ช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีสองชิปเซ็ตรุ่นเรือธงใหม่ล่าสุดเปิดตัวออกมาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันคือ Snapdragon 8 Elite Gen 5 และ Dimensity 9500 สำหรับมือถือระดับเรือธง ซึ่งทั้งคู่ต่างก็สร้างขึ้นมาเพื่อชิงความเป็นหนึ่งในด้านประสิทธิภาพ และความสามารถในการประมวลผล และการเปิดตัวใกล้ๆ เวลาเดียวกันนี้ ก็ถือว่าเป็นการเผชิญหน้ากันโดยตรง เพื่อบ่งบอกว่าใครจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำที่แท้จริงของวงการได้
เป็นเวลาหลายปีที่ชิปเซ็ต Snapdragon Series ของ Qualcomm ครองตำแหน่งผู้นำในตลาดสมาร์ทโฟน Android มาโดยตลอด ทั้งในด้านประสิทธิภาพและความเสถียร แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา MediaTek ได้เริ่มตีคู่ด้วยชิป Dimensity Series ที่พัฒนาขีดความสามารถขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด จนสามารถท้าชิงอันดับต้นๆ มาได้ และการมาถึงของชิปเซ็ตเรือธงรุ่นล่าสุดของทั้งสองค่าย ก็ยิ่งทำให้การแข่งขันดุเดือดยิ่งขึ้นไปอีก มาดูกันว่าทั้งสองชิปนี้ต่างกันยังไงบ้าง
Snapdragon 8 Elite Gen 5 vs Dimensity 9500 วัดพลังผ่านผลคะแนน Benchmark


Snapdragon 8 Elite Gen 5 | Dimensity 9500 | |
คะแนน Geekbench 6 | ||
Single-Core | 3,634 | 3,177 |
Multi-Core | 10,813 | 9,701 |
คะแนน AnTuTu | ||
ผลคะแนน | 4,166,339 | 4,011,932 |
CPU | 1,213,845 | 1,043,247 |
GPU | 1,468,351 | 1,510,982 |
Memory | 570,553 | 667,254 |
UX | 913,590 | 790,449 |
เมื่อดูจากผลการทดสอบประสิทธิภาพผ่าน Geekbench ของ Snapdragon 8 Elite Gen 5 vs Dimensity 9500 ที่จะวัดความสามารถในการประมวลผลของ CPU เป็นหลัก พบว่า Snapdragon 8 Elite Gen 5 ที่มาพร้อม CPU Oryon สามารถทำคะแนนแบบ Single-Core ทำคะแนนได้สูงกว่า Dimensity 9500 อยู่ประมาณ 15% ในขณะที่การทดสอบแบบ Multi-Core ขุมพลังจาก Qualcomm ก็ยังคงรักษาความเหนือกว่าไว้ได้อยู่ราว 12% ตัวเลขเหล่านี้ก็พอจะบอกได้ว่า Snapdragon 8 Elite Gen 5 มีแนวโน้มที่จะใช้งานได้รวดเร็วกว่าทั้งสองแบบ
แต่เมื่อขยับมาดูที่ผลการทดสอบ AnTuTu ที่วัดประสิทธิภาพโดยรวมพบว่าทั้ง CPU, GPU, หน่วยความจำ และ UX ชิปทั้งสองรุ่น Snapdragon 8 Elite Gen 5 vs Dimensity 9500 มีคะแนนสูสีกันเลย โดยสามารถทำคะแนนทะลุ 4 ล้านคะแนนได้เป็นครั้งแรก และพบว่าในส่วนของ CPU นั้น Snapdragon ยังคงทำได้ดีกว่าถึง 16% แต่ในส่วนของ GPU หรือหน่วยประมวลผลกราฟิกนั้น Dimensity 9500 กลับทำคะแนนได้สูงกว่าเล็กน้อยประมาณ 3% ทำให้เห็นได้ว่าด้านการเล่นเกม หรือการประมวลผลกราฟิกหนักๆ ทั้งสองชิปมีความสามารถที่ใกล้เคียงกันมาก
เจาะลึกสถาปัตยกรรมและเทคโนโลยี
Snapdragon 8 Elite Gen 5 | Dimensity 9500 | |
วันเปิดตัว | ปลายกันยายน 2025 | ปลายกันยายน 2025 |
สถาปัตยกรรม | 3 นาโนเมตร (N3P) | 3 นาโนเมตร (N3P) |
แกน CPU | 8-core แบบ 2+6 2 x 4.61 GHz – Oryon (Gen 3) 6 x 3.63 GHz – Oryon (Gen 3) | 8-core แบบ All Big Core 1 x 4.21 GHz – C1-Ultra 3 x 3.5 GHz – C1-Premium 4 x 2.7 GHz – C1-Pro |
GPU | Adreno 840 | Mali-G1 Ultra MP12 |
NPU | Qualcomm Hexagon NPU | MediaTek NPU 990 |
RAM | LPDDR5X, สูงสุด 5.3 GHz | LPDDR5X, สูงสุด 5.3 GHz |
Storage | UFS 4.1 | UFS 4.1 |
กล้อง | Qualcomm Spectra Triple ISP (20-bit) สูงสุด 320MP บันทึกวิดีโอ 8K | MediaTek Imagiq 1190 ISP สูงสุด 320MP บันทึกวิดีโอ 8K |
การเชื่อมต่อ | Snapdragon X85 5G modem ความเร็วดาวน์โหลดสูงสุด 12.5 Gbps ความเร็วอัปโหลดสูงสุด 3.7 Gbps Wi-Fi 7 (เร็วสุด 5.8 Gbps) Bluetooth 6.0 | 3GPP Release-17 5G modem เร็วสุด 7.4 Gbps Wi-Fi 7 (เร็วสุด 7.3 Gbps) Bluetooth 6.0 |
ชิปเซ็ต Snapdragon 8 Elite Gen 5 vs Dimensity 9500 ทั้งสองรุ่นต่างผลิตขึ้นบนสถาปัตยกรรม 3 นาโนเมตร (N3P) ของ TSMC เหมือนกัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงานได้อย่างดีเยี่ยม แต่ความแตกต่างที่สำคัญนั้นอยู่ที่การออกแบบสถาปัตยกรรม CPU
โดย Qualcomm ยังคงยึดมั่นในโครงสร้างแบบ “2+6” ที่ประกอบด้วย Prime Core ประสิทธิภาพสูง 2 แกน และ Performance Core อีก 6 แกน ในขณะที่ MediaTek ใช้แนวทาง “All Big Core” ที่ประกอบด้วย Ultra Core 1 แกน, Premium Core 3 แกน และ Pro Core อีก 4 แกน ซึ่งเป็นการออกแบบที่เน้นประสิทธิภาพในทุกแกนประมวลผล
ด้านกราฟิก Snapdragon 8 Elite Gen 5 มาพร้อมกับ GPU Adreno 840 รุ่นใหม่ล่าสุด ในขณะที่ Dimensity 9500 ใช้ GPU Arm Mali-G1 Ultra ซึ่งทั้งสองต่างก็มีการปรับปรุงความสามารถด้าน Ray-tracing และการจัดการพลังงานให้ดีขึ้น รวมถึงมีฟีเจอร์สำหรับเล่นเกมทั้งคู่ ส่วนการประมวลผล AI (NPU) ก็อัปเกรดครั้งใหญ่เช่นกัน โดย Hexagon NPU ในฝั่ง Snapdragon และ MediaTek NPU 990 ในฝั่ง Dimensity ต่างก็เคลมว่ามีความเร็วที่เพิ่มขึ้น และประหยัดพลังงานกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างมาก
นอกจากนี้ ทั้งสองชิปยังรองรับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อที่รวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น 5G, Wi-Fi 7 และ Bluetooth 6.0 รวมถึงการรองรับการประมวลผลภาพถ่าย และวิดีโอระดับสูงด้วย ISP (Image Signal Processor) รุ่นใหม่ที่สามารถรองรับกล้องความละเอียดสูงสุดถึง 320MP และการถ่ายวิดีโอ 8K ได้อย่างสบายๆ พร้อมรองรับ real-time Semantic Segmentation ได้ทั้งคู่เช่นกัน
Snapdragon 8 Elite Gen 5 vs Dimensity 9500 มีรุ่นไหนได้ใช้บ้าง
ชิป Snapdragon 8 Elite Gen 5
- Xiaomi 17 Series (เปิดตัวแล้ว): ถือเป็นธรรมเนียมที่ Xiaomi จะได้ใช้ชิปเรือธงของ Snapdragon เป็นเจ้าแรกของโลกเสมอ ซึ่งครั้งนี้ก็เช่นกัน โดยมาครบทั้ง Xiaomi 17, Xiaomi 17 Pro และ Xiaomi 17 Pro Max ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศจีนไปแล้ว
- iQOO 15 (ยืนยันแล้ว, ใกล้เปิดตัว): แบรนด์ลูกของ vivo ที่เน้นประสิทธิภาพและความแรง ก็ยืนยันแล้วว่าจะใช้ชิปรุ่นนี้ และคาดว่าจะเปิดตัวตามมาติดๆ ในเดือนตุลาคมนี้
- OnePlus 15 (ยืนยันแล้ว, ใกล้เปิดตัว): อีกหนึ่งแบรนด์ที่ยืนยันแล้วว่าจะใช้ชิปตัวนี้ และมักจะเปิดตัวเรือธงในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน
- Realme GT 8 Pro (ยืนยันแล้ว): ทาง Realme ก็ไม่พลาดขบวนรถไฟสายเรือธงนี้เช่นกัน และยืนยันแล้วว่าจะนำมาใช้ในรุ่น GT Series ตัวท็อป
- รุ่นอื่นๆ ที่คาดว่าจะตามมา: นอกจากนี้ยังมีอีกหลายแบรนด์ที่อยู่ในรายชื่อพาร์ทเนอร์ของ Qualcomm ที่จะใช้ชิปรุ่นนี้แน่นอน เช่น Samsung Galaxy S26 Series (โดยเฉพาะรุ่น Ultra), OPPO Find X9 Ultra, vivo X300 Ultra, HONOR Magic 8 Series และโทรศัพท์เกมมิ่งอย่าง RedMagic และ ROG Phone รุ่นใหม่ด้วย
ชิป Dimensity 9500
- vivo X300 และ X300 Pro (ยืนยันแล้ว, ใกล้เปิดตัว): vivo ถือเป็นแบรนด์แรกๆ ที่ประกาศตัวว่าจะนำชิป Dimensity 9500 มาใช้ในเรือธงซีรีส์ X โดยคาดว่าจะเปิดตัวในประเทศจีนช่วงกลางเดือนตุลาคมนี้
- OPPO Find X9 และ X9 Pro (ยืนยันแล้ว): OPPO ก็เป็นอีกหนึ่งค่ายใหญ่ที่ยืนยันแล้วว่าจะนำชิป Dimensity 9500 มาเป็นหัวใจหลักให้กับเรือธง Find X Series รุ่นใหม่เช่นกัน พร้อมจะในไทยเร็วๆ นี้ด้วย
โดยทั่วไปแล้ว ชิป Dimensity มักจะถูกนำไปใช้ในมือถือเรือธงของแบรนด์จีนเป็นหลักในช่วงแรก ก่อนที่จะขยายไปยังตลาดโลกในรุ่นต่อๆ ไป
สรุปแล้วใครแรงกว่ากัน?
โดยสรุปแล้วระหว่างการเปรียบเทียบ Snapdragon 8 Elite Gen 5 vs Dimensity 9500 ในครั้งนี้ ถือเป็นสเปคความเร็วแรงที่สูสีกันมาก แต่โดยรวมแล้ว Snapdragon ยังคงรักษาความได้เปรียบในด้านการประมวลผลของ CPU ในขณะที่ Dimensity ก็แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะในด้านกราฟิกและการจัดการพลังงาน แต่ท้ายที่สุดแล้วการที่จะรีดประสิทธิภาพออกมาได้สูงสุดจริงๆ นั้น ก็ขึ้นอยู่กับมือถือของแต่ละรุ่นที่จะนำไปพัฒนาต่อ และทำออกมาได้ดีมากขึ้นแค่ไหน และผู้ใช้งานอย่างเราก็จะได้สัมผัสกับประสบการณ์การใช้งานที่ทรงพลัง และชาญฉลาดยิ่งขึ้นกว่าที่เคยเป็นมาด้วย
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก gizmochina