สำหรับโทรศัพท์มือถือที่ผมจะมารีวิวให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันในวันนี้ เป็นหนึ่งในโทรศัพท์ที่วางขายผ่านทาง Lazada เท่านั้น ไม่สามารถหาซื้อได้ตามร้านมือถือทั่วไป โดยข้อดีของการที่วางขายผ่านทาง Lazada คือจะได้โทรศัพท์มือถือที่มีราคาย่อมเยา ในสเปคที่แรงกว่ารุ่นอื่นๆ ในช่วงราคาใกล้เคียงกัน เนื่องจากผู้ผลิตสามารถลดต้นทุนไปได้เยอะกว่าการส่งสินค้าขายผ่านทางหน้าร้านปกติ
- โดย ZTE Blade A711 จะเปิดจำหน่ายราคาพิเศษพร้อมดีลส่วนลดต่างๆที่ Lazada ในวันที่ 17 – 19 ธันวาคมนี้ คลิกเลย
โทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ก็คือ ZTE Blade A711 โทรศัพท์มือถือจากค่าย ZTE ที่บ้านเราอาจจะไม่คุ้นชื่อเท่าไหร่ แต่รู้หรือไม่ว่ามือถือ ZTE ได้วางจำหน่ายในบ้านเรามาพักใหญ่ๆ แล้ว อย่างมือถือของทาง Dtac รุ่นหลังๆ มานี้ก็ให้ ZTE ผลิตให้ เช่น Dtac Eagle เป็นต้น เพราะฉะนั้นในเรื่องของคุณภาพนี่ไว้ใจได้ครับ ยี่ห้อนี้อัดสเปคมาให้ไม่แพ้แบรนด์อื่นๆ อยู่แล้วล่ะ และแน่นอนว่า ZTE Blade A711 ก็เป็นมือถือที่น่าสนใจในช่วงราคาไม่เกิน 6,000 บาทอีกรุ่นหนึ่งเลย
สเปค ZTE Blade A711
- หน้าจอ IPS ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD
- ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 615 Octa-Core ความเร็ว 1.5 GHz
- ชิปกราฟฟิค Adreno 405
- Ram 2 GB
- Rom 16 GB รองรับ MicroSD ความจำสูงสุด 128GB
- กล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล f/2.2 เซนเซอร์ BSI พร้อมแฟลช LED
- กล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล f/2.2
- ระบบปฏิบัติการ Android 5.1.1 ครอบด้วย Nubia UI
- รองรับ 4G : LTE band 1(2100), 3(1800), 7(2600), 38(2600), 39(1900), 40(2300), 41(2500)
- รองรับ 3G : WCDMA 850/900/1900/2100
- รองรับการใช้งาน 2 ซิม
- รองรับ OTG
- มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Fingerprint ID
- แบตเตอรี่ความจุ 3000 mAh
- ราคา 5,990 บาท
ราคาพิเศษเฉพาะวันที่ 17 – 19 ธันวาคม ZTE Blade A711 จะมีราคาอยู่ที่ 5,690 บาทเท่านั้น คลิกเลย!!
ดูจากสเปคของ ZTE Blade A711 ตอนแรกผมคิดว่าจะขายในราคาที่แพงกว่านี้ด้วยซ้ำไป ไม่ว่าจะเป็น CPU Snapdragon 615, Ram 2 GB, หน้าจอ Full HD ขนาด 5.5 นิ้ว ใหญ่ชัดเต็มตา รวมถึงบอดี้ที่ใช้วัสดุเป็นอลูมิเนียม ให้ความรู้สึกหรูหรา พรีเมียมสุดๆ แต่กลับขายในราคาเพียง 5,990 บาทเท่านั้น จัดเป็นมือถือที่มีปุ่มสแกนลายนิ้วมือราคาถูกที่สุดในประเทศไทย ณ ตอนนี้เลยล่ะ
จุดเด่น
– ทุกอย่างอยู่ในจุดสมดุล ทั้ง CPU, แรม, หน้าจอ, แบตเตอรี่, กล้อง
– ตัวเครื่องใช้วัสดุเป็นโลหะชิ้นเดียว หรูหรา พรีเมียมเกินราคา งานประกอบดีงามมาก
– คุณภาพของรูปถ่ายจากกล้องหลังทำได้ดี ติดที่ถ่ายแสงน้อยยังไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่
– ไฟแจ้งเตือนตรงปุ่มโฮมออกแบบได้ดี สวยงาม และใช้งานได้จริง
– มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้ด้วย
– แบตเตอรี่อึด ใช้งานได้นาน
ข้อสังเกต
– มีกระตุกบ้างเวลาใช้งานหนักๆ
– เพิ่มเมม MicroSD Card ได้ แต่ต้องเลือกว่าจะใส่ซิม 2 หรือจะใส่เมม
บทสรุป
ภาพรวมของ ZTE Blade A711 จัดเป็นมือถือที่เน้นความคุ้มค่าจริงๆ ไล่มาตั้งแต่ Design และวัสดุตัวเครื่องที่เป็นโลหะ ในเรื่องความพรีเมียมนี่เทียบชั้นกับมือถือราคาหลักหมื่นบาทขึ้นไปได้สบายๆ สเปกก็ไม่ได้ขี้เหร่ไม่ว่าจะเป็น CPU Qualcomm Snapdragon 615 และ Ram 2 GB แถมยังมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Fingerprint ID มาให้อีก ในส่วนของ software ที่เป็นระบบปฏิบัติการ Android 5.1.1 Lollipop ครอบทับด้วย Nubia UI ก็ถือว่าใช้งานง่าย และเป็นมิตรกับผู้ใช้ ส่วนคุณภาพของภาพถ่าย ทั้งจากกล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล และกล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล ภาพรวมถือว่าดีเกินราคา ประสิทธิภาพในการใช้งานอยู่ในระดับที่ดี ถึงแม้จะมีอาการกระตุกบ้าง ก็พอเข้าใจว่าเป็นข้อจำกัดของตัวชิปเซ็ตเองด้วยส่วนหนึ่ง แต่ก็หวังว่าจะมีอัพเดตแก้ไขจากทาง ZTE ออกมาอีกที และท้ายที่สุดคือแบตเตอรี่ของ ZTE Blade A711 จัดว่าอึดเอาเรื่อง กับแบตเตอรี่ความจุ 3000 mAh ที่ใช้งานได้หมดวันแบบสบายๆ ไม่ต้องง้อ Powerbank แน่นอนว่าทั้งหมดที่ว่ามาอยู่ในมือถือราคาเพียง 5,990 บาทเท่านั้น
BEST PRICE
Design
การดีไซน์และวัสดุของตัวเครื่องนี่เป็นจุดเด่นของโทรศัพท์มือถือ ZTE Blade A711 เลยล่ะครับ กับตัวเครื่องที่มาพร้อมกับบอดี้อลูมิเนียมชิ้นเดียวแบบไร้รอยต่อ (Unibody) คือไม่ใช่วัสดุที่เป็นพลาสติกเคลือบสีให้เหมือนอลูมิเนียมนะครับ แต่เป็นอลูมิเนียมจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าเราจะได้จับมือถือบอดี้โลหะทั้งตัว ในราคาเพียง 5,990 บาทเท่านั้น แถมยังได้ดีไซน์ที่สวยงามอีกด้วย ซึ่งเป็นอะไรที่หายากในมือถือระดับราคาเท่านี้ เพราะส่วนมากจะไปสู้กันที่สเปค และแน่นอนว่าสเปคของ ZTE Blade A711 ก็ไม่ได้ขี้เหร่แต่อย่างใด
ZTE Blade A711 มาพร้อมกับหน้าจอ IPS ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD ให้ภาพที่คมชัด สีสันหน้าจอก็ปกติทั่วไป ใครที่ชอบหรือเคยใช้หน้าจอสีสดๆ เช่นพวกหน้าจอ Super AMOLED อาจรู้สึกตะหงิดนิดหน่อย และข้อสังเกตอีกอย่างของหน้าจอ ZTE Blade A711 คือสู้แสงแดดจัดๆ ไม่ได้ ต่อให้เร่งแสงหน้าจอแบบสุดๆ แล้วก็ยังมองหน้าจอได้ลำบาก แถมตัวกระจกหน้าจอเองก็สะท้อนเงาได้ดีเหลือเกิน แต่ก็นั่นแหละครับ จะมีใครเล่นมือถือกลางแดดตอนเที่ยงวันเป็นเวลานานบ้างล่ะ และเมื่อเทียบกับราคาค่าตัวของ ZTE Blade A711 ที่ 5,990 บาทแล้ว ส่วนตัวผมยอมได้นะ เพราะมีจุดเด่นอื่นๆ มากลบจุดด้อยตรงนี้แล้ว
ด้านหน้าของ ZTE Blade A711 นอกจากหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ด้านบนหน้าจอก็จะประกอบไปด้วยกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล f/2.2 พร้อมแฟลช LED ที่ช่วยให้เซลฟี่ในที่แสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น ส่วนด้านล่างของหน้าจอก็จะมีปุ่มควบคุมจำนวน 3 ปุ่ม เป็นปุ่มกดแบบสัมผัส โดยวงกลมตรงกลางคือปุ่ม Home ปุ่มซ้ายเป็นปุ่มเมนู และปุ่มขวาเป็นปุ่มย้อนกลับ แต่ถ้าใครไม่ถนัดการจัดวางปุ่มแบบนี้ก็สามารถเปลี่ยนตำแหน่งของปุ่มเมนูกับปุ่มย้อนกลับก็สามารถไปเปลี่ยนการตั้งค่าได้ใน Setting
ไฮไลท์อีกอย่างจะอยู่ที่ปุ่ม Home ของ ZTE Blade A711 ซึ่งก็คือไฟแจ้งเตือนสีฟ้า หรือ Notification LED ที่มีชื่อเรียกเก๋ไก๋ว่า Breathing Light โดย Breathing Light จะกระพริบเวลาที่มีแจ้งเตือน ไม่ว่าจะเป็นสายที่ไม่ได้รับ, การแจ้งเตือน Line, Facebook หรือแม้แต่ข้อความ SMS กับอีเมลล์ นอกจากเสียงแจ้งเตือนและการสั่นแล้ว ตัวไฟตรงปุ่มโฮมก็จะกระพริบแจ้งเตือนให้เราทราบทันที ส่วนตัวผมว่าเป็นไฟแจ้งเตือนที่สวย และมีเอกลักษณ์ของตัวเองดีครับ
ด้านข้างของ ZTE Blade A711 มีความหนาอยู่ที่ 8.55 มิลลิเมตร จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติทั่วไป ไม่บาง และไม่หนาจนเกินไป รายละเอียดทางด้านข้างเริ้มจากทางขวามือ ประกอบไปด้วยปุ่มปรับระดับเสียงกับปุ่ม Power ด้านบนจะมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร กับไมค์ตัดเสียง ด้านซ้ายจะเป็นช่องใส่ซิมการ์ด โดย ZTE Blade A711 จะรองรับการใช้งาน 2 ซิม (ซิม 1 เป็น Nano Sim/ ซิม 2 เป็น Nano Sim) แต่เป็นถาดซิมแบบให้เลือก คือถ้าจะใช้งาน 2 ซิมก็จะไม่สามารถใส่ MicroSD Card เพื่อเพิ่มหน่วยความจำไม่ได้ ส่วนด้านล่างของ ZTE Blade A711 จะเป็นช่องเสียบสาย Micro USB กับไมค์สำหรับสนทนาโทรศัพท์
ด้วยความที่ ZTE Blade A711 มีบอดี้ที่เป็นอลูมิเนียมแบบ Unibody ทำให้ไม่สามารถถอดฝาหลังได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกแต่อย่างใด เพราะโทรศัพท์มือถือเดี๋ยวนี้ ส่วนมากก็ถอดแบตเตอรี่ไม่ได้แล้ว โดยรายละเอียดของฝาหลัง ZTE Blade A711 ประกอบไปด้วย กล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช LED ที่ตัวกล้องนูนขึ้นมาจากฝาหลัง แต่ทาง ZTE ก็ได้ทำแหวนสีน้ำเงินครอบเลนส์กล้องให้แล้ว ถ้าวางกับพื้นเรียบๆ กระจกเลนส์จะไม่สัมผัสพื้นโดยตรง ถัดมาเป็นปุ่มกลมๆ ที่อยู่ใต้แฟลช LED ก็คือ เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint ID) ที่หาได้ยากในมือถือราคา 5,990 บาท แต่ ZTE ก็ใส่มาให้ในมือถือรุ่นนี้ด้วย
และส่วนสุดท้ายก็คือลำโพงหลักของตัวเครื่อง จะอยู่ใต้โลโก้ ZTE ครับ สำหรับลำโพงหลักของตัวเครื่อง ZTE Blade A711 ก็ให้เสียงที่ดังใช้ได้ แต่ขาดเรื่องรายละเอียด กับเสียงเบสไปหน่อย โดยรวมเมื่อเทียบกับราคาแล้วก็ไม่ได้เลวร้ายแต่อย่างใด ตัวลำโพงจะถูกยกให้ลอยขึ้นมาเวลาวางกับพื้นเล็กน้อย เพราะฉะนั้นสบายใจได้ ไม่ว่าจะวางกับพื้น หรือถือใช้งานก็ยังให้เสียงที่ดังเหมือนเดิมแน่นอน
ข้อดีของการที่ตัวเครื่อง ZTE Blade A711 เป็นอลูมิเนียมแบบ Unibody หรือโลหะชิ้นเดียวแบบไร้รอยต่อ คือทำให้งานประกอบของมือถือรุ่นนี้แน่นหนาดีมาก การเก็บงานทำได้ดี ส่วนขอบไม่คมเหมือนมือถือบางรุ่น และตัวเครื่องตรงฝาหลังยังมีการออกแบบให้โค้งมน รับกับมือเวลาที่ถือใช้งาน เมื่อรวมกับหน้าจอที่มีขอบจอค่อนข้างบางแล้ว เลยทำให้ขนาดตัวเครื่องของ ZTE Blade A711 ไม่ใหญ่จนเกินไป จับถือได้สะดวก ใช้งานมือเดียวได้สะดวกกว่ามือถือหน้าจอ 5.5 นิ้วบางยี่ห้อ
ภาพรวมด้านวัสดุและงานประกอบของ ZTE Blade A711 ส่วนตัวผมให้สอบผ่านไปอย่างสบายๆ เพราะเมื่อเทียบกับราคาค่าตัวที่ 5,990 บาทแล้ว บอกเลยว่าหาตัวชนได้ยากมาก เนื่องจากคู่แข่งในช่วงราคาใกล้เคียงกันส่วนมากจะใช้วัสดุตัวเครื่องเป็นพลาสติก หรือต่อให้เป็นอลูมิเนียมก็ไม่ได้ใช้ทั้งเครื่องแบบ ZTE Blade A711 หรอกครับ และที่สำคัญคือเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือนี่จัดเป็นทีเด็ดของมือถือรุ่นนี้เลยล่ะ ยังไม่มีเจ้าไหนในท้องตลาดใส่เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือลงมาในมือถือราคา 5,990 บาทแน่นอน
Software
ZTE Blade A711 มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 5.1.1 ครอบทับด้วย UI จากจาก ZTE เอง ที่มีชื่อเรียกว่า Nubia UI โดย Nubia UI บน ZTE Blade A711 ก็จะเป็น Nubia UI เวอร์ชัน 3.0.1 ที่มีการปรับแต่งหน้าตาของ Android ไปพอสมควรพร้อมทั้งเพิ่มฟีเจอร์เข้ามามากมาย
Homescreen
สำหรับหน้า Homescreen หรือหน้าหลักของ Nubia UI นั้นได้ตัดหน้า App Drawer ซึ่งเป็นหน้ารวมแอพตามมาตรฐานของ Android ออกไป เช่นเดียวกับมือถือจากจีนรุ่นอื่นๆ แอปพลิเคชันที่มี แอปพลิเคชันที่โหลดมาเพิ่มเติม รวมถึง widget จะถูกวางเรียงอยู่บนหน้า Homescreen ทั้งหมด โดยเราสามารถแตะค้างที่หน้าจอ เพื่อเปลี่ยน Wallpaper, เพิ่ม widget ได้ หรือจะใช้การกดปุ่มด้านซ้ายของปุ่มโฮมแทนได้เช่นกัน
Fingerprint ID (เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ)
จุดเด่นอย่างหนึ่งของมือถือรุ่นนี้คือ “เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ” ที่อยู่บริเวณด้านหลังของตัวเครื่อง โดยการใช้งานเราต้องมาตั้งค่าในเมนู Finger Print ซะก่อน ซึ่งก็เป็นการตั้งรหัสตามปกตินี่แหละครับ สามารถใช้ปลดล็อกหน้าจอได้ และนอกจากเปิดหน้าจอและปลดล็อคเครื่องแล้ว เรายังสามารถกำหนดให้เปิดแอปพลิเคชันที่ต้องการได้เลยในทันที ส่วนความเร็วในการสแกนลายนิ้วมือก็ไม่ได้เร็วมาก (ประมาณ Touch ID บน iPhone 5s) ความแม่นยำก็พอได้อยู่ครับ แต่อาจจะต้องสแกนนิ้วใหม่ทุกๆ 2 เดือน เพื่อให้การสแกนลายนิ้วมือทำได้แม่นยำมากขึ้น
สำหรับการลงทะเบียนลายนิ้วมือบน ZTE Blade A711 ก็เหมือนกับ Android รุ่นอื่นที่มีระบบสแกนลายนิ้วมือนั่นแหละครับ โดยให้เอานิ้วแตะไปที่เซ็นเซอร์หลายครั้งจนครบ 100% การสแกนก็ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ แต่ตอนที่สแกนลายนิ้วมือแนะนำให้หมุนนิ้วไปรอบๆ ก็ดีครับ ให้ตัวเซนเซอร์จดจำลายนิ้วมือไว้หลายๆ แบบ เวลาใช้งานจริงจะได้ใช้งานได้ง่ายหน่อย
Camera
กล้องหลังของ ZTE Blade A711 ให้ความละเอียดมาที่ 13 ล้านพิกเซล f/2.2 เซนเซอร์แบบ BSI มีแฟลช LED มาให้ 1 ดวง แต่ทีเด็ดผมว่าอยู่ที่ตัวซอฟท์แวร์กล้องที่ติดมากับเครื่อง เพราะสามารถปรับแต่งค่าได้เยอะ และง่ายมาก มีการใช้ไอคอนเข้ามาในส่วนของการตั้งค่า ให้เราเห็นภาพได้ง่ายขึ้น และที่ผมถูกใจมากคือการแยกจุดวัดแสง กับจุดโฟกัสนี่แหละครับ ทำให้เราถ่ายภาพได้ง่ายขึ้นเยอะเลย
โดยในโหมด Pro ของ ZTE Blade A711 นั้นเหมาะสำหรับคนที่ชอบปรับแต่งค่าต่างๆ ในการถ่ายรูปเอง โดยในโหมดนี้เราจะสามารถปรับค่า Exposure, WB, ISO และ Focus ได้ และที่สำคัญคือ UI กล้องในโหมด Pro เป็นมิตรกับผู้ใช้มาก สามารถปรับแต่งค่าต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องมาคอยกดเข้ากดออกเหมือนโหมด Pro (หรือโหมด M) ในมือถือบางยี่ห้อ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังของ ZTE Blade A711 ก็ตามนี้เลยครับ
ส่วนกล้องหน้าของ ZTE Blade A711 มีความละเอียดอยู่ที่ 5 ล้านพิกเซลใช้เลนส์มุมกว้าง 88 องศา f/2.2 เหมือนกล้องหลัง คุณภาพก็ใช้ได้เลย มีโหมด Beauty มาให้ แต่ไม่สามารถเลือกระดับความสวยได้ ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าก็ตามนี้เลย
Performance
ประสิทธิภาพของ ZTE Blade A711 จัดอยู่ในเกณฑ์ดีทีเดียว เนื่องจากใช้ CPU ระดับกลาง ซึ่งไม่ค่อยพบในมือถือรุ่นอื่นในช่วงราคาเดียวกันอย่าง Qualcomm Snapdragon 615 Octa-Core ความเร็ว 1.5 GHz กับ Ram 2 GB รับรองว่าใช้งานได้อย่างลื่นๆ ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันเกี่ยวกับโซเชียลเน็ตเวิร์ก หรือจะเล่นเกมก็พอไหวอยู่ครับ ถ้าไม่ได้เป็นเกมที่กินสเปคมากๆ เพราะตัวชิป Snapdragon 615 เองก็จัดอยู่ในชิประดับกลางเท่านั้น แต่ถ้าอยากเล่นเกมสเปคโหดๆ ก็คงต้องปรับกราฟฟิคมาเป็นระดับกลางแทน และเท่าที่ทดสอบมา การปรับกราฟฟิคระดับกลางก็สามารถเล่นได้ลื่นทุกเกมครับ
แบตเตอรี่ของ ZTE Blade A711 ให้มาที่ความจุ 3000 mAh แต่ในแง่ของการใช้งานจริง และการจัดการพลังงานจัดว่าทำได้ดีมาก ถ้าเป็นการเปิดสแตนบาย 4G นี่ยาวไป เกิน 2 วันแบบไม่ต้องชาร์จไฟได้สบายๆ แต่ถ้าใช้งานตามปกติ เน้นเล่น Social และมีเล่นเกมนิดหน่อยก็สามารถลากยาวได้หมดวันแบบไม่ต้องพก Powerbank เลยทีเดียว