เปิดตัวไปแล้วสำหรับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus สองมือถือตัวท็อปสุดของ Apple ในปี 2016 แน่นอนว่ามีความเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ ยันประสิทธิภาพที่สูงขึ้นจากเดิม ส่วนราคา iPhone 7 ก็เริ่มต้นที่ $649 ตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 25,900 บาท สำหรับ iPhone 7 และราคา $749 ตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 30,000 บาท
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปใน iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ทาง Apple ก็ได้สรุปในงานเปิดตัวเอาไว้ทั้งหมด 10 สิ่ง ได้แก่
1. iPhone 7 มาพร้อมดีไซน์ใหม่ สีใหม่
สิ่งแรกที่เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงใน iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ก็คือมือถือทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมกับบอดี้แบบใหม่ แม้ว่ารูปทรงจะดูคล้ายของเดิมอย่าง iPhone 6s แต่ก็มีความเปลี่ยนแปลงหลายจุดทีเดียว ได้แก่
- มีสีใหม่ Jet Black สีคล้าย ๆ กับใน Mac Pro คือเป็นสีดำมันเงา ส่วนสีเทาเข้ม Space Gray เปลี่ยนเป็นสีดำ Black ที่โทนเข้มกว่าเดิม ส่วนสีอื่น ๆ เช่นสีทอง, สีเงิน และสีชมพู Rose Gold ยังมีเหมือนเดิม
- iPhone 7 ตัดเสาอากาศด้านหลังตัวเครื่องทิ้งไป ไม่มีเส้นพาดด้านหลังอีกแล้ว
- กล้องหลังเปลี่ยนดีไซน์เล็กน้อยตามโมดูลกล้อง โดย iPhone 7 จะมีขนาดใหญ่ขึ้น ส่วน iPhone 7 Plus มาพร้อมกล้องคู่
2. iPhone 7 ใช้ปุ่มโฮมแบบ Force Touch
ปุ่มโฮมกับ iPhone ถือว่าเป็นของคู่กันมานาน แต่เดิมปุ่มโฮมทำหน้าที่หลายอย่าง แต่ใน iPhone 7 แอปเปิ้ลได้ทำการอัพเกรดปุ่มโฮมให้ล้ำเข้าไปอีกขั้น จากที่สแกนนิ้วได้อย่างเดียว ตอนนี้ปุ่มโฮม iPhone 7 จะเป็นปุ่มโฮมแบบ Force Touch แล้ว โดยใช้ Tapic Engine เหมือนกับใน Force Touch TrackPad ใน Macbook
3. iPhone 7 กันน้ำ กันฝุ่นระดับ IP67
ความสามารถในการกันน้ำ กันฝุ่น ก็เป็นอีกฟีเจอร์หลักของ iPhone 7 และจัดเป็นไอโฟนรุ่นแรกที่สามารถกันน้ำ กันฝุ่นได้ถึงระดับ IP67 กันน้ำได้ลึก 1 เมตร นาน 30 นาที
4. กล้อง iPhone 7 เซนเซอร์ใหม่ ถ่ายรูปได้ดีขึ้น
เริ่มจากกล้องหลัง iPhone 7 ที่มีความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือรูรับแรงกว้างถึง f/1.8 ทำให้ถ่ายรูปในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น ติดกันสั่น OIS มาให้ทั้ง iPhone 7 และ iPhone 7 Plus
ฟีเจอร์เด่นอื่น ๆ ของกล้อง iPhone 7 ได้แก่
- 6 ชิ้นเลนส์
- การจับโฟกัสแบบความเร็วสูงเพียง 25 มิลลิวินาที
- แฟลช LED จำนวน 4 ดวง
- ชิปประมวลผลกล้อง Apple ISP ที่แอปเปิ้ลพัฒนาขึ้นเอง
- กล้องหลังที่มีค่าความกว้างของสีสูง (Wide Gamut) ทำให้ได้ภาพที่สมจริงมากขึ้น
กล้องหลัง iPhone 7 Plus เป็นกล้องหลังแบบคู่ตามที่ได้มีข่าวหลุดออกมาก่อนหน้านี้ โดยกล้องทั้ง 2 ตัว แบ่งเป็นกล้องเลนส์ Wide กับเลนส์ Tele ทำให้ iPhone 7 Plus สามารถซูมภาพได้ถึง 2 เท่าในแบบออฟติคอลซูม และ 10 เท่าในแบบดิจิตอลซูม
นอกจากกล้องหลัง 2 ตัวจะช่วยให้ ซูมภาพแบบออฟติคอลได้แล้ว ยังช่วยให้การถ่ายภาพเบลอแบบหน้าชัด – หลังเบลอในระดับที่ใกล้เคียงกับกล้อง DSLR และที่สำคัญคือเป็นการ Process ตั้งแต่ก่อนถ่ายภาพ ไม่ได้มาทำ Post-Process เหมือนกล้องคู่มือถือแอนดรอย คือเราจะเห็นตั้งแต่ก่อนถ่ายเลยว่าภาพที่ออกมาเป็นอย่างไร ละลายหลังมากน้อยแค่ไหน (โหมด Portrait)
5. หน้าจอ iPhone 7 แบบใหม่ Retina HD Display
ถึงแม้ว่าหน้าจอของ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus จะมีขนาดเท่าเดิม คือ หน้าจอขนาด 4.7 และ 5.5 นิ้วตามลำดับ ความละเอียดก็เท่าเดิมกับตอน iPhone 6s และ iPhone 6s Plus แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิมคือหน้าจอเป็นแบบ Retina HD Display ที่มีค่าความกว้างของสีสูงมาก มีความสว่างมากกว่าเดิม 25% รองรับการใช้งาน 3D Touch
ส่วนค่าสีเป็นแบบ Wide Color Gamut คุณภาพระดับเดียวกับเกรดที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เลยทีเดียว
6. iPhone 7 มาพร้อมลำโพงคู่ Stereo Speaker
ลำโพงของ iPhone 7 เปลี่ยนมาใช้ลำโพง 2 ตัวแบบ Stereo อยู่บริเวณด้านบนและด้านล่างของตัวเครื่อง ให้เสียงที่ชัดเจน รายละเอียดมาเต็มยิ่งกว่าเดิม
7. EarPod แบบใหม่ เสียบผ่าน Lightning
ตามข่าวลือเป๊ะ Apple ได้ทำการหักดิบ ก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลแบบสมบูรณ์แบบ ไม่มีอีกแล้วช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร แต่เปลี่ยนมาใช้พอร์ท Lightning ในการเชื่อมต่อแทน โดยหูฟัง EarPod ที่แถมมาในกล่องของ iPhone 7 จะเป็นแบบสาย Lightning ตั้งแต่แรก
แต่ถ้าใครอยากจะใช้หูฟังแบบ 3.5 มิลลิเมตรกับ iPhone 7 ก็ยังทำได้เหมือนเดิมครับ เพราะมีอแดปเตอร์ตัวแปลง Lightning to 3.5 mm ออกมาวางจำหน่ายแยกอีกด้วย สนนราคา $9 ตีเป็นเงินไทยก็เกือบ ๆ 400 บาทครับ
8. การเชื่อมต่อแบบไร้สาย (หูฟัง AirPod)
ถ้าคิดว่า Apple EarPod ที่ใช้พอร์ท Lightning ยังล้ำไม่พอ เชิญพบกับหูฟังไร้สายตัวใหม่ของ Apple อย่าง Apple AirPod หูฟังไร้สาย แบบไร้สายจริง ๆ คือมาในดีไซน์แบบ EarPod ที่โดนตัดสายทิ้ง มีกล่องเก็บสำหรับชาร์จไฟและเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Apple ผ่านทางระบบ iCloud
ความล้ำของ AirPod คือมันมีชิปประมวลผลแยกเฉพาะในตัว Apple W1 ช่วยในการประมวลผล สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 5 ชั่วโมง
9. Apple Pay ใช้ได้หลายที่มากขึ้น
อันที่จริงข้อนี้เราข้ามไปยังได้เลยครับ แต่ก็สรุปง่าย ๆ คือ Apple Pay ตอนนี้ใช้ได้หลากหลายที่มากขึ้น เช่น ระบบขนส่งของญี่ปุ่นก็จ่ายเงินด้วย Apple Pay ได้แล้ว
10. iPhone 7 มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น เครื่องแรง, แบตอึด
แรงขึ้นกว่าเดิมด้วยชิปประมวลผล Apple A10 Fusion ชิปเซ็ตแบบ 4 คอร์ 64 Bit (2+2) แรงกว่า iPhone รุ่นแรกถึง 120 เท่า และแรงกว่าชิป Apple A9 ใน iPhone 6s ถึง 40%
ชิปเซ็ตอีกตัวคือชิปตัวรอง ช่วยประมวลผลที่ไม่หนักมาก มีจุดเด่นที่กินพลังงานเพียง 1 ใน 5 ของทั้งหมด ส่วนชิปกราฟฟิค แรงกว่ารุ่นก่อนอย่าง Apple A9 ถึง 50% โดย Apple กล้าเคลมเลยว่า Apple A10 Fusion เป็นชิปเซ็ตมือถือที่แรงที่สุด ณ ตอนนี้
แบตเตอรี่ของ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus แม้จะไม่มีการแจ้งความจุว่าให้มากี่มิลลิแอมป์ แต่สามารถใช้งานได้นานกว่า iPhone รุ่นก่อนถึง 2 ชั่วโมง แม้ว่ามันจะแรงกว่า iPhone 6s ถึง 40% ก็ตาม
สำหรับราคา และวันวางจำหน่าย วันวางขาย iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ก็สามารถเข้าไปดูได้ในบทความนี้เลยครับ
ที่มารูปภาพ: theverge