Samsung Galaxy S20 เรือธงรุ่นใหม่ของ Samsung ที่เปิดตัวออกมาได้เป็นจุดเด่นมาก ๆ ทั้งหน้าจอ 120Hz ที่ใส่มาเป็นเจ้าแรก ระบบซูมที่เรียกว่า Space Zoom ที่ซูมได้ไกลถึง 30 เท่า แถมยังสามารถอัดวีดีโอที่ความละเอียด 8K 30 fps ได้เป็นรายแรกอีกด้วย แถมคราวนี้ยังกดราคาลงมาให้อยู่ในจุดที่เหมาะสมได้อีกด้วย ซึ่งในบทความนี้จะพูดถึงแต่ Samsung Galaxy S20 และ Galaxy S20+ เท่านั้น ส่วน Galaxy S20 Ultra จะทำแยกไปอีกบทความหนึ่ง เราไปดูกันดีกว่าว่า Samsung Galaxy S20 และ Galaxy S20+ นั้นเป็นอย่างไรบ้าง
สเปค Samsung Galaxy S20/S20+
- หน้าจอแสดงผล Infinity-O ชนิด Dynamic AMOLED 2X กว้าง 6.2 นิ้ว (S20) / 6.7 นิ้ว (S20+) ความละเอียด QHD+ (3200 x 1440 พิกเซล) Refresh Rate 120Hz และรองรับ HDR10+
- CPU : Exynos 990
- RAM : 8GB
- ROM 128GB UFS 3.0 รองรับ MicroSD เพิ่มได้สูงสุด 1 TB
- กล้องหลัง 4 ตัว
- กล้องหลัก 12MP f/1.8 Dual Pixel, OIS
- เลนส์เทเล 64MP f/2.0 PDAF, OIS รองรับการซูมแบบ Hybrid Optic ได้ 3 เท่า ซูมแบบความละเอียดสูง Super Resolution Zoom (optical+digital zoom) ได้สูงสุด 30 เท่า
- เลนส์อัลตร้าไวด์ 12MP f/2.2 AF 120 องศา
- เลนส์ DepthVision 0.3MP (มีเฉพาะใน S20+)
- กล้องหน้า 10MP f/2.2 Dual Pixel
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือฝังใต้จอแบบ Ultrasonic
- กันน้ำกันฝุ่นที่ระดับ IP68
- ลำโพงคู่สเตอริโอให้เสียง surround พร้อมระบบเสียง Dolby Atmos
- รองรับ WiFi 6
- Android 10 พร้อม One UI 2
- แบตเตอรี่ขนาด 4000 mAh (S20) / 4500mAh (S20+) รองรับการชาร์จเร็วที่ 25W และการชาร์จไร้สายเร็ว 15W
- มีให้เลือก 3 สีคือ
- สีฟ้า
- สีเทา
- สีชมพู (S20) / สีดำ (S20+)
- ราคา
- S20 : 28,900 บาท
- S20+ : 31,900 บาท
ตัวเครื่อง Galaxy S20/S20+
มาเริ่มกันที่ตัวเครื่องกันก่อน รอบนี้ Samsung ได้เปืดตัวหน้าจอแบบใหม่มาพร้อม ๆ กับ Galaxy S20 ด้วยนั่นก็คือหน้าจอ Dynamic AMOLED 2X ที่ให้ความคมชัดและสีสันที่ดีขึ้นยิ่งกว่าหน้าจอแบบ Dynamic เดิม และยังรองรับการแสดงผลแบบ HDR10+ อีกด้วย แถมทั้ง ๆ ที่หน้าจอมีความสามารถขนาดนี้ แต่ตัวหน้าจอกลับมีความหนาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้ตัวเครื่องค่อนข้างบางอยู่
หน้าจอของ Galaxy S20/S20+ นั้นเป็นแบบ Infinity-O ขนาด 6.2 นิ้วใน S20 และ 6.7 นิ้วใน S20+ ตัวกระจกเป็น Gorilla Glass 6 ทำให้มีความคงทน แข็งแรง แถมยังป้องกันรอยขีดข่วยได้อย่างดีด้วย นอกจากนี้ที่บริเวณขอบจอได้เปลี่ยนกลับไปใช้ขอบโค้งแบบ 2.5D ทำให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นด้วย
นอกจากนี้อีกจุดเด่นหนึ่งของหน้าจอ Galaxy S20 ก็คือการที่มีอัตรรีเฟรชถึง 120Hz ทำให้สามารถใช้งานแอพโซเชียลและเกมได้สบายตาขึ้น แถมยังทำให้ภาพมีความลื่นไหลมากขึ้นด้วย
มาดูที่รอบเครื่องกันบ้าง โดยที่ด้านบนของตัวเครื่องนั้นจะมีช่องใส่ซิมแบบ Hybrid Slot พร้อมไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวนอยู่
ที่ด้านขวาของเครื่องจะมีปุ่ม Power และปุ่มปรับระดับเสียง ทว่าด้านซ้ายนั้นจะไม่มีอะไรอยู่เลย
ที่ด้านล่างของเครื่องจะมีไมโครโฟนสำหรับสนทนา พอร์ต USB Type-C และลำโพงอยู่ ซึ่งจะใช้งานไปพร้อม ๆ กับลำโพงด้านบนเป็นแบบ Dual Speaker
ที่ด้านหลังของตัวเครื่องจะเป็นกระจก Gorilla Glass แบบเดียวกับหน้าจอ และจะมีโมดูลกล้องวางอยู่บริเวณมุมบนซ้าย
ระบบปฏิบัติการ
Samsung Galaxy S20/S20+ นั้นมาพร้อมกับ Android 10 ที่ครอบทับด้วย OneUI 2.1 รุ่นใหม่ ที่มีความบื่นไหลยิ่งกว่าเดิม และใช้งานง่ายยิ่งกว่าเดิม
นอกจากนี้ใน OneUI 2.1 นั้นยังทำให้ใช้งาน Dark Mode ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมด้วยการเอาปุ่มเปิด-ปิดมาไว้ที่แถบ Notification
ประสิทธิภาพ
Samsung Galaxy S20/S20+ นั้นมาพร้อมกับชิป Exynos 990 รุ่นใหม่ที่มีความแรงมากขึ้น แถมยังประหยัดแบตเตอรี่มากขึ้น นอกจากนี้ในการเล่นเกมยังมี Game Luncher ที่ช่วยรวบรวมเกมทั้งหมดให้อยู่ในที่เดียว และช่วยจัดการการแจ้งเตื่อนต่าง ๆ ให้
ในการทดสอบการเล่นเกมนั้นเราได้ทดสอบกับเกม RoV PUBG Mobile และ Modern Warplanes ซึ่งผลจะเป็นอย่างไรนั้นไปดูกันครับ โดยระหว่างทดสอบนั้นจะใช้หน้าจอ 120Hz ตลอดการเล่นนะครับ
RoV
ในการทดสอบกับเกม RoV นั้นเราได้ทำการปรับการตั้งค่าให้สูงที่สุดทั้งหมด ซึ่งในขณะที่เล่นนั้นสามารถทำเฟรมเรทได้ต่ำสุด 53 ในช่วงตะลุมบอน นอกนั้น 60 fps ตลอดการเล่น
PUBG Mobile
ในการทดสอบกับเกม PUBG Mobile เองก็ได้ทำการปรับกราฟฟิกให้สูงที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ (HDR HD + Frame Rate Ultra) ซึ่งก็ทำได้ดี ไม่มีอาการกระตุกแต่อย่างใด นอกจากนี้เวลาหันเร็ว ๆ ยังไม่ปวดตาด้วย
Modern Warplanes
สำหรับเกมนี้ตั้งใจเอามาทดสอบกับหน้าจอ 120Hz โดยเฉพาะ เนื่องจากเป็นเกมแนวขับเครื่องบิน ซึ่งมักเกิดอาการปวดตาเวลาเปลี่ยนทิศทางหากใช้หน้าจอเฟรมเรทต่ำ ทว่าจากที่ได้ลองแล้วการที่มีหน้าจอ 120Hz นั้นช่วยให้มีความลื่นไหลของภาพที่มากขึ้นจนทำให้ลดอาการปวดตาไปได้มาก
กล้อง
กล้องนี้เองก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นของ Galaxy S20/S20+ ที่ Samsung เอามาเป็นจุดขาย พร้อมด้วยฟีเจอร์มากมาย
กล้องหลัง
กล้องหลังของ S20/S20+ นั้นมีกล้องหลัก 12MP f/1.8 แบบ Dual Pixel, กล้อง Telephoto 64MP f/2.0 ที่รองรับการซูมแบบ Hybrid 3x และสามารถซูมแบบ Super Resolution Zoom ได้สูงสุดที่ 30x, Ultrawide 12MP f/2.2 และกล้อง Depth ซึ่งจะมีใน S20+ โดยในกล้องหลังจะมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจดังนี้
Single Take
เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้กดถ่ายครั้งเดียว ได้ทั้งวิดีโอและภาพนิ่งในรูปแบบที่หลากหลายสูงสุดถึง 14 แบบ เช่นภาพมุมกว้าง, วิดีโอ Hyper lapse, Boomerang พร้อมแชร์ขึ้นโซเชียลได้ทันที
Bright Night
ฟีเจอร์ถ่ายภาพกลางคืนแบบใหม่ของ Samsung ที่สามารถใช้ได้ทั้งในการถ่ายภาพและการถ่าย VDO ช่วยให้สามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้คมชัดขึ้นและช่วยลด noise ลงได้อย่างมาก
Super Steady
ระบบกันสั่นสำหรับสมาร์ทโฟนระดับเรือธงของ Samsung ที่มีการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเป็นระบบกันสั่นแบบเดียวกับที่ใช้ใน Action Cam โดยระบบกันสั่นนี้ทำได้ดีกว่าใน S10 อย่างมาก
Space Zoom
หนึ่งในฟีเจอร์ที่ Samsung ภูมิใจนำเสนอด้วยระยะการซูมที่เหนือล้ำกว่าใคร ทำให้สามารถเก็บภาพที่ต้องการได้จากระยะไกล ด้วยพลังซูม 30 เท่า จากกล้อง 64MP
VDO 8K
เป็นอีกครั้งที่ Samsung ใส่ความสามารถในการถ่ายวีดีโอความละเอียดสูงมาในเรือธงของตนที่ซึ่งสามารถถ่ายวีดีโอได้ความละเอียดที่สูงถึง 8K แถมยังสามารถแคปเจอร์ภาพจากในวีดีโอ 8K ออกมาได้ โดยภาพนั้นจะมีความละเอียดถึง 33MP เลยทีเดียว
ตัวอย่างภาพ Space Zoom
ตัวอย่างภาพจากกล้องหลัง
กล้องหน้า
กล้องหน้าของ S20/S20+ นั้นจะมีความละเอียดอยู่ที่ 10MP ซึ่งเป็นแบบ Dual Pixel ทำให้ได้ภาพที่คมชัดแม้ในที่แสงน้อย และนอกจากนี้กล้องหน้ายังสามารถใช้ Bright Night ได้อีกด้วย
ตัวอย่างภาพจากกล้องหน้า
สรุป
โดยรวมสำหรับ Samsung Galaxy S20/S20+ จากที่ได้ลองใช้มาระยะหนึ่งต้องบอกเลยว่าค่อนข้างเหมาะมือเป็นอย่างมาก แถมยังสามารถใช้งานได้หลากหลายสถานการณ์ เหมาะกับวัยรุ่นยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งฟีเจอร์กล้องแบบใหม่ทำให้สามารถถ่ายภายได้ในหลากหลายสถานการณ์มากขึ้น แถมด้วยหน้าจอ 120Hz ช่วยให้มองหน้าจอได้สบายตาขึ้น
จุดเด่น
- หน้าจอ Dynamic AMOLED 2X อัพเกรดความสดใสให้ดียิ่งขึ้น
- ถ่ายวีดีโอ 8K พร้อมแคปภาพที่ความละเอียด 33MP ได้
- Space Zoom 30x
- Bright Night ถ่ายวิวกลางคืนได้สวยสุด ๆ
จุดสังเกตุ
- ใช้จอ 120Hz ได้แค่ FHD+ (รออัพเดต)
- เครื่องร้อนเร็วเมื่อใช้จอ 120Hz
- Bright Night กล้องหน้าคิดเหลืองมาก อาจจะต้องรอปรับใหม่