หลังจากที่ Xiaomi ได้เข้ามาเปิดตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยทำการทยอยเปิดช็อปเรื่อย ๆ พร้อมกับเปิดตัวมือถือที่สร้างความนิยมได้อย่างรวดเร็ว และเชื่อว่ามีหลายคนที่รอวันที่ Xiaomi Redmi Note 5 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ซึ่งในวันนี้เอง (16 พฤษภาคม 2561) Xiaomi ก็ได้เปิดตัววางจำหน่ายอย่างเป็นทางการโดยตั้งราคาเริ่มต้นไว้ที่ 5,990 บาทเท่านั้น !! คุณพระ !! เปิดราคามาแต่ละทีต้องทำให้คู่แข่งสะดุ้งทุกครั้ง เมื่อเทียบกับสเปคที่ให้มากับราคาที่วางจำหน่ายจัดได้ว่าคุ้มค่ามาก ๆ หาคู่แข่งเปรียบเทียบได้ยากในราคาใกล้เคียงกัน
รายละเอียดสเปค Xiaomi Redmi Note 5
- หน้าจอ IPS ขนาด 5.99 นิ้วความละเอียด Full HD 2160 × 1080 พิกเซล
- ขนาดตัวเครื่อง 158.6 x 75.4 x 8.1 มม. หนัก 181 กรัม
- ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 636 CPU Octa-core 1.8 GHz Kryo 260 พร้อมกับ GPU Adreno 509
- แรม 3 GB และ 4 GB
- หน่วยความจำภายใน 32 GB และ 64 GB
- รองรับ microSD สูงสุด 256 GB
- กล้องหลัง Dual Camera ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และ 5 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้างสุด f/1.9 พร้อมกับเทคโนโลยี AI
- กล้องหน้าความละเอียด 13 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.0
- ระบบปฎิบัติการ Android 8 Oreo
- รองรับ Dual SIM แบบ Hybrid Slot
- แบตเตอรี่ความจุ 4,000 mAh พร้อมกับฟีเจอร์ Quick Charge 2.0
- พอร์ตเชื่อมต่อ microUSB 2.0
- ราคา รุ่นแรม 3 GB รอม 32 GB 5,990 บาท !!
- ราคา รุ่นแรม 4 GB รอม 64 GB 6,990 บาท !!
Redmi Note 5 (รุ่น 3GB+32GB) เปิดให้ลงทะเบียนจองผ่านแคมเปญแฟลช เซล ทาง Shopee ในราคา 5,990 บาท ตั้งแต่เวลา 15.00 น. ของวันที่ 16 พฤษภาคม และจะจัดส่งภายในวันที่ 21 พฤษภาคม
Redmi Note 5 (รุ่น 4GB+64GB) เปิดให้ Pre-Order ผ่านทาง Lazada ในราคา 6,990 บาท ตั้งแต่เวลา 15.00 น. ของวันที่ 16 พฤษภาคม และจะจัดส่งภายในวันที่ 21 พฤษภาคม การสั่งจองล่วงหน้าทั้งหมดมีสิทธิ์ลุ้นรับ Mi band 2 ทั้งนี้แคมเปญแฟลต เซล ทาง Shopee และลาซาด้าจะเริ่มต้นตั้งแต่เวลา 12.00 น. ของวันที่ 21 พฤษภาคม เป็นต้นไป
Design
การออกแบบตัวเครื่องด้านหน้าดีไซน์มาด้วยจอแบบ Fullview อัตราส่วน 18:9 ขนาดใหญ่ 5.99 นิ้ว ด้านหน้าเป็นกระจกชิ้นเดียวไร้ปุ่ม ปุ่มต่าง ๆ ในอยู่ภายในจอ
ขอบกระจกโค้งมนเข้ากับตัวเครื่องที่ไม่คมเหมือนบางรุ่น ด้านบนก็มีลำโพงสนทนา เซ็นเซอร์ Proximity Sensor กล้องหน้า และมี LED Flash สำหรับถ่ายเซลฟี่มาให้ด้วย ด้านซ้ายของตัวเครื่องไร้ปุ่มใด ๆ จะมีเพียงช่องเสียบซิมการ์ดเท่านั้น เป็นถาดซิมแบบ Hybrid Slot รองรับ Nano Sim ส่วนที่เห็นเป็นขีดด้านบนและด้านล่างนั้นเป็นเสาอากาศ
ส่วนด้านขวาของตัวเครื่อง ก็จะมีปุ่ม Power และปุ่มเพิ่มเสียง และลดเสียง
ด้านหลังของตัวเครื่องเป็นโลหะทั้งหมด ให้สัมผัสที่ดูหรูหรา กล้องหลัง Dual Camera เรียงกันเป็นแนวตั้งชิดขอบตัวเครื่องบนซ้าย ซึ่งนูนออกมาพอสมควร ดังนั้นเวลาจะวางเครื่องต้องวางเบา ๆ หน่อย เดี๋ยวกล้องเป็นรอยได้
วงกลมอยู่ตรงกลางเป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ทำงานได้รวดเร็วแม่นยำ
ด้านล่างของตัวเครื่องมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ไมค์รับเสียงสนทนา พอร์ตเชื่อมต่อ microUSB และลำโพง ส่วนด้านบนของตัวเครื่องจะเป็นไมค์ตัดเสียง และเซ็นเซอร์อินฟาเรดใช้เป็นรีโมทได้
Software
ในส่วนของซอฟต์แวร์ตัวเครื่องนั้น ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 8.1 พร้อมกับ MIUI 9.5 ใช้ CPU Snapdragon 636 ที่มีประสิทธิภาพบวกกับแรมขนาด 4 GB ทำให้การใช้งานลื่นไหลสุด ๆ แม้กระทั่งการเล่นเกมที่กินกราฟฟิกสูง ๆ ในปัจจุบันก็หายห่วง เพราะชิป Snapdragon 636 มีชิปประมวลผลกราฟฟิก Adreno 509 ที่เล่นเกมได้ทุกเกมใน Playstore ในระดับกราฟฟิกที่ปรับเต็ม
หน้าเมนู UI ใช้งานง่ายเหมือนกับ Android ทั่วไป ไม่มีหน้ารวมเมนู แต่จะเป็นการเรียงไอคอนไปเรื่อย ๆ เหมือนกับ iOS สามารถรวมโฟลเดอร์แอพเข้าไปเป็นหมวดหมู่ให้เรียกใช้งานง่าย เลื่อนหน้าจอไปทางซ้ายก็จะเป็นหน้ารวมหน้าต่างที่เราได้ปรับแต่งเอาไว้ ให้ดูได้ง่ายขึ้น ส่วนNotification ก็เลื่อนขึ้นจากด้านบนลงมาเหมือนสมาร์ทโฟนทั่วไป ก็จะแสดงการแจ้งเตือนต่าง ๆ พร้อมกับเมนูลัดการตั้งค่าต่าง ๆ
สำหรับการสลับแอพพลิเคชั่นก็กดปุ่มด้านซ้ายสุดที่ Navigation Bar ก็จะขึ้นหน้าต่างให้สลับแอพพลิเคชั่นทันที ซึ่งแรม 4 GB ก็เพียงพอกับการใช้งานทั่วไปแล้ว ในหน้าสลับแอพฯ จะเห็นไอคอน Split Screen ที่สามารถกดแบ่งจอแยกการทำงานเป็นสองแอพได้ทันที สำหรับพื้นที่เก็บข้อมูล 64 GB ใช้งานได้แบบเหลือเฟือ และสามารถเพิ่ม microSD ได้อีกสูงสุด 256 GB
ส่วนหน้า UI ก็คล้าย ๆ กับ Xiaomi ทั่วไปที่ใช้งานได้ง่ายแม้พึ่งเคยใช้งานครั้งแรก มี Theme Store ให้ดาวน์โหลดปรับแต่งกันได้หลากหลาย
Feature
สำหรับฟีเจอร์ของ Xiaomi Redmi Note 5 ก็มีมาให้ใช้งานเยอะ ปรับแต่งได้หลากหลายตามความชอบ ไปดูกันเลย
Full Screen Display
ฟีเจอร์นี้ สำหรับใครที่ชื่นชอบการใช้งาน UI แบบ iPhone X ทาง Xiaomi เองก็จัดมาให้โดยเข้าไปเปิดฟีเจอร์นี้ในตั้งค่าได้เลย ชื่อโหมด Full Screen Display เหมือนกับ iPhone X เลยทีเดียว โดยเลื่อนหน้าจอขึ้นเพื่อกลับสู่หน้าจอหลัก เลื่อนทางซ้ายเพื่อเป็นการย้อนกลับ เลื่อนขึ้นค้างไว้เพื่อเปิดหน้า Multitasking ดูการทำงานได้จากรูปด้านล่างเลยครับ
Dual Apps
ฟีเจอร์ Dual Apps นั่นก็คือการโคลนแบบให้เล่นได้แบบ 2 Account นั่นเอง เพิ่มความสะดวกกรณีเพื่อนยืมเล่นแล้วเราต้องกด Log-Out เพื่อให้เพื่อนเล่น แล้วต้อง Log-in ใหม่ เมื่อมีฟีเจอร์นี้ก็แยกเล่นกันได้เลย อีกกรณีหากใครใส่สองซิม ก็สามารถเล่นไลน์ได้พร้อมกัน 2 Account
Second Space
ฟีเจอร์ Second Space เป็นฟีเจอร์ที่เอาไว้สลับผู้ใช้งานให้เสมือนมีโทรศัพท์สองเครื่องอยู่ในเครื่องเดียว แยกการใช้งานกันอย่างชัดเจน โดยสามารถ Switch ไปมาได้อย่างรวดเร็ว
Camera
สำหรับกล้องของ Xiaomi Redmi Note 5 นั้น กล้องหลัง Dual Camera ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และ 5 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้างสุด f/2.0 พร้อมกับ Dual LED Flash ส่วนกล้องหน้าความละเอียดมา 13 ล้านพิกเซล และมีเทคโนโลยี AI มาช่วยในการถ่ายภาพ โดยเทคโนโลยี AI จะทำการเรียนรู้ภาพว่าในขณะนี้กำลังถ่ายภาพอะไรอยู่ เพื่อปรับแสง ปรับค่าต่าง ๆ ให้เข้ากับภาพโดยอัตโนมัติ ทำให้ภาพที่ได้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นมาก เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ ที่สำคัญยังถ่ายภาพในที่มืดได้ดีขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียดอยู่ที่ 13 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้างสุด f/2.0 ที่มีฟีเจอร์ AI Beautify ที่สามารถลบรอยต่าง ๆ บนใบหน้าให้อัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นรอบด่างดำ รอแผลเป็น ปรับโครงหน้า ปรับแสง ปรับสีตา สีลิป ให้ภาพถ่ายใบหน้าของเราออกมาสมบูรณ์แบบ ที่สำคัญมี LED Flash เอาไว้ช่วยถ่ายในที่มืดได้อีกด้วย ไปชมภาพถ่ายกล้องหน้า และกล้องหลังได้ที่ภาพด้านล่างได้เลยครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง Xiaomi Redmi Note 5
ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องหน้า Xiaomi Redmi Note 5
Performance
ในส่วนของประสิทธิภาพการทำงานชิปประมวลผล Snapdragon 636 ประมวลผลแรงขึ้น 40 % เมื่อเทียบกับ Snapdragon 630 ใช่ CPU Octa-core 1.8 GHz Kryo 260 พร้อมกับ GPU Adreno 509 ซึ่งถือว่าให้ชิปที่ดีงามมากในราคาระดับนี้ น่าจะเป็นสมาร์ทโฟนที่ใช้ชิปประมวลผลและชิปประมวลผลกราฟฟิกที่ดีที่สุดในราคาไม่เกินหมื่น เพราะฉะนั้นการใช้งานหนัก ๆ และการเล่นเกมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ซึ่งลองเล่นเกม ROV แล้วเปิดโหมดลับที่ทำให้เฟรมเรตวิ่งที่ 60 FPS ก็เล่นได้แบบไหลลื่น เฟรมเรตวิ่ง 55 fps ขึ้นไปตลอด เทียบกับชิปตัวท็อปของบางค่ายได้เลย
Battery
Xiaomi Redmi Note 5 ให้แบตเตอรี่มาถึง 4,000 mAh ซึ่งถือว่าให้มาเยอะมาก จากการทดสอบชาร์จแบตเต็มในช่วงเช้าประมาณเก้าโมงครึ่ง ทดลองการใช้งานจริง อย่างดาวน์โหลดแอพต่าง ๆ มาลอง เล่นเกม ROV สัก 3 ตา PUBG อีกหนึ่งตา ลองกล้องถ่ายภาพถ่ายวิดีโอ และเล่นแอพ Social Media ทั่วไป ก็กลับถึงห้องประมาณทุ่มครึ่ง เช็คแบตเตอรี่ดูเหลืออยู่ที่ 68% ถือว่าประหยัดใช้ได้เลย หากใช้งานทั่วไปน่าจะใช้ได้ 2 วันสบาย ๆ
Overall
หากใครที่มีงบไม่เกิน 10,000 บาท Xiaomi Redmi Note 5 จะต้องอยู่ในตัวเลือกระดับต้น ๆ อย่างแน่นอน จากสเปคที่คุ้มค่ามาก ในราคาเริ่มต้นเพียง 5,990 บาทได้ชิป Snapdragon 636 ซึ่งถือเป็นสมาร์ทโฟนที่สเปคแรงที่สุด ในช่วงราคาระดับนี้ บวกกับแรม 4 GB และ แรม 64 GB (ในรุ่น 6,990 บาท) หน้าจอขนาด 5.99 นิ้วความละเอียด Full HD+ กล้องหลัง Dual Camera พร้อมเทคโนโลยี AI นั้นถ่ายภาพได้สวยขึ้นมาก ลบจุดด้อย Xiaomi ในราคาระดับเริ่มต้นไปได้ในทันที ส่วนกล้องหน้าก็จัดเต็ม 13 ล้านพิกเซล พร้อมฟีเจอร์ต่าง ๆ เอาใจสาวกเซลฟี่ แถมมี LED Flash มาให้ด้วย เรียกได้ว่าไม่มีที่ติเลยสำหรับ Xiaomi Redmi Note 5
ข้อดี
- สเปคฮาร์ดแวร์ดีมากเมื่อเทียบราคาที่ถูกมากเช่นเดียวกัน !!
- หน้าจอใหญ่ 5.99 นิ้ว ความละเอียด Full HD
- แบตอึด 4,000 mAh พร้อม Quick Charge 2.0
- กล้อง Dual Camera พร้อมกับฟีเจอร์ AI ที่ถ่ายภาพดีขึ้นมาก
- กล้องหน้าชัดแจ๋ว มี LED Flash ให้ด้วย
จุดสังเกต
- พอร์ตเชื่อมต่อเป็น microUSB