จ่ายไฟได้มากกว่า 18W มาด้วย เนื่องจากอะแดปเตอร์ที่แถมมาในกล่องจะรองรับการจ่ายไฟสูงสุดเพียง 10W เท่านั้น
สำหรับราคา Redmi Pad SE 8.7″ ที่มีขายทางออนไลน์ในขณะนี้จะมีราคาเริ่มต้นที่ 3,999 บาทในรุ่น Wi-Fi ส่วนถ้าต้องการรุ่นใส่ซิมใช้ 4G ได้ด้วย ราคาก็จะขยับมาที่ 4,999 บาท แต่ถ้าอยากเพิ่มเป็นรุ่นแรม 6GB รอม 128GB 4G ก็จะอยู่ที่ 5,999 บาท ซึ่งในกรณีของรุ่น 4G ส่วนตัวมองว่ายอมจ่ายเพิ่มอีกพันนึง ได้แรมเพิ่ม ได้ความจุเพิ่มเป็นเท่าตัวน่าจะคุ้มกว่า
Lenovo Tab M10 (3rd Gen)
แท็บเล็ตราคาไม่เกิน 5000 บาทรุ่นที่สามก็จะเป็น Lenovo Tab M10 (3rd Gen) ที่ได้รับการออกแบบมาเป็นแท็บเล็ตเพื่อความบันเทิงในครอบครัว และใช้ประกอบการเรียนรู้ของเด็ก ๆ ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ 10.1″ IPS ความละเอียดระดับ FHD และยังได้ค่าสีที่แม่นยำระดับ 100% sRGB ทำให้ภาพบนจอจะดูมีสีสัน สวยงาม อ่านตัวหนังสือก็ง่าย มาพร้อมลำโพงคู่ระบบเสียง Dolby Atmos จึงทำให้เป็นแท็บเล็ตที่ใช้ดูหนัง ดูซีรีส์ เล่นโซเชียลได้เป็นอย่างดี
ชิปประมวลผลที่เลือกใช้ก็จะเป็น Unisoc T610 ทำงานร่วมกับแรม 4GB และพื้นที่เก็บข้อมูลแบบ eMMC ความจุ 64GB รองรับการเพิ่ม MicroSD ได้สูงสุด 2TB นอกจากนี้ยังมีช่องใส่นาโนซิมเพื่อใช้งานเน็ต 4G LTE ได้ ทำให้สามารถพกแท็บเล็ตเครื่องนี้ไปใช้งานที่ไหนก็ได้ ขอแค่มีสัญญาณ 4G แรง ๆ ก็พร้อมเข้าถึงโลกออนไลน์ได้ตลอด แต่ในเรื่องของแบตอาจจะดูน้อยซักหน่อยนะครับ เพราะเป็นแท็บเล็ตจอ 10.1″ แต่ได้แบตมาเพียง 5000 mAh ทำให้ถ้าหากใช้งานแบบเต็มเหนี่ยว น่าจะใช้ได้แบบวันต่อวันแบบเหลือกลับมาชาร์จได้พอดี แต่ก็ต้องถือว่าเป็นแท็บเล็ตจอใหญ่จากแบรนด์ใหญ่ที่ราคาน่าสนใจมาก ซื้อไปก็ไม่แทบไม่ต้องกังวลเรื่องศูนย์บริการเลย เพราะสามารถส่งศูนย์ Lenovo หรือส่งตามร้านตัวแทนจำหน่ายที่รับส่งเครื่องเคลมของ Lenovo ได้ทั้งหมด
BMAX MaxPad I11S (2024)
สำหรับรุ่นที่ 4 จะเป็นแท็บเล็ตจากแบรนด์ที่บางท่านอาจจะไม่คุ้นหูคุ้นตาเท่าไหร่ แต่ก็เป็นแบรนด์ที่มีผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทยแบบจริงจัง และเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่อยู่ในตลาดคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กมาพักใหญ่แล้ว นั่นก็คือ BMAX MaxPad I11S (ไอ 11S) รุ่นปี 2024 ซึ่งเป็นแท็บเล็ตจอใหญ่ขนาด 11″ พาเนล IPS แบบ in-cell ที่แผงพาเนลจอจะมีความบางกว่าแผง LCD ปกติ และได้ภาพที่ดีกว่าด้วย ส่วนความบางของเครื่องก็อยู่ที่ 8.2 มม. แต่ความละเอียดของรุ่นนี้จะอยู่ที่ระดับ HD เท่านั้น จึงอาจจะเหมาะกับการใช้งานที่ไม่จำเป็นต้องเพ่งดูความละเอียดระดับพิกเซล เช่นใช้นั่งดูหนังแบบห่างจอออกมาหน่อย หรือจะเอามาใช้เล่นเกมเก่า ๆ ผ่านแอป emulator อันนี้ก็น่าสนใจทีเดียว
สเปคเครื่องจะมีจุดที่น่าสนใจคือแรม 4GB แต่จะมีระบบขยายแรมเหมือนกับในมือถือแบรนด์จีนหลาย ๆ รุ่นที่สามารถนำแบ่งรอมบางส่วนมาเป็นแรมเสมือนได้ โดยสามารถแบ่งมาได้สูงสุด 8GB ทำให้เสมือนว่าในเครื่องมีแรม 12GB ส่วนพื้นที่เก็บข้อมูลหรือรอมนั้นก็ให้มาถึง 128GB ซึ่งถือว่าสูงมากสำหรับกลุ่มแท็บเล็ตราคาไม่เกิน 5000 นอกจากนี้ยังได้แบตตามสเปคถึง 8000 mAh และได้ระบบปฏิบัติการเป็น Android 14 ด้วย สามารถดาวน์โหลดแอปผ่าน Play Store ได้ตามปกติ จะมีติดนิดนึงตรงที่ตัวเครื่องจะไม่มีช่องใส่ซิมมาให้ และก็ชิปเซ็ตได้มาเป็น Unisoc T606 ที่ประสิทธิภาพอาจไม่สูงมากนัก จึงอาจจะทำให้เล่นเกมมือถือเกมใหม่ ๆ ที่กินสเปคสูงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เทียบประสิทธิภาพกันแล้วจะใกล้เคียงกับ MediaTek Helio G85, Snapdragon 685 4G และ Apple A9 เป็นต้น แต่ด้วยราคาประมาณ 3,000 กลาง ๆ แล้วได้แท็บเล็ตจอใหญ่พาเนล IPS แบตใหญ่ อันนี้จัดว่าเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่คุ้มมาก ๆ รุ่นหนึ่งเลย
Alldocube iPlay50 Mini
ปิดท้ายกับแท็บเล็ตแบรนด์รองอีกรุ่นนั่นคือ Alldocube iPlay50 Mini ซึ่งจากชื่อก็น่าจะพอเดาได้ว่าเป็นแท็บเล็ตรุ่นจอขนาดเล็กที่ทำออกมาชิงตลาดจาก iPad Mini แต่มาในราคาเบากว่ามาก โดยมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 8.4″ ความละเอียด FHD พาเนล IPS แบบ in-cell เช่นกันกับรุ่นด้านบน ทำให้เป็นแท็บเล็ตที่ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการพกพาไปใช้นอกสถานที่ ไม่ว่าจะใช้อ่าน ebook ใช้จดบันทึก ใช้วาดรูปโดยที่ยังต้องการความคล่องตัวด้วย น้ำหนักตัวเครื่องก็อยู่ที่ 292 กรัม ซึ่งก็เท่า ๆ กับ iPad mini รุ่นปัจจุบันเลย
จุดเด่นของเครื่องนี้ในด้านสเปคต้องบอกว่าเกินตัวมาก ๆ เริ่มจากการรองรับ 2 ซิมเหมือนกับในมือถือ ทำให้สามารถใส่ซิมเล่นเน็ตได้สบาย ๆ หรือจะใส่เป็น 1 ซิม + 1 SD card เพื่อเพิ่มความจุก็ได้ โดยสามารถใส่เพิ่มได้อีกสูงสุด 512GB ทำให้สามารถพกไปใช้งานได้ทุกที่จริง ๆ ต่อมาคือเรื่องการรองรับ Widevine L1 ทำให้ผู้ใช้งานสามารถสตรีมคอนเทนต์จากแพลตฟอร์มดูหนังต่าง ๆ ได้ที่ความละเอียดสูงเทียบเท่ากับมือถือ แท็บเล็ตจากแบรนด์ใหญ่เลย และยิ่งประกอบกับการที่หน้าจอมีขนาดเล็กแต่ความคมชัดระดับ FHD จึงทำให้ภาพจากคอนเทนต์บนจอมีความคมชัด สวยงามเกินตัวขึ้นไปอีก บวกกับลำโพงภายใน 4 ตัว ก็น่าจะช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการรับชมได้ดียิ่งขึ้น
ส่วนสเปคอื่น ๆ ก็จัดว่าอยู่ในระดับพื้นฐานครับ คือได้เป็นชิป Unisoc T606 แรม 4GB (จำลองเพิ่มได้เป็นสูงสุด 12GB) พื้นที่เก็บข้อมูล 64GB มีกล้องหน้าหลังมาให้ตามมาตรฐาน แบตเตอรี่ 4000 mAh และมาพร้อมกับ Android 13 ที่ก็ถือว่ายังไม่เก่าเกินไป สามารถใช้งานแอปต่าง ๆ ในปัจจุบันไปได้อีกนานทีเดียว ส่วนราคาก็จะแล้วแต่การตั้งราคาของแต่ละร้านนะครับ โดยอาจจะมีตั้งแต่ 3,000 ปลาย ๆ จนถึง 4,000 ต้น ๆ ซึ่งก็จัดว่าเป็นแท็บเล็ตราคาไม่เกิน 5000 อีกรุ่นที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ต้องการเน้นความสะดวกในการพกพา โดยที่ยังได้สเปคโอเค ใช้งานได้หลากหลายอยู่