Infinix Zero 5G 2023 มือถือสเปคเกมมิ่งตัวใหม่ล่าสุดของ Infinix ที่เอา Infinix Zero 5G ตัวเดิมมาอัพเกรดใหม่ให้ดียิ่งขึ้น เปลี่ยนชิปเป็นตัวใหม่ Dimensity 1080 เพิ่มความจุเป็น 256GB อัพเกรดเซ็นเซอร์กล้องใหม่เป็นกล้อง 50MP ซึ่งนับว่าเป็นการอัพเกรดที่น่าสนใจมากสำหรับมือถือที่ขายในราคาไม่ถึงหมื่น โดย Infinix Zero 5G 2023 นั้นจะมีให้เลือกทั้งหมด 3 สีคือ PEARLY WHITE / CORAL ORANGE / SUBMARINER BLACK ซึ่งที่ทาง Specphone ได้มาคือสี CORAL ORANGE นั่นเอง
สเปคของ Infinix Zero 5G 2023
- หน้าจอ : LTPS IPS-LCD, ขนาด 6.78 นิ้ว, ความละเอียด 2460 x 1080 พิกเซล (Full-HD+), Refresh Rate 120Hz, Touch Sampling Rate 240Hz
- ชิปประมวลผล : MediaTek Dimensity 1080
- แรม : 8GB + 5GB Extended RAM
- ความจุ : 256GB รองรับ MicroSD สูงสุด 256GB
- กล้องหลัง :
- ตัวที่ 1 : 50MP, f/1.6, AF (wide)
- ตัวที่ 2 : 2MP, f/2.4 (macro)
- ตัวที่ 3 : 2MP, f/2.4 (depth)
- กล้องหน้า : 16MP, f/2.0 (wide)
- แบตเตอรี่ : 5,000 mAh รองรับระบบชาร์จเร็ว 33W Super Fast Charge
- ระบบปฏิบัติการ : Android 12 ครอบทับด้วย XOS 12
- การเชื่อมต่อ :
- 5G NR (Sub-6GHz)
- Wi-Fi 6
- Bluetooth 5.2
- GPS
- USB Type-C / USB OTG
- ช่องหูฟังขนาด 3.5 มม.
- เซ็นเซอร์ :
- FINGERPRINT (ด้านข้างตัวเครื่อง)
- PROXIMITY SENSOR
- LIGHT SENSOR
- GYROSCOPE
- E-COMPASS
- G-SENSOR
- ขนาด : 168.73 x 76.53 x 8.9 มม.
- น้ำหนัก : 201 กรัม
- สี : PEARLY WHITE / CORAL ORANGE / SUBMARINER BLACK
- ราคา : 9,499 บาท
ดีไซน์ตัวเครื่อง
Infinix Zero 5G 2023 นั้นมาพร้อมหน้าจอแบบ 2.5D Curved ขนาดใหญ่ 6.78 นิ้ว ที่เป็นพาแนล IPS มีความละเอียดระดับ Full-HD+ และมีอัตรารีเฟรชสูงถึง 120Hz (ปรับได้แค่ 60Hz/120Hz/อันโนมัติ) และมีกล้องหน้าจอแบบ Punch hole อยู่ตรงกลางความละเอียด 16MP ซึ่งการที่เป็นหน้าจอแบบ IPS นั้นส่งผลให้ตัวเครื่องมีขอบหน้าจออยู่ประมาณหนึ่ง
ที่ด้านหลังของตัวเครื่องนั้นจะมาด้วยดีไซน์แบบ Unibody ซึ่งในสี CORALO ORANGE นั้นจะมีฝาหลังที่ให้ผิวสัมผัสเหมือนหนัง ช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับตัวเครื่องไม่น้อย ที่มุมเครื่องจะมีโมดูลกล้องซึ่งภายในจะจัดวางเลนส์เรียงเป็นแนวตั้ง และมีไฟแฟลช LED อยู่ข้างๆ สำหรับตัวโมดูลนี้จะมีความนูนขึ้นมาจากหลังเครื่องเล็กน้อย เพียงแต่ด้วยความใส่ใจในความสวยงามจึงได้มีการออกแบบส่วนนูนนี้ให้ดูกลมกลืนไปกับหลังเครื่อง ทำให้ถ้ามองตรงๆ ก็แทบจะไม่เห็นเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีการใส่ชื่อรุ่นไว้ที่ด้านล่างเครื่องอีกด้วย
สำหรับรอบๆ ตัวเครื่องนั้นที่ด้านบนจะมีรูไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวนและข้อความที่เขียนว่า “Powered by Infinix” อยู่ ปุ่มทั้งหมดจะรวมกันอยู่ที่ฝั่งขวาทั้งปุ่มปรับระดับเสียงและปุ่มเปิด-ปิด ซึ่งปุ่มเปิด-ปิดนี้จะเป็นที่สแกนลายนิ้วมือด้วยในตัว ส่วนฝั่งซ้ายจะมีถาดใส่ซิมอยู่ ที่ด้านล่างตัวเครื่องจะมีช่องลำโพง, พอร์ต USB Type-C, รูไมโครโฟน และช่องหูฟังขนาด 3.5 มม. อยู่
ระบบปฏิบัติการ
ระบบปฏิบัติการของ Infinix Zero 5G 2023 นั้นเป็นระบบปฏิบัติการ XOS 12 ที่พัฒนาขึ้นมาบนพื้นฐานของ Android 12 มีการดีไซน์หน้า UI ให้เอื้อต่อการใช้งาน โดยเอาแอปฯ ทั้งหมดมาไว้ที่หน้า Home (AppDrawer ยังอยู่นะเออ) รวมถึงยังมีการเอาแอปฯ ที่ใช้งานล่าสุดมาไว้ที่หน้าแรกอีกด้วย เพื่อให้สามารถเรียกใช้ใหม่ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่อาจจะต้องปรับตัวสำหรับคนที่ไม่เคยใช้มาก่อนก็คือในการปัดเรียกหน้า Control Center และ Notification นั้นจะมีการแยกฝั่งกัน ไม่ได้รวมเหมือนหลายๆ แบรนด์ โดยถ้าปัดฝั่งบนซ้ายจะเป็น Notification ส่วนฝั่งบนขวาจะเป็น Control Center และถ้าใครเบื่อๆ UI เดิมๆ ก็สามารถเข้าไปปรับแต่งหรือดาวน์โหลดมาติดตั้งเพิ่มได้อีกด้วย
การใช้งานทั่วไปและการชาร์จ
ในเรื่องของการใช้งานต่างๆ นั้นในด้านการใช้เล่นโซเชียลหรือการดูหนังนั้นถือว่าทำออกมาได้ดี การไถ่ฟีดมีความลื่นไหล (เมื่อปรับเป็น 120Hz) การดูหนังสตรีมมิ่งเองก็สบายหายห่วงด้วย Widevine ระดับ L1 ทำให้สามารถดูได้แบบเต็มความละเอียด (ดูได้สูงสุดที่ Full HD) ถึงจะน่าเสียดายตรงที่ลำโพงเป็นลำโพงเดี่ยว แต่ในเรื่องระดับความดังก็ทำออกมาได้ดี ถึงจะอยู่ในที่ๆ มีเสียงรบกวนก็ฟังรู้เรื่อง อีกทั้งยังเป็นระบบเสียง Hi-Res ด้วยนะเออ แต่ที่ช่วยได้เยอะคือการที่ตัวเครื่องมีช่องหูฟังขนาด 3.5 มม. มาให้ ทำให้สามารถหาหูฟังดีๆ จิ้มได้ง่าย แถมยังสามารถใส่หูฟังและชาร์จแบตเตอรี่ไปพร้อมๆ กันได้ (ถึงจะไม่ค่อยอยากแนะนำก็ตาม)
ในเรื่องของแบตเตอรี่นั้นด้วยแบตเตอรี่ขนาด 5,000 mAh จากที่ลองเล่นมาถือว่าถึกใช้ได้เลยทีเดียว เพราะขนาดเปิดเกมต่อเนื่องเป็นชั่วโมง แบตเตอรี่ก็ยังเหลือๆ เปิดได้ทั้งวันแถมไม่ร้อนด้วย เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่สุดยอดเลยสำหรับมือถือในเรทราคานี้ สำหรับการชาร์จนั้นตัวเครื่องมาพร้อมระบบชาร์จเร็ว 33W ซึ่งเราเริ่มทดสอบชาร์จตอนแบตเตอรี่หมด (0%) ใน 10 นาทีแรกได้แบตเตอรี่เพิ่มมาเป็น 18% และชาร์จแบตเตอรี่ได้ 50% ในเวลาไป 32 นาที เมื่อรวมเวลาชาร์จจาก 0% – 100% จะใช้เวลารวมทั้งหมด 88 นาที หรือ 1 ชั่วโมง 28 นาที ซึ่งถือว่าเป็นเวลาเฉลี่ยของมือถือที่มีระบบชาร์จเร็วแล้ว
การเล่นเกม
ในเรื่องของการเล่นเกมนั้นตัวเครื่องมาพร้อมชิปประมวลผล Dimensity 1080 ที่เป็นชิประดับกลางรุ่นใหม่ของ MediaTek ซึ่งจากที่ได้ลองต้องบอกเลยว่าเป็นชิปที่สามารถใช้เล่นได้ทุกเกมจริงๆ (แต่ไม่สามารถปรับสุดได้) แถมยังสามารถจัดการพลังงานและความร้อนได้ดีอีกด้วย ทำให้สามารถเล่นต่อเนื่องได้นานโดยไม่ส่งผลต่อตัวเครื่องมากนัก โดยเกมที่ได้ลองจะมี RoV, Genshin Imapct และ APEX Legend โดยแต่ละเกมสามารถเล่นได้แบบลื่นๆ เลย เพียงแต่ไม่สามารถปรับสุดได้ เนื่องจากจะมีอาการกระตุก แต่ถ้าตั้งค่าต่ำๆ เน้นเอาเฟรมเรท ก็สามารถเล่นแบบลื่นๆ ได้โดยที่ตัวเครื่องไม่ได้ร้อนจนเกินไปด้วย นอกจากนี้ผู้เขียนได้เอาเกมประจำที่เล่นอยู่เพิ่มมาด้วยคือ Senki Zesshō Symphogear XD Unlimited ที่ถึงจะเป็นเกมที่ค่อนข้างเก่า แต่ลักษณะการเล่นเรียกได้ว่าทรมานเครื่องพอสมควร เนื่องจากเวลาหาทรัพยากรต้องเปิดเกมค้างไว้เป็นชั่วโมง ซึ่งจากที่แอดได้ลองนั้นบอกเลยว่ามีอึ้งเล็กน้อย เพราะแบตเตอรี่ที่เสียไปไม่ได้เยอะเท่าที่คิด สามารถเปิดฟาร์มทรัพยากรได้ทั้งวันโดยไม่ต้องปิดเลย แถมไม่มีอาการร้อนเลยสักนิดทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่ในห้องแอร์ ส่วนหนึ่งอาจจะต้องขอบคุณโหมดเกมและ Dar-Link Engine ที่ช่วยจัดการทรัพยากรเครื่องได้เป็นอย่างดี (เอาจริงๆ มีโหมดดับจอรันเกมด้วยนะ แต่แอดไม่ได้ใช้เพราะอยากรู้เรื่องความร้อนที่จะเกิดขึ้น)
การถ่ายภาพ
ในเรื่องของการถ่ายภาพนั้น Infinix Zero 5G 2023 มาพร้อมกล้องหลังทั้งหมด 3 ตัวเป็นกล้องหลักความละเอียด 50MP ส่วนที่เหลือเป็นกล้องมาโครและชัดลึกความละเอียด 2MP ซึ่งเอาจริงๆ ก็ไม่ค่อยได้ใช้สักเท่าไรหรอก แต่มีก็ดีกว่าไม่มี ส่วนกล้องหน้าเป็นกล้องความละเอียด 16MP โดยจากที่ได้ลองถ่ายนั้นต้องบอกเลยว่ามีอึ้งนิดๆ เนื่องจากภาพที่ได้ไม่ว่าจะเป็นสีสันหรือรายละเอียดทำออกมาได้ดี การละลายหลังก็คำนวนออกมาได้ดี ถึงจะมีวืดไปบ้างแต่ก็ไม่ได้เยอะ แถมยังมีลูกเล่นให้เล่นเพียบ เรียกได้ว่าถ่ายสนุกทีเดียว ถึงจะน่าเสียดายตรงที่ไม่มีกล้อง Ultra-Wide มาให้ก็ตาม สำหรับกล้องหน้านั้นเองก็รับว่าไม่เลวถึงจะมีบางจังหวะที่แสงฉากหลังจะโอเวอร์ไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เอาไปปรับเพิ่มในแอปฯ แต่งรูปนิดเดียวก็ได้แล้ว บอกเลยว่าถึงจะเป็ฯมือถือเกมมิ่งแต่กล้องก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน
ตัวอย่างภาพถ่าย
สรุปการรีวิว Infinix Zero 5G 2023
สรุปการรีวิว Infinix Zero 5G 2023 จากการที่ได้เอาไปลองใช้งานมาระยะหนึ่งต้องบอกเลยว่าเป็นมือถือราคาไม่เกินหมื่นที่ค่อนข้างน่าสนใจ ไม่ว่าจะในด้านการเล่นเกมหรือถ่ายภาพ ถึงจะมีจุดที่น่าเสียดายไปบ้าง แต่ด้วยสเปคที่ให้มาและราคาขายที่ 9,499 บาทแล้วก็ถือว่าอยู่ในจุดที่ไม่ได้เสียเปรียบอะไรมากนัก นอกจากนี้ด้วยการที่เน้นขายแบบออนไลน์เป็นหลักยังช่วยให้สามารถหาซื้อในราคาที่ถูกลงไปอีกได้ด้วย สำหรับคนที่สนใจ Infinix Zero 5G 2023 สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ infinixmobility.com/th และสามารถสั่งซื้อได้แล้วที่ Lazada
จุดเด่น
- ดีไซน์โดนเด่นแบบสุดๆ
- ได้หน้าจอ Full-HD+ 120Hz
- ชิป Dimensity 1080 รุ่นใหม่ล่าสุด แรงและประหยัดพลังงาน เล่นเกมนานๆ ไม่ค่อยร้อน
- มาพร้อมความจุ 256GB
- กล้องหลัง 50MP ถ่ายได้ทุกสภาพแสง
- มาพร้อมระบบชาร์จเร็ว 33W
- รองรับ Wi-Fi 6
- ยังมีช่องหูฟัง 3.5 มม. ให้ใช้อยู่
ข้อสังเกต
- หน้าจอ IPS มีขอบจอที่หนาเล็กน้อย
- ไม่มีกล้อง Ultra-Wide
- การตัดขอบบางครั้ง AI ก็ตัดกินเข้ามาในตัวแบบ
- กล้องหน้ามีการเก็บแสงที่ฉากหลังโอเวอร์ (เข้าใจว่าเพื่อให้ตัวแบบสว่างคมชัด)
- อะแดปเตอร์ชาร์จเร็ว 33W มีขนาดค่อนข้างใหญ่ อาจพกพาลำบากหน่อย