หนึ่งผลิตภัณฑ์ที่มาแรงในช่วงปลายปี 2012 นี้มากก็คือส่วนของแท็บเล็ตที่มีหน้าจออยู่ในช่วง 7″ เนื่องด้วยเป็นขนาดหน้าจอที่สมดุลกันระหว่างพื้นที่การแสดงผลกับความสามารถในการพกพา จนทำให้เราได้เห็นเจ้าตลาดแท็บเล็ตรายใหญ่อย่าง Apple กระโดดลงมาทำแท็บเล็ตขนาดเล็กด้วย ในนามของ iPad mini ที่เพิ่งเปิดตัวมาได้ระยะหนึ่ง ซึ่งก็แน่นอนว่าทางเว็บ SpecPhone ของเราจะต้องจับ iPad mini มารีวิวให้ทุกท่านได้ชมอย่างแน่นอนครับ ก่อนจะไปชมรีวิว เรามาดูข้อมูลทั่วไปของ iPad mini กันก่อน
iPad mini จัดเป็นแท็บเล็ตที่ Apple ตั้งใจออกแบบขึ้นมาใหม่ให้เป็นแนวเดียวกับ iPad รุ่นปกติ ไม่ได้เป็นการจับ iPad มาย่อส่วนลงแต่อย่างใด ทำให้เราได้เห็นรูปโฉมของตัวเครื่องหลายๆ ส่วนที่แตกต่างไปจาก iPad ธรรมดาไปพอสมควร จุดประสงค์การใช้งานของ iPad mini โดยหลักก็คือเป็นอุปกรณ์สำหรับอ่าน Ebook หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลายเป็นหลัก รวมไปถึงการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์คที่ทำได้สะดวกกว่า iPad ปกติ เนื่องจากขนาดที่เล็กกว่า เบากว่า ทำให้ผู้ใช้สามารถจับถือได้สะดวกกว่า iPad เดิมๆ อยู่มาก
โดยข้อมูลเชิงเทคนิค (สเปก) iPad mini คร่าวๆ ก็มีดังนี้
- ชิปประมวลผล Apple A5 ความเร็ว 1 GHz เทียบเท่ากับใน iPad 2 มาพร้อมชิปกราฟิก PowerVR SGX543MP2
- RAM ภายใน 512 MB
- ความจุที่มีให้เลือก : 16 GB, 32 GB และ 64 GB โดยมีให้เลือกทั้งสีดำและสีขาว
- หน้าจอ IPS ขนาด 7.9 นิ้ว ความละเอียด 1024 x 768 (เท่ากับ iPad 2) ค่าความหนาแน่นของเม็ดพิกเซลอยู่ที่ 163 ppi (สูงกว่า iPad 2 เนื่องจากขนาดหน้าจอที่เล็กกว่า)
- ความหนาตัวเครื่องอยู่ที่ 7.2 มิลลิเมตร น้ำหนักเบาสุดเพียง 308 กรัม
- เรื่องการเชื่อมต่อ มีสองโมเดลให้เลือกคือ WiFi อย่างเดียวกับรุ่น WiFi+4G+3G (ใช้นาโนซิมเช่นเดียวกับ iPhone 5)
- กล้องหลัง (iSight) ความละเอียด 5 MP
- กล้องหน้า (FaceTime HD) ความละเอียด 1.2 MP
- ลำโพงตัวเครื่องเป็นระบบ Stereo (เป็นอุปกรณ์แรกในตระกูล iDevice ที่ใช้ลำโพงแบบ Stereo)
- แบตเตอรี่สามารถใช้งานเปิดเว็บผ่าน WiFi ได้ 10 ชั่วโมง
- พอร์ตเชื่อมต่อเป็นแบบ Lightning
- รุ่น WiFi 16 GB ราคาเริ่มต้นที่ 11,200 บาท
มาเริ่มตั้งแต่การแกะกล่องเลยครับ กล่องของ iPad mini มาในขนาดกระทัดรัด กระดาษที่ใช้เนื้อค่อนข้างอ่อนพอสมควร ไม่ได้ให้ความรู้สึกพรีเมี่ยมเหมือนกับ iPad รุ่นปกติมากนัก ซึ่งก็น่าจะเป็นเรื่องของการลดต้นทุนครับ แต่ทั้งนี้ตัวกล่องก็แข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักและป้องกันตัวเครื่องได้อย่างสบายๆ
อุปกรณ์ภายในกล่องก็มี
- ตัวเครื่อง iPad mini
- สาย Lightning
- อะแดปเตอร์สำหรับชาร์จไฟ จ่ายไฟได้ 5W เท่ากับของ iPhone
- คู่มือและเอกสาร
- สติ๊กเกอร์โลโก้ Apple
สาย Lightning จะม้วนอยู่ใต้ซองเอกสารนะครับ
มาดูที่ตัว iPad mini กันเลย เครื่องที่เราใช้ในการรีวิวครั้งนี้เป็น iPad mini รุ่น WiFi ความจุ 16 GB สีขาวนะครับ ตัวเครื่องนั้น งานประกอบแน่นหนาตามฉบับของ Apple ผิวด้านหน้าเป็นกระจก Gorilla Glass ตามปกติ มีการสะท้อนแสงอยู่พอสมควร ขอบมุมของตัวเครื่องด้านหน้าจะเป็นขอบเงาๆ ที่เกิดจากการใช้เพชรเจียระไนขอบอะลูมิเนียมเช่นเดียวกับ iPhone 5 ซึ่งส่วนนี้นอกจากจะทำให้ดูพรีเมี่ยมแล้ว ยังมีประโยชน์กับการใช้งานจริงด้วย เนื่องจากทำให้เราสามารถวางนิ้วลงบนขอบได้สบายมือ ไม่มีเหลี่ยมมุมทิ่มนิ้ว ทำให้สามารถวางนิ้วไว้ได้นาน
ส่วนของขอบจอที่เป็นพื้นกระจกสีขาวนั้น ถ้าพิจารณาจากอัตราส่วน จะพบว่ามีความแคบลงกว่าใน iPad ปกติอยู่พอสมควร อาจทำให้หลายท่านกังวลว่าขอบจอที่แคบจะส่งผลกับการจับเครื่องหรือไม่ เช่นกลัวว่าถ้าจับโดนขอบๆ จอแล้วจะกลายเป็นการสั่งงานในส่วนนั้นหรือเปล่า รวมไปถึงกลัวว่าเวลาอ่านหนังสืออยู่ ถ้านิ้วแตะอยู่ที่ขอบจอ แล้วเราใช้อีกมือลากนิ้วเพื่อเปลี่ยนหน้า จะทำให้กลายเป็นการซูมหรือไม่ ตอบได้เลยครับว่าไม่ต้องห่วง เพราะ Apple จัดการดักปัญหาไว้ล่วงหน้าแล้ว ด้วยการใส่ฟีเจอร์ตรวจจับการวางนิ้วของผู้ใช้ไว้ให้ ทำให้สามารถวางนิ้วตรงขอบจอ iPad mini ได้อย่างไม่เป็นปัญหา ซึ่งเดี๋ยวเรามีรูปสาธิตการใช้งานให้ชมด้วยครับ 🙂
ส่วนเลย์เอาท์อื่นๆ ของ iPad mini นั้นก็คล้ายคลึงกับ iPad ปกติ นั่นคือกล้องหน้าอยู่ตรงกลาง ส่วนบนของจอ ส่วนปุ่มโฮมก็อยู่ตามตำแหน่งเดิมๆ ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมมากนัก ยิ่งใครคุ้นเคยกับ iDevice มาอยู่แล้ว ก็แทบจะสามารถใช้งานได้ทันทีแน่นอน
จุดที่ประทับใจอย่างเห็นได้ชัดก็คือน้ำหนักตัวเครื่องที่เบา และบาง ทำให้สามารถถือได้อย่างสะดวกมือมากๆ สามารถถือมือเดียวได้อย่างสบายๆ นอนอ่าน ebook เป็นชั่วโมงๆ ได้เลยด้วย
จุดที่เป็นประเด็นที่สุดก็คือหน้าจอ เนื่องจาก iPad mini ใช้จอขนาด 7.9″ ความละเอียด 1024 x 768 ที่ไม่เป็นความละเอียดถึงขั้น Retina Display ทำให้หลายท่านสงสัยว่าจอมันจะหยาบไปมั้ย ภาพแตกหรือเปล่า ?
ซึ่งจากที่ใช้งานจริง ภาพที่ปรากฏบนจอนั้นไม่ละเอียดเท่ากับ Retina Display ใน iPad 3 จริงๆ ครับ แต่ก็ต้องเป็นการจับมาเทียบกัน จึงจะเห็นได้ชัดถึงความแตกต่างจริงๆ ถ้าใช้งาน iPad mini เดี่ยวๆ นั้นแทบจะไม่ใช่ปัญหาเลย โดยเฉพาะกับการใช้อ่านหนังสือ เพราะการแสดงตัวอักษรก็ไม่ได้ต้องการความคมของภาพที่สูงเท่ากับดูภาพถ่ายอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องความคมชัดของจอคงไม่ใช่ปัญหา (อันที่จริงจะใช้ดูรูปก็ได้นะครับ สีสันของจอจัดว่าดีทีเดียว)
อีกทั้งในการใช้งานจริง เชื่อว่าทุกท่านคงไม่ได้เอา iPad mini มานั่งเพ่งในระยะใกล้ๆ อยู่แล้ว นอกเสียจากจะทำเพื่อจับผิดมัน เนื่องจากระยะในการอ่านหนังสือของคนปกติก็จะอยู่ตั้งแต่ช่วง 1 ฟุตเป็นต้นไป ซึ่งที่ระยะ 1 ฟุต ก็มองเห็นความต่างของจอ iPad mini กับจอของ Retina Display ยากแล้วล่ะครับ ยิ่งใช้งานอ่านหนังสือ ก็คงไม่ได้ต้องการที่จะให้การแสดงผลละเอียดเกินไปอยู่แล้ว ดังนั้นในความคิดของผมคือ จอ iPad mini มันถูกออกแบบมาได้ค่อนข้างเหมาะสมดีแล้วครับ แต่ถ้าจะมาเป็นจอ Retina Display ในปีหน้า ก็ไม่ได้ขัดอะไรครับ ยิ่งดีเสียอีก แต่ขอว่าอย่ากระตุกเวลาใช้งานจริงก็แล้วกัน 😀
มาดูที่ฝาหลังกันบ้าง วัสดุที่ใช้เป็นฝาหลังของ iPad mini ก็คืออะลูมิเนียมที่ผ่านการอะโนไดซ์มาแล้ว เช่นเดียวกับ iPhone 5 และ iPod Touch Gen 5 ดังนั้นสัมผัสของพื้นผิวจึงแทบจะไม่ต่างกับผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ ของ Apple เลย นั่นคือลื่นมือเวลาเอานิ้วลูบ แต่เกาะติดมือเวลาจับใช้งานจริง ส่วนถ้าถามว่าเวลาชาร์จแบตแล้วไฟดูดหรือเปล่า ถ้าบ้านใครไม่มีสายดินก็คงโดนดูดกันไปบ้างล่ะครับ แต่ไม่แรงนัก ส่วนสีของฝาหลังนั้นก็จะเป็นไปตามสีเครื่องครับ อย่างรุ่นขาวก็จะมีฝาหลังสีเงินๆ ส่วนรุ่นดำก็จะมีฝาหลังสีเทาเข้มเกือบดำ แบบเดียวกับ iPhone 5 เลย
ขอบมุมของเครื่องส่วนหลังจะมีความกลมมน ทำให้สามารถประคองให้ iPad mini อยู่ในอุ้งมือขณะใช้งานจริงได้ง่าย นับว่าเป็นแท็บเล็ตเครื่องหนึ่งที่จับได้ถนัดมือที่สุดเลยทีเดียว ต้องยอมรับว่า Apple ทำ iPad mini ออกมาให้มีฟีลลิ่งการใช้งานที่ดีจริงๆ ครับ ดีจนกลบข้อด้อยเรื่องจอไปได้เลย
กล้องหลังของ iPad mini จะฝังแนบมาเป็นเนื้อเดียวกับฝาหลัง มีอะลูมิเนียมเนื้อเดียวกับฝาหลังเป็นขอบแยกออกมา ต่างจากตัว iPod Touch Gen 5 ที่ส่วนกล้องจะนูนขึ้นมาอย่างชัดเจน เนื่องจากตัวเครื่องที่บางมากนั่นเอง
ตำแหน่งของปุ่มต่างๆ ก็ยังคงเดิมๆ นั่นคือปุ่มเปิด/ปิด/sleep อยู่ตรงมุมบนขวาของเครื่อง (เทียบจากด้านหน้า) ส่วนมุมบนซ้ายก็เป็นตำแหน่งของช่องเสียบหูฟังที่ใช้พลาสติกเนื้อสีขาวเป็นตัวเบ้า ปุ่มเพิ่ม/ลดเสียงและสวิตช์เปิด/ปิดเสียง (หรือจะตั้งค่าเป็นปุ่มล็อกการหมุนหน้าจอก็ได้) อยู่ทางฝั่งขวาของเครื่อง ส่วนด้านซ้ายไม่มีอะไรเลยครับ
ด้านล่างของตัวเครื่องก็เป็นตำแหน่งของพอร์ต Lightning และลำโพง
ลำโพงที่ติดตั้งมาใน iPad mini เป็นลำโพงระบบ Stereo (มีลำโพงสองตัว) จากเท่าที่ลองใช้งาน พบว่ามีความแตกต่างจากลำโพงใน iDevice ที่เคยฟังมาครับ แต่ถ้าถามว่าดีมากหรือเปล่า ก็ไม่ถึงกับขั้นดีมากจนใช้แทนลำโพงจริงๆ ได้ (แนะนำว่าใช้หูฟังต่อไปจะดีกว่า)
การจับถือเครื่องนั้นสามารถทำได้ง่าย แม้แต่คนที่มือไม่ใหญ่มากก็สามารถกำตัวเครื่องได้สบายๆ แถมถ้าจับจากด้านหลัง ตรงส่วนโค้งของขอบเครื่องยังรับกระชับมืออีกด้วย ทำให้สามารถถือได้ไม่เจ็บมือ (จากในรูป ที่จริงโลโก้ Apple เป็นสีเทาสะท้อนแสงนะครับ)
เรามาดูภาพเปรียบเทียบระหว่าง iPad 3 / iPad mini และ iPod Touch Gen 5 ที่เป็นตัวแทนของ iPhone 5 ไปด้วยในตัวกันครับ ว่าขนาดของตัวเครื่องนั้นต่างกันขนาดไหน
เมื่อดูแบบนี้แล้ว เป็นไปได้ว่า iPad รุ่นหน้าคงจะมีการปรับดีไซน์ของฝาหลังไปเป็นแบบเดียวกับ iPad mini แน่ๆ ครับ
เทียบหน้าจอระหว่าง iPad mini ที่เป็นจอขนาด 7.9″ อัตราส่วนจอ 4:3 กับ iPod Touch Gen 5 ที่เป็นจอขนาด 4″ อัตราส่วน 16:9
จับ iPad mini มาเทียบกับรุ่นใหญ่อย่าง iPad 3 ครับ อยากบอกว่า iPad 3 จับยากกว่า และเสียวหลุดมือมาก 🙁
มาดูพื้นที่การแสดงผลเมื่อเปิดหน้าเว็บกันครับ พบว่า iPad mini กับ iPad 3 นั้นมีอัตราส่วนการแสดงผลเดียวกัน ทำให้สามารถแสดงจำนวนของเนื้อหาต่อหนึ่งหน้าได้เท่ากัน แต่จะมีความต่างก็เรื่องขนาดของภาพและตัวอักษรในหน้าเว็บที่ iPad mini จะเล็กกว่า จนทำให้อ่านเนื้อหาในบางเว็บยากอยู่เหมือนกัน อาจจะต้องซูมหน้าเพื่อให้อ่านได้สะดวกๆ
ส่วนเรื่องมุมมองของจอนั้น จากในภาพที่สอง จะเห็นได้ชัดว่าจอของ iPad 3 ให้การแสดงผลในมุมเฉียงได้ดีกว่าจอ iPad mini และ iPod Touch Gen 5 พอสมควร โดยเฉพาะ iPod Touch Gen 5 ที่ถึงกับภาพมืดไปเลย ทั้งที่เปิดความสว่างในระดับเท่าๆ กัน (จากการทดสอบด้วยการมองแต่ละเครื่องในหลายๆ มุม)
เมื่อลองจับ iPad mini มาใส่ในกระเป๋าหลังของกางเกง ปรากฏว่าก็ใส่ได้นะครับ พอดีเป๊ะเลย
ด้านการใช้งานจริงนั้น สามารถใช้งานได้สบายมือ เนื่องจากน้ำหนักที่เบาและมีขนาดตัวเครื่องพอดีๆ มือ ทำให้สามารถใช้งานได้นาน โดยเฉพาะการอ่าน ebook ที่เหมาะเป็นอย่างยิ่ง ขนาดตัวหนังสือกำลังพอดีๆ อย่างในภาพเป็นการอ่านไฟล์ pdf จากแอพ Kindle ครับ ความสว่างจออยู่ในระดับพอดีๆ สามารถวางมือไว้ตรงขอบๆ ริมๆ จอได้โดยไม่มีปัญหาขณะใช้งาน ดังนั้นเวลาใช้งานจริงก็ไม่ต้องกลัวเมื่อยมือแต่อย่างใด
หรือจะใช้เล่นเกมก็ยังได้ครับ อย่างผมลองเล่น Infinity Blade 2 ก็สามารถเล่นได้ลื่นดี ไม่พบอาการกระตุกแต่อย่างใด แถมเล่นได้ถนัดมือและถือเล่นได้นานกว่า iPad เครื่องปกติซะด้วยซิ
ด้านซอฟต์แวร์
ต่อมาเรามาดูด้านซอฟต์แวร์ของ iPad mini กันบ้าง โดยในเครื่องที่เราได้มามีการติดตั้ง iOS 6.0 มาให้ ซึ่งก็ต้องมาอัพเดตกันนิดหน่อยเพื่อให้เป็น iOS 6.0.1 ครับ แต่เครื่องที่มาในช่วงหลังๆ น่าจะมาพร้อมกับ iOS 6.0.1 กันหมดแล้ว
ด้านของอินเตอร์เฟสภายในก็ยังคงเป็นเช่นเดียวกับใน iPad เดิมๆ ครับ เพียงแต่อะไรๆ มันก็ย่อขนาดลงเล็กน้อยตามอัตราส่วนเท่านั้น อย่างเช่นในรายของปุ่มคีย์บอร์ดที่เล็กลงกว่าเดิมนิดหน่อย แต่ก็ยังสามารถใช้งานได้ถนัดมือพอสมควร หรือใครจะเลือกให้คีย์บอร์ดแยกฝั่งแบบ Split ก็สามารถทำได้เช่นเดิม แถมยังใช้งานได้ง่ายด้วย เพราะสามารถจับตัวเครื่องเพื่อกดปุ่มได้ง่ายกว่า iPad ขนาดปกติ
ส่วนด้านล่างนี้เป็นตัวอย่างการแสดงผลแอพบนหน้าจอของ iPad mini ครับ
ความรู้สึกจากการใช้งานแอพบน iPad mini พบว่าไม่มีปัญหาการใช้งานแต่อย่างใดครับ เนื่องด้วยมันใช้อัตราส่วนการแสดงผลแบบเดียวกับ iPad ทุกรุ่น โดยเฉพาะกับ iPad 2 ที่ยังมีขายอยู่ ดังนั้นมั่นใจได้ว่าแอพ iPad ทุกแอพสามารถใช้งานบน iPad mini ได้สบายๆ รวมไปถึงเกมอย่าง Hay Day ด้วย เมื่อลองเล่นแล้วความรู้สึกของผมก็คือ “iPad mini มันคือเครื่องเล่น Hay Day ที่แจ่มที่สุด เท่าที่จะมีในปัจจุบัน !!!” (ก็มันมีแต่ใน iOS นี่นา iPad ปกติก็หนักไป iPhone ก็เล็กไปสำหรับการเล่นเกม)
ส่วนการใช้งานแอพของ iPhone บน iPad mini ก็สามารถทำได้ โดยเป็นการแสดงผลในขนาดที่เล็กลงมาตามปกติ หรือจะกดปุ่มตรงมุมขวาล่างเพื่อซูมก็ได้เช่นเดียวกัน แต่คงไม่เหมาะกับการใช้งานจริงซักเท่าไรนะครับ
ลองเปิดหน้าเว็บผ่าน Safari ดูบ้าง ก็พบว่าตัวอักษรค่อนข้างเล็กเกินไปที่จะอ่านได้โดยง่าย ทำให้ต้องซูมเล็กน้อยก่อนอ่านครับ จึงจะสบายตาขึ้นมาหน่อย
ภาพถ่ายจากกล้องหลัง
ต่อมาเรามาดูผลทดสอบด้านประสิทธิภาพกันบ้าง
GeekBench
ผลของ GeekBench นั้นพบว่า iPad mini ทำคะแนนไปได้ 756 คะแนน ใกล้เคียงกับ iPad 3 ที่ใช้ชิป Apple A5X มากๆ ทั้งส่วนของคะแนนรวมและคะแนนแต่ละส่วนทั้งการคำนวณ Integer, Floating point, Memory และคะแนนการสตรีมมิ่งข้อมูลของหน่วยความจำ
SunSpider
การทดสอบ SunSpider เป็นการทดสอบประสิทธิภาพของชิปว่าสามารถประมวลผลชุดคำสั่ง Javascript ได้เร็วขนาดไหน โดยเป็นการวัดประสิทธิภาพของ CPU แบบตรงๆ
ผลออกมาก็คือ iPad mini ใช้เวลาในการทดสอบอยู่ที่ 1,474.4 ms เร็วกว่า Nexus 7 และ iPod Touch Gen 5 แต่ก็ยังห่างจาก Exynos 4412 ใน Samsung Galaxy Note II อยู่พอตัวเลย
BrowserMark
ฺด้านของ BrowserMark นั้น เป็นตัวไว้ใช้ทดสอบความสามารถของการเรนเดอร์ชุดคำสั่งบนเว็บเบราเซอร์ ทั้งด้านตัวอักษรและกราฟิกบนหน้าเว็บ ซึ่งถ้ายิ่งได้คะแนนสูง ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพของการประมวลผลดีขึ้นด้วย
แต่เนื่องจากตัวของ BrowserMark มีการปรับเปล่ียนรูปแบบการทดสอบและการคิดคะแนน ดังนั้นเราจึงขอไม่ลงกราฟเปรียบเทียบนะครับ แต่จากในเว็บของ BrowserMark เองพบว่า iPad mini สามารถทำคะแนนได้ 1,886 คะแนน น้อยกว่า iPad 3 ที่ทำได้ 2,609 คะแนน
GLBenchmark 2.1 – High
ตัวของ GLBenchmark นั้นเป็นการทดสอบความสามารถการประมวลผลของ GPU ว่าสามารถเรนเดอร์กราฟิกได้ในระดับไหน โดยในการเทสที่โหมด High จะเป็นการนำความละเอียดจอมาเป็นปัจจัยด้วย ทำให้ไม่สามารถเปรียบเทียบความแรงระหว่างเครื่องได้ตรงๆ ได้แต่ดูว่าเครื่องสามารถเรนเดอร์ได้ที่เฟรมเรตเท่าไร
จากผลการทดสอบพบว่า iPad mini สามารถเรนเดอร์ได้ที่ 59 fps ที่จัดอยู่ในระดับที่ลื่นเลยทีเดียว
GLBenchmark 2.1 – Offscreen
ส่วนในโหมด Offscreen นี้ จะเป็นการทดสอบโดยกำหนดความละเอียดหน้าจอในทุกการทดสอบให้เท่ากัน ทำให้สามารถเปรียบเทียบกับเครื่องอื่นๆ ได้ด้วย
จากผลการทดสอบก็พบว่า iPad mini สามารถเรนเดอร์ได้แค่ 49 fps เท่านั้น น้อยกว่า Nexus 7 พอสมควรเลยทีเดียว
ระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่
ด้านการใช้งานแบตเตอรี่นั้น ถ้าเชื่อมต่อ WiFi เปิดแสงสว่างจอให้พอดีๆ กับการใช้งานในห้องปกติ ก็สามารถใช้งานได้เป็นวันๆ อย่างๆ ไม่มีปัญหา ยิ่งใครที่ใช้งานอ่าน Ebook รับรองได้ว่าอ่านได้หลายวันเลยทีเดียวครับ แต่ถ้าเปิดเล่นเกมอยู่บ่อยๆ ก็หมดไวเป็นเรื่องปกติ ซึ่งปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สามารถใช้งานแบตได้ค่อนข้างนานก็คือเรื่องความละเอียดจอที่ไม่สูงถึงระดับ Retina Display ทำให้ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ในการทำงานที่หนักเท่ากับตัวของ iPad รุ่นใหญ่ที่ใช้จอ Retina แต่ทั้งนี้ถ้าปีหน้า Apple จะส่ง iPad mini ที่ใช้จอ Retina Display ออกมาจริงๆ ก็น่าสนใจว่าจะมีการจัดการเรื่องแบตเตอรี่อย่างไรให้สามารถใช้งานได้ยาวนานในระดับเดียวกับปัจจุบัน
สรุปรีวิว iPad mini
ตัวของ iPad mini นั้น จัดว่าเป็นแท็บเล็ตช่วงขนาด 7 นิ้ว (จนเกือบจะ 8″) ที่สมบูรณ์ในการใช้งานมากที่สุดในขณะนี้เลยก็ว่าได้ เนื่องด้วยความสมดุลของทั้งขนาดเครื่อง พื้นที่การใช้งานหน้าจอ ประสิทธิภาพที่พอดีๆ หรือจะเป็นในด้านแอพพลิเคชันสำหรับแท็บเล็ตก็เรียกได้ว่ามีความพร้อมต่อการใช้งานมากกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ สามารถใช้งานทั่วไปได้อย่างไม่มีปัญหา ทั้งใช้อ่าน Ebook ใช้เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ค หรือจะเล่นเกมก็ได้สบายๆ ทำให้ iPad mini เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากสำหรับคนที่กำลังมองหาแท็บเล็ตมาใช้งานซักเครื่อง แต่อาจจะติดตรงที่ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับแท็บเล็ตช่วงขนาดเดียวกันรุ่นอื่นๆ ในตลาดที่มักจะมีราคาไม่ถึง 10,000 บาท (โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่ส่วนใหญ่จะเริ่มกันที่ 5,000 บาทเท่านั้น) แต่ตัวของ iPad mini เองก็มีจุดเด่นในตัวหลายอย่างที่กลบจุดด้อยเรื่องราคาได้อย่างที่ Phil Schiller บอกไว้จริงๆ โดยเฉพาะเรื่องประสบการณ์การใช้งานที่มอบให้กับผู้ใช้ได้มากกว่าแท็บเล็ตตัวอื่นๆ
ถ้าถามว่า iPad mini เหมาะกับกลุ่มตลาดใด ก็พอจะแยกเป็นข้อๆ ได้ดังนี้ครับ
- คนที่ต้องการแท็บเล็ตที่พกพาง่าย ใช้งานสะดวกเวลาอยู่นอกที่พัก
- ผู้ที่ต้องการอ่าน Ebook และเสพสื่อมัลติมีเดียอื่นๆ ด้วย
- คนที่มีอุปกรณ์ของ Apple อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นในสายของ iDevice หรือสาย Mac ก็ตาม เพราะระบบ Apple ID ทำให้สามารถเชื่อมการใช้งานและข้อมูลได้ดีจริงๆ ซึ่งเป็นจุดเด่นด้าน Environment ของ Apple อยู่แล้ว
- พ่อแม่ที่อยากซื้อแท็บเล็ตให้ลูกเล่น เพราะใน iOS มีแอพที่ช่วยด้านการศีกษาและพัฒนาการเด็กอยู่มาก
- คนที่อยากได้แท็บเล็ตสำหรับเล่นเกมไม่หนักมาก แต่อยากพกพาไปเล่นนอกสถานที่บ่อยๆ
ส่วนอีกข้อหนึ่งคือ iPad mini น่าจะไม่เหมาะกับกลุ่มตลาดใด ก็พอจำแนกได้ดังนี้
- คนที่ไม่ชอบ Apple
- คนที่สายตาชินกับจอที่มี PPI สูงๆ เช่น ความละเอียดระดับ Retina Display ไปแล้ว
- ผู้ที่มีปัญหาด้านการมองตัวหนังสือเล็กๆ ไม่ค่อยได้ เพราะอาจรำคาญที่ต้องมาคอยซูมหน้าเว็บใน Safari
ก็น่าจะพอเห็นภาพกันแล้วนะครับว่า iPad mini น่าจะเหมาะหรือไม่เหมาะกับใครบ้าง อย่างไรก็ตามก็แล้วแต่กำลังทรัพย์ ความชอบและการใช้งานของแต่ละท่านด้วยครับ ว่าเอื้อที่จะซื้อหรือเปล่า แต่ถ้ากำลังมองหาแท็บเล็ตพกพาสะดวกแล้วใช้งานได้ดีในช่วงนี้ iPad mini ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากทีเดียว
ข้อดี
- น้ำหนักเบา ตัวเครื่องบาง พกพาสะดวก
- สามารถใช้งานแอพ iPad ปกติได้แบบไม่มีปัญหา
- จอเป็นอัตราส่วน 4:3 เหมาะกับการอ่าน Ebook
- ประสิทธิภาพอยู่ในระดับที่สามารถใช้งานได้สบายๆ ไปอีกเป็นปีๆ
- วัสดุและงานประกอบดี อาจจะดีกว่าแท็บเล็ตในกลุ่มเดียวกันด้วย
- จอมีแสงสะท้อนน้อยกว่าจอกระจกของแท็บเล็ตหลายๆ ตัว รวมถึงสีสันก็อยู่ในระดับที่ดี ด้านความละเอียดก็จัดว่าเหมาะสมสำหรับการใช้งานทั่วไป อ่านหนังสือ
- ลำโพงเป็นแบบ Stereo ให้เสียงที่ดีขึ้นกว่าเดิม (แต่ก็ไม่ถึงกับดีเยี่ยม)
- สามารถตรวจสอบการใช้มือจับขอบจอได้ดี ทำให้ไม่เกิดการรบกวนเวลาใช้งานมากนัก
ข้อสังเกต
- ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับแท็บเล็ตในกลุ่มเดียวกัน
- ตัวหนังสือที่แสดงในหน้าเว็บมักจะมีขนาดเล็กจนอ่านค่อนข้างลำบาก
- ตรงขอบเครื่อง มีโอกาสจะเป็นรอยได้เหมือน iPhone 5
- อะแดปเตอร์ที่ให้มาจ่ายไฟให้ iPad mini ได้สูงสุดแค่ 5W ต่างจากของ iPad รุ่นปกติที่จ่ายไฟได้ 10W ส่งผลให้การชาร์จไฟให้ iPad mini ทำได้ช้าลง