หากเอ่ยถึงแบรนด์ขวัญใจมหาชนอย่าง Xiaomi นอกจากสมาร์ตโฟนที่เป็นของขึ้นชื่อแล้ว ผลิตภัณฑ์อีกอย่างที่เป็นต้นเหตุของปรากฏการณ์ “หมี่งอก” ก็คงเป็นเครื่องฟอกอากาศนี่ล่ะครับ ด้วยความที่ประเทศไทยก็มักจะเจอปัญหาค่าฝุ่น PM 2.5 ทุก ๆ ต้นปี อีกทั้งเครื่องฟอกอากาศเสียวหมี่เองก็มีราคาไม่แพง แต่ได้ฟังก์ชั่นเยอะ จึงกลายเป็นรุ่นยอดนิยมในใจหลายคนได้ไม่ยาก และในรีวิวนี้ก็จะเป็นการรีวิว Xiaomi Mi Air Purifier 3H เครื่องฟอกอากาศรุ่นใหม่ที่ปรับปรุงเรื่องประสิทธิภาพให้ดีขึ้นไปอีก
ย้อนกลับไปเมื่อสักประมาณ 2 ปีที่แล้ว ผมได้เคยรีวิว Xiaomi Mi Air Purifier 2S เอาไว้ และแน่นอนว่าในรีวิว Xiaomi Mi Air Purifier 3H ก็จะมีการเปรียบเทียบกับรุ่นเก่าด้วย เพราะผมเชื่อว่ามีหลายคนสงสัยว่าทั้งสองรุ่นนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง แล้วจะซื้อรุ่นไหนดี เพราะถ้ามองแค่รูปลักษณ์ภายนอกก็แทบไม่มีความแตกต่างให้เห็นด้วยซ้ำ
สำหรับ Xiaomi Mi Air Purifier 3H เปิดตัวเมื่อปี 2019 เรียกว่าเป็นรุ่นปรับปรุงจาก Xiaomi Mi Air Purifier 2S ในหลาย ๆ ด้าน จะเว้นก็แต่ดีไซน์ที่ยังคงมีหน้าตาคล้าย ๆ ของเดิม เป็นรูปทรงที่ Xiaomi เรียกว่าเป็นทรงคลาสสิก มีเพียงสีเดียวคือสีขาว วัสดุเป็นพลาสติก และยังคงเข้ากับทุกมุมในบ้านได้เป็นอย่างดี วางแล้วไม่ดูโดดเด่นจนเกินไป จะรวมเป็นของแต่งห้องไปก็ไม่รู้สึกเคอะเขิน
การติดตั้ง Mi Air Purifier 3H ครั้งแรกก็ไม่ยุ่งยาก แค่ใส่กรองอากาศไปในตัวเครื่อง เสียบปลั๊ก เท่านี้เครื่องฟอกอากาศก็พร้อมใช้งานแล้ว อุปกรณ์ในกล่องก็มีเพียงตัวเครื่อง, ปลั๊กไฟ แล้วก็ไส้กรอง 3 อย่างเท่านั้น แล้วก็ถ้าซื้อมาใช้งานผมแนะนำให้ซื้อประกันศูนย์ไทยน่าจะดีกว่า เพราะเรื่องปลั๊กก็จะเป็นหัวปลั๊กแบบที่ใช้ในบ้านเราด้วย
เรื่องการออกแบบ เมื่อเทียบกับเครื่องฟอกอากาศรุ่นเก่าที่ผมใช้เป็นประจำอย่าง Sharp FP-J30TA-A ส่วนตัวผมมองว่า Xiaomi Mi Air Purifier 3H จัดวางง่ายกว่า กินพื้นที่ในห้องน้อยกว่าด้วยครับ แต่ที่ระบุไว้ในหน้าเว็บของเสียวหมี่ว่ากินพื้นที่พอ ๆ กับกระดาษ A4 มันก็ไม่ได้ขนาดเท่ากับ A4 เป๊ะอะไรขนาดนั้น เข้าใจว่าเป็นเรื่องของพื้นที่โดยรวมมากกว่า เมื่อคำนวณออกมาแล้วก็เท่ากับพื้นที่ของกระดาษ A4 ในแนวระนาบ
Xiaomi Mi Air Purifier 3H กับ Xiaomi Mi Air Purifier 2S แตกต่างอย่างไร?
สำหรับความแตกต่างระหว่าง Xiaomi Mi Air Purifier 3H กับ Xiaomi Mi Air Purifier 2S บริเวณภายนอกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็คือแผงระบายอากาศบริเวณด้านบน ในรุ่นใหม่ Xiaomi Mi Air Purifier 3H จะเป็นแผงระบายแบบเต็มสี่เหลี่ยม แตกต่างจากรุ่น Air Purifier 2S ที่เป็นแผงแบบวงกลม ผลก็คือทำให้ Xiaomi Mi Air Purifier 3H สามารถผลิตอากาศบริสุทธิ์ได้ 380 ลบ.ม./ ชม. มากกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 22%
ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแผงระบายเป็นแบบเต็มสี่เหลี่ยมเพียงอย่างเดียวที่ทำให้ Xiaomi Mi Air Purifier 3H ผลิตอากาศบริสุทธิ์ได้มากกว่า แต่ยังเป็นผลมาจากการเปลี่ยนรูปแบบของระบบกรองอากาศ ที่เปลี่ยนมาใช้ใบพัดทรงหอยโข่ง (Xiaomi Mi Air Purifier 2S เป็นใบพัดรูปทรงเอ็ดดี้) ทำให้พัดลมทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากกว่า
นอกจากจะมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้นแล้ว ในเรื่องของความแข็งแรง ส่วนตัวผมรู้สึกว่ามันแน่นหนามากขึ้น อย่างตอนที่รีวิว Xiaomi Mi Air Purifier 2S ผมบอกว่าตัวพัดลมมันแกว่ง ๆ เวลาเคลื่อนย้ายตัวเครื่อง แต่ไม่ใช่กับ Xiaomi Mi Air Purifier 3H แม้จะยกเครื่องไปมาก็ไม่ได้รู้สึกว่าพัดลมมันขยับเหมือนรุ่นก่อน
ถัดมาเป็นเรื่องหน้าจอ OLED ที่มีหน้าจอเหมือนกัน รายละเอียดการแสดงผลหน้าจอของ Xiaomi Mi Air Purifier 3H กับ Xiaomi Mi Air Purifier 2S ก็แสดงผลได้เหมือนกัน คือ ค่าฝุ่นละอองในอากาศ, อุณหภูมิ, เปอร์เซ็นต์ความชื้น, การเชื่อมต่อ Wi-Fi และโหมดที่ใช้งาน แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาใน Xiaomi Mi Air Purifier 3H คือหน้าจอเป็นระบบสัมผัสแล้ว อยากจะเปลี่ยนโหมดก็แตะที่หน้าจอ ทำให้ใช้งานสะดวกขึ้น
เพียงแตะแป้นบนจอแสดงผล OLED เพื่อใช้งานเครื่องฟอกอากาศ ก็สามารถดูข้อมูลการรายงานได้ทันที ข้อมูลคุณภาพอากาศในห้อง สถานะการทำงานของเครื่องฟอกอากาศ ฯลฯ จะแสดงผลอย่างชัดเจน และมีวงแหวนไฟสามสีแสดงคุณภาพของอากาศภายในห้องได้อย่างรวดเร็ว
เรื่องเสียงในการทำงานของเครื่องฟอกอากาศ ก็เป็นอีกสิ่งที่ Xiaomi Mi Air Purifier 3H ทำได้ดีกว่ารุ่นเดิมเล็กน้อย ในโหมดเงียบที่สุดจะมีเสียงเพียง 32dB(A) และในโหมดที่พัดลมทำงานเต็มที่ จะมีเสียงดังที่ 64dB(A) ปกติผมจะใช้แค่ 2 โหมด คือโหมดออโต้ กับโหมดการนอน เสียงพัดลมเบากว่าเครื่องปรับอากาศในห้องเยอะเลยครับ
อย่างสุดท้ายที่ Xiaomi Mi Air Purifier 3H แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าก็คือไส้กรองที่ติดมากับเครื่อง โดยรุ่นนี้ให้มาเป็นไส้กรองสีเทา HEPA Class 13 ต่างจากรุ่นก่อนหน้าที่เป็น EPA Class 12 (สีฟ้า) การฟอกอากาศก็จะทำได้ดีมากขึ้นด้วย รายละเอียดของไส้กรองตัวใหม่จะแบ่งการกรองเป็น 3 ระดับ ดังนี้
- ชั้นแรกจะขจัดเส้นผม ฝุ่น เส้นใยผ้าฝ้าย และอนุภาคขนาดใหญ่อื่น ๆ
- ชั้นที่สองประกอบด้วยแผ่นกรอง HEPA ช่วยในการขจัดแบคทีเรีย ไวรัส ควันบุหรี่ ฝุ่น PM2.5 ละอองเกสร ฝุ่น สะเก็ดผิวหนังของสัตว์เลี้ยง และสารก่อภูมิแพ้อื่น ๆ ซึ่งมีขนาดเล็กถึง 0.3 และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นกับอนุภาคขนาด 0.1 ไมครอน
- ชั้นที่สามคือตัวกรองผงถ่านกัมมันต์ ที่ดูดซับก๊าซฟอร์มาลดีไฮด์ สารประกอบอินทรีย์ระเหย (VOCs) และก๊าซอื่น ๆ ที่เป็นอันตราย
อายุของไส้กรองก็ใกล้ ๆ กับรุ่นก่อนหน้า ถ้าเปิดตลอด 24 ชั่วโมงก็จะอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน ในแอปพลิเคชั่น Mi Home จะมีข้อมูลเกี่ยวกับอายุการใช้งานไส้กรอง ว่าใช้งานได้อีกนานเท่าไหร่ ส่วนการบริโภคไฟฟ้า ตามสเปคระบุว่าในโหมดการนอน หากเปิด 24 ชั่วโมงจะกินไฟประมาณ 1kWh ซึ่งน้อยกว่าหลอดไฟแบบประหยัดพลังงานเสียอีก
ด้านหลังตัวเครื่องมีเซ็นเซอร์วัดค่าฝุ่นละออง Laser Particle Sensor หากตรวจจับได้ว่ามีฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐาน ก็จะทำการเร่งฟอกอากาศให้โดยอัตโนมัติ ตรงส่วนนี้ในรุ่นก่อนหน้าก็มีเหมือนกันครับ แต่ผมว่ามันตรวจจับมากกว่าฝุ่นละออง เพราะมีการตรวจจับพวกกลิ่นแปลก ๆ ด้วย ผมทดสอบโดยการเปิดเครื่องพ่นไอน้ำ Muji ในห้อง ตัวเลขที่แสดงบริเวณหน้าจอของ Xiaomi Mi Air Purifier 3H จะเพิ่มขึ้น รวมถึงตัวเครื่องก็จะเร่งความแรงพัดลมในการฟอกอากาศขึ้น
Xiaomi Mi Air Purifier 3H เชื่อมต่อสมาร์ตโฟน
จุดแข็งอีกอย่างของ Xiaomi Mi Air Purifier 3H อยู่ที่การเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนผ่านแอปพลิเคชั่น Mi Home ที่ดาวน์โหลดได้ทั้ง iOS และ Android ในช่วงราคาที่วางจำหน่าย (ไม่เกิน 5,000 บาท) หากเทียบกับแบรนด์อื่นก็แทบจะไม่มีที่เชื่อมต่อสมาร์ตโฟนได้เลยด้วยซ้ำไป อย่างไรก็ตาม หากไม่เชื่อมต่อสมาร์ตโฟนก็ใช้งานได้ตามปกติครับ
ไหน ๆ ก็ต้องรีวิว Xiaomi Mi Air Purifier 3H แล้ว และเว็บ SpecPhone.com ของเราก็เป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับสมาร์ตโฟน เพราะฉะนั้นก็ต้องรีวิวการใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชั่นด้วย ซึ่งมันก็เชื่อมต่อ ควบคุมการใช้งานได้เหมือนรุ่นก่อนหน้าล่ะครับ วิธีการเชื่อมต่อก็ให้ดาวน์โหลดแอป Mi Home จากนั้นทำการสร้าง Account หรือถ้ามีอยู่แล้วก็ให้ทำการ Login เข้าไปได้เลย
ข้อสังเกตอย่างหนึ่งในการเชื่อมต่อ Xiaomi Mi Air Purifier 3H กับ Wi-Fi ในบ้านก็คือมันรองรับแค่ Wi-Fi 4 หรือ Wi-Fi 2.4GHz เท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติของอุปกรณ์ประเภท IoT อยู่แล้ว เมื่อเชื่อมต่อ Xiaomi Mi Air Purifier 3H กับอินเทอร์เน็ตผ่านแอปพลิเคชั่น Mi Home เรียบร้อยก็พร้อมสั่งการตัวเครื่องผ่านสมาร์ตโฟนได้ทันที ขอแค่เปิดอินเทอร์เน็ตที่บ้านให้เครื่องฟอกอากาศเชื่อมต่อ จะสั่งการจากที่ไหนในโลกก็ได้ แต่สมาร์ตโฟนต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วยนะครับ
อีกสิ่งหนึ่งที่ Xiaomi Mi Air Purifier 3H ทำได้ก็คือมันเชื่อมต่อตัวเองกับ Google Assistant หรือ Alexa ได้ด้วย ทำให้เพื่มความล้ำไปอีกระดับ สามารถสั่งการด้วยเสียงได้ แต่ก็ต้องมีอุปกรณ์สั่งการในห้องด้วยนะครับ อย่างในห้องผมจะมี Google Nest Mini ที่คอยรับคำสั่งเสียง ก็แค่ผูกบัญชี Mi Home เข้ากับบัญชี Google Home เท่านี้ก็สั่ง “OK Google เปิดเครื่องฟอกอากาศ” ผ่านทาง Google Nest Mini ได้ทันที
ภาพรวม รีวิว Xiaomi Mi Air Purifier 3H
ส่วนตัวผมมองว่า Xiaomi Mi Air Purifier 3H เป็นการเข้ามาแทรกช่องว่างระหว่าง Xiaomi Mi Air Purifier 2S กับ Xiaomi Mi Air Purifier Pro การเลือกใช้งานก็ขึ้นอยู่กับขนาดห้องเป็นหลัก เพราะฟังก์ชั่นมันพอ ๆ กัน หากพื้นที่ห้องไม่เกิน 45 ตารางเมตร Xiaomi Mi Air Purifier 3H ก็เพียงพอแล้ว หรือถ้าห้องมีขนาดเล็กกว่า และงบประมาณไม่ใช่ปัญหา Xiaomi Mi Air Purifier 3H ก็จะทำการฟอกอากาศได้เร็วกว่าครับ
สำหรับใครที่ยังลังเลอยู่ ผมสรุปการเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศเสี่ยวหมี่รุ่น 3H กับรุ่น 2S ไว้ดังนี้ครับ
กรณีที่ 1 หากเลือกรุ่นที่ฟอกอากาศได้เล็กกว่าขนาดของห้อง เช่น ห้องมีขนาด 60 ตารางเมตร แต่เลือก Xiaomi Mi Air Purifier 3H ที่ตามสเปคมันฟอกได้เต็มที่ 45 ตารางเมตร สิ่งที่เกิดก็คือ ความฟุ้งของมวลอากาศสะอาดจะไม่ทั่วห้อง หรือใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพนั่นเอง หรือกรณีที่พื้นที่ห้องคาบเกี่ยวกันระหว่าง Xiaomi Mi Air Purifier 3H กับ 2S เช่น ห้องมีขนาด 32 ตารางเมตร ก็สามารถใช้งานได้ทั้ง 2 รุ่นครับ อันนี้ขึ้นอยู่กับงบประมาณในกระเป๋าแล้ว แต่ถ้างบไม่ใช่ปัญหาจริง ๆ ผมก็ยังแนะนำรุ่นใหม่ Xiaomi Mi Air Purifier 3H อยู่ดี เพราะการที่เครื่องฟอกอากาศทำงานได้เกินขนาดห้อง หมายความว่ามันก็ทำการฟอกอากาศได้เร็วกว่านั่นเอง
กรณีที่ 2 หากเลือกเครื่องฟอกอากาศที่ทำงานได้มากกว่าขนาดห้อง ก็สามารถทำได้เช่นกัน การกรองอากาศก็จะทำได้รวดเร็วกว่า อย่างห้องนอนผมที่กว้างประมาณ 18 ตารางเมตร พอเปิด Xiaomi Mi Air Purifier 3H ตัวเครื่องก็ใช้เวลาเพียงไม่นาน ค่าอากาศก็ลงมาเหลือเลขตัวเดียว (001) แล้ว คือถ้างบประมาณไม่ใช่ปัญหา การซื้อเครื่องฟอกอากาศที่มีระยะทำการกว้างกว่า ก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้วครับ
ส่วนการเทียบกับเครื่องฟอกอากาศแบรนด์อื่น ผมมองว่าจุดแข็งของ Xiaomi Mi Air Purifier 3H รวมถึงรุ่นอื่น ๆ ของทางเสียวหมี่ก็คือการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่น สั่งการผ่านสมาร์ตโฟนได้ และราคาที่ทำไว้ค่อนข้างดี ยังไม่รวมบรรดาช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ ที่แข่งกันจัดแฟลชเซลล์ โปรโมชั่นลดราคาเครื่องฟอกอากาศเสี่ยวหมี่อีกนะครับ หากซื้อจังหวะช่วงที่มีโปรโมชั่นใหญ่พอดี เผลอ ๆ ค่าเครื่องลดลงไปได้อีกเยอะเลย ไส้กรองอากาศก็ราคาไม่สูงมาก หาดี ๆ บางร้านขายไม่ถึงพันบาทก็มีครับ
- JD Central : https://bit.ly/2YRvK07
- Shopee : https://bit.ly/3hS5sSQ
- Lazada : https://bit.ly/2NQ301q
สำหรับช่องทางการสั่งซื้อ Xiaomi Mi Air Purifier 3H ทางออนไลน์ก็จะมีสองช่องทางหลัก ๆ ที่เป็น Xiaomi Official Store ดังนี้ครับ ส่วนการซื้อจากร้านอื่น ก็แนะนำให้ดูเป็นตัวประกันศูนย์ไทยน่าจะดีที่สุด เพราะราคาเมื่อเทียบกับเครื่องหิ้วก็ต่างกันไม่มาก เผลอ ๆ มีโปรโมชั่น ราคาศูนย์ไทยถูกกว่าก็เคยมีให้เห็นมาแล้ว