เปิดตัวและวางขายกันแบบเงียบ ๆ ในงาน TME 2018 ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ถึงจะไม่มีงานเปิดตัวที่หวือหวา แต่ Xiaomi Redmi Note 6 Pro ก็ได้รับความสนใจอยู่ จากสเปคที่ให้มาคุ้มเกินราคาเหมือนเดิม ซึ่ง รีวิว Xiaomi Redmi Note 6 Pro มาพร้อมกับแรมและรอมเพียงตัวเลือกเดียวคือ แรม 4 GB รอม 64 GB โดยตั้งราคาเท่ากับรุ่นเดิมอย่าง Xiaomi Redmi Note 5 ซึ่งถือเป็นเรื่องราวดี ๆ ไปดูรายละเอียดสเปคเต็ม ๆ กันเลยจ้า
รายละเอียดสเปค Xiaomi Redmi Note 6 Pro
- หน้าจอ IPS LCD ความละเอียด Full HD+ 1080 x 2160 พิกเซล ขนาด 6.26 นิ้ว อัตราส่วนหน้าจอ 19:9
- ขนาดตัวเครื่อง 158.6 x 76.4 x 8.2 มม. หนัก 182 กรัม
- ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 636 และชิปประมวลผลกราฟฟิก Adreno 509
- หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง 64 GB และ Ram 4 GB
- รองรับ Micro SD Card สูงสุด 256 GB
- กล้องหลัง Dual Camera ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.9 + 5 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.0 พร้อมกับ Dual LED Flash
- กล้องหน้า Dual Camera ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล + 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้างสุด f/2.0 พร้อมกับ LED Flash ที่กล้องหน้า
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังของตัวเครื่อง
- รองรับการใช้งาน 2 ซิม (Hybrid Slot)
- แบตเตอรี่ขนาด 4,000 mAh
- ระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo พร้อมกับ MIUI 9
- ราคา 6,990 บาท
Design
การออกแบบตัวเครื่องด้านหน้าดีไซน์มาด้วยจอแบบ Fullview อัตราส่วน 18:9 ขนาดใหญ่ 5.99 นิ้ว ด้านหน้าเป็นกระจกชิ้นเดียวไร้ปุ่ม ปุ่มต่าง ๆ ในอยู่ภายในจอ ซึ่งรุ่นนี้มีดีไซน์ที่เหมือนกับ Xiaomi Redmi Note 5 เลย แต่รุ่นนี้จะใช้หน้าจอ Fullview ที่มีติ่งหน้าจอขนาดใหญ่อยู่แถบด้านบน
แถบเครื่องรอยบากด้านบน ก็จะมีลำโพงสนทนา เซ็นเซอร์ Proximity Sensor กล้องหน้า Dual Camera และมี LED Flash สำหรับถ่ายเซลฟี่มาให้ด้วย
ด้านหลังของตัวเครื่องนั้นมากับดีไซน์เหมือนกับรุ่นเก่า Redmi Note 5 เลยแต่ด้านบนและด้านล่างของตัวเครื่องจะเป็นพลาสติกสำหรับเสาอากาศ และเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้านหลังของตัวเครื่อง ซึ่งส่วนตัวแล้วชอบงานประกอบของ Redmi Note 5 มากกว่า
กล้องหลัง Dual Camera เรียงกันเป็นแนวตั้งชิดขอบตัวเครื่องบนซ้าย ซึ่งนูนออกมาพอสมควร ดังนั้นเวลาจะวางเครื่องต้องวางเบา ๆ หน่อย เดี๋ยวกล้องเป็นรอยได้ วงกลมอยู่ตรงกลางเป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ทำงานได้รวดเร็วแม่นยำ
ด้านบนและด้านล่างของตัวเครื่องเป็นพลาสติกให้สัมผัสเหมือนกับโลหะ หากมองด้วยตาเปล่าจะดูคล้ายกันมาก ลองสัมผัสดูก็ให้อารมณ์ที่คล้าย ๆ กัน
ด้านซ้ายของตัวเครื่องไร้ปุ่มใด ๆ จะมีเพียงช่องเสียบซิมการ์ดเท่านั้น เป็นถาดซิมแบบ Hybrid Slot รองรับ Nano Sim ส่วนด้านขวาของตัวเครื่อง ก็จะมีปุ่ม Power และปุ่มเพิ่มเสียง และลดเสียง
ด้านล่างตัวเครื่อง จะเป็นลำโพงขับเสียง ไมค์รับเสียงสนทนา พอร์ตเชื่อมต่อ microUSB ซึ่งลำโพงนั้นจะออกแค่ฝังเดียว อีกฝั่งทำไว้หลอก ๆ ส่วนด้านบนของตัวเครื่องจะเป็นไมค์ตัดเสียง และเซ็นเซอร์อินฟาเรดใช้เป็นรีโมทได้ และช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม.
ขนาดตัวเครื่องโดยรวมถือว่าพอดีมือ มีหน้าจอใหญ่ในตัวเครื่องที่ไม่ใช่เกินไป เป็นข้อดีของหน้าจอ Fullview สามารถใช้มือเดียวได้สบาย ๆ แต่อาจจะง้างหน่อยบริเวณแจ้งเตือนเพราะหน้าจอขยายไปจนสุดด้านบนเลย
Software
ในส่วนของซอฟต์แวร์ตัวเครื่องนั้น ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 8.1 พร้อมกับ MIUI 9.6 ใช้ CPU Snapdragon 636 ที่มีประสิทธิภาพบวกกับแรมขนาด 4 GB ทำให้การใช้งานลื่นไหลสุด ๆ แม้กระทั่งการเล่นเกมที่กินกราฟฟิกสูง ๆ ในปัจจุบันก็หายห่วง เพราะชิป Snapdragon 636 มีชิปประมวลผลกราฟฟิก Adreno 509 ที่เล่นเกมได้ทุกเกมใน Playstore ในระดับกราฟิกที่ปรับเต็ม
หน้าเมนู UI ใช้งานง่ายเหมือนกับ Android ทั่วไป ไม่มีหน้ารวมเมนู แต่จะเป็นการเรียงไอคอนไปเรื่อย ๆ เหมือนกับ iOS สามารถรวมโฟลเดอร์แอพเข้าไปเป็นหมวดหมู่ให้เรียกใช้งานง่าย เลื่อนหน้าจอไปทางซ้ายก็จะเป็นหน้ารวมหน้าต่างที่เราได้ปรับแต่งเอาไว้ ให้ดูได้ง่ายขึ้น ส่วนNotification ก็เลื่อนขึ้นจากด้านบนลงมาเหมือนสมาร์ทโฟนทั่วไป ก็จะแสดงการแจ้งเตือนต่าง ๆ พร้อมกับเมนูลัดการตั้งค่าต่าง ๆ
สำหรับพื้นที่เก็บข้อมูล 64 GB เหลือให้ใช้อยู่ที่ประมาณ 52 GB และสามารถเพิ่ม microSD ได้อีกสูงสุด 256 GB โดยหน้าเมนูเน้นสีขาว ดีไซน์หน้า UI เน้นสีขาว
Feature
Full Screen Display
ฟีเจอร์นี้ สำหรับใครที่ชื่นชอบการใช้งาน UI แบบ iPhone X ทาง Xiaomi เองก็จัดมาให้โดยเข้าไปเปิดฟีเจอร์นี้ในตั้งค่าได้เลย ชื่อโหมด Full Screen Display เหมือนกับ iPhone X เลยทีเดียว โดยเลื่อนหน้าจอขึ้นเพื่อกลับสู่หน้าจอหลัก เลื่อนทางซ้ายเพื่อเป็นการย้อนกลับ เลื่อนขึ้นค้างไว้เพื่อเปิดหน้า Multitasking ดูการทำงานได้จากรูปด้านล่างเลยครับ
Dual Apps
ฟีเจอร์ Dual Apps นั่นก็คือการโคลนแบบให้เล่นได้แบบ 2 Account นั่นเอง เพิ่มความสะดวกกรณีเพื่อนยืมเล่นแล้วเราต้องกด Log-Out เพื่อให้เพื่อนเล่น แล้วต้อง Log-in ใหม่ เมื่อมีฟีเจอร์นี้ก็แยกเล่นกันได้เลย อีกกรณีหากใครใส่สองซิม ก็สามารถเล่นไลน์ได้พร้อมกัน 2 Account
Second Space
ฟีเจอร์ Second Space เป็นฟีเจอร์ที่เอาไว้สลับผู้ใช้งานให้เสมือนมีโทรศัพท์สองเครื่องอยู่ในเครื่องเดียว แยกการใช้งานกันอย่างชัดเจน โดยสามารถ Switch ไปมาได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนใครที่ไม่ชอบติ่งหน้าจอก็สามารถปิดติ่งได้เช่นเดียวกัน โดยกดเลือกตรงที่โหมด ซ่อนรอยบอก หน้าจอก็จะปิดที่บริเวณรอยบากไปในทันที ทำให้ปิดรอยบากได้แบบเนียน ๆ (ภาพประกอบเป็น Xiaomi Mi 8 ที่มีฟีเจอร์เหมือนกัน)
Camera
สำหรับกล้องของ Xiaomi Redmi Note 6 Pro นั้น มากับกล้องหลัง Dual Camera ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และ 5 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้างสุด f/1.9 พร้อมกับ Dual LED Flash มีเทคโนโลยี AI มาช่วยในการถ่ายภาพ
โดยเทคโนโลยี AI จะทำการเรียนรู้ภาพว่าในขณะนี้กำลังถ่ายภาพอะไรอยู่ เพื่อปรับแสง ปรับค่าต่าง ๆ ให้เข้ากับภาพโดยอัตโนมัติ ทำให้ภาพที่ได้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นมาก เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ ที่สำคัญยังถ่ายภาพในที่มืดได้ดีขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ซึ่งสังเกตจากภาพด้านล่างจะเห็นว่าไอคอนด้านบนตรงกลางจะเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมของภาพ
ส่วนกล้องหน้า Dual Camera มีความละเอียดอยู่ที่ 20+2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้างสุด f/2.0 ซึ่งหน้าสองตัวนี้ทำให้ถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอจากกล้องหน้าได้ดีขึ้นตัวอย่างจากภาพด้านล่างเลย ที่สำคัญมีฟีเจอร์ AI Beautify ที่สามารถลบรอยต่าง ๆ บนใบหน้าให้อัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นรอบด่างดำ รอแผลเป็น ปรับโครงหน้า ปรับแสง ปรับสีตา สีลิป ให้ภาพถ่ายใบหน้าของเราออกมาสมบูรณ์แบบ ที่สำคัญมี LED Flash เอาไว้ช่วยถ่ายในที่มืดได้อีกด้วย ไปชมภาพถ่ายกล้องหน้า และกล้องหลังได้ที่ภาพด้านล่างได้เลยครับ
(ภาพถ่ายเปรียบเทียบโหมด Portrait ของกล้องหน้า)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า
Performance
ในส่วนของประสิทธิภาพการทำงานชิปประมวลผล Snapdragon 636 ประมวลผลแรงขึ้น 40 % เมื่อเทียบกับ Snapdragon 630 ใช่ CPU Octa-core 1.8 GHz Kryo 260 พร้อมกับ GPU Adreno 509 ซึ่งถือว่าให้ชิปที่ดีงามมากในราคาระดับนี้ เพราะฉะนั้นการใช้งานหนัก ๆ และการเล่นเกมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ซึ่งลองเล่นเกม ROV ก็เล่นได้แบบไหลลื่น ในส่วนของแบตเตอรี่ ให้แบตเตอรี่มาถึง 4,000 mAh ซึ่งถือว่าให้มาเยอะมาก จากการทดสอบชาร์จแบตเต็มในช่วงเช้าประมาณเก้าโมงครึ่ง ทดลองการใช้งานจริง อย่างดาวน์โหลดแอพต่าง ๆ มาลอง เล่นเกม ROV สัก 3 ตา PUBG อีกหนึ่งตา ลองกล้องถ่ายภาพถ่ายวิดีโอ และเล่นแอพ Social Media ทั่วไป ก็กลับถึงห้องประมาณทุ่มครึ่ง เช็คแบตเตอรี่ดูเหลืออยู่ที่ 68% ถือว่าประหยัดใช้ได้เลย หากใช้งานทั่วไปน่าจะใช้ได้ 2 วันสบาย ๆ
Overall
หากใครที่มีงบไม่เกิน 7,000 บาท Xiaomi Redmi Note 6 Pro จะต้องอยู่ในตัวเลือกระดับต้น ๆ อย่างแน่นอน จากสเปคที่คุ้มค่ามาก ในราคา 6,990 บาทได้ชิป Snapdragon 636 ซึ่งถือเป็นชิปที่แรงสุด ในช่วงราคาระดับนี้ ดล่นเกมได้สบายหายห่วง บวกกับแรม 4 GB และ แรม 64 GB หน้าจอถูกเพิ่มขนาดให้เป็น 6.26 นิ้วความละเอียด Full HD+ และใช้หน้าจอ Fullview ทำให้เข้ากับเทรนด์สมาร์ทโฟนในขณะนี้ กล้องหลัง Dual Camera พร้อมเทคโนโลยี AI นั้นถ่ายภาพได้สวยขึ้นมาก ลบจุดด้อย Xiaomi ในราคาระดับเริ่มต้นไปได้ในทันที ส่วนกล้องหน้าก็จัดเต็มให้ลงตัวมากขึ้นด้วยการใช้กล้องหน้า Dual Camera พร้อมฟีเจอร์ต่าง ๆ เอาใจสาวกเซลฟี่ แถมมี LED Flash มาให้ด้วย เรียกได้ว่าไม่มีที่ติเลยสำหรับ Xiaomi Redmi Note 6 Pro
ข้อดี
- สเปคฮาร์ดแวร์ดีมากเมื่อเทียบราคาที่ถูกมากเช่นเดียวกัน !!
- หน้าจอใหญ่ 6.26 นิ้ว ความละเอียด Full HD
- แบตอึด 4,000 mAh พร้อม Quick Charge 2.0
- กล้อง Dual Camera พร้อมกับฟีเจอร์ AI ที่ถ่ายภาพได้ดีขึ้นมาก
- กล้องหน้า Dual Camera ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอ มี LED Flash ให้ด้วย
- เปิดตัวรุ่นใหม่ ในราคาเท่ากับรุ่นเก่า
จุดสังเกต
- พอร์ตเชื่อมต่อยังเป็น microUSB
- หน้าจอแอบนูนขึ้นมาเยอะไปนิด