Samsung ได้พัฒนาสมาร์ทโฟนระดับพรีเมี่ยมขึ้นไปอีกขั้นด้วย Samsung Galaxy Note 10 และ Samsung Galaxy Note 10 + ซึ่งเป็นครั้งแรกของสมาร์ทโฟนตระกูล Note ที่มีให้เลือกกันถึง 2 ขนาด ทว่าก็ยังคงประสบการณ์การใช้งานที่ครบครันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตามแบบฉบับสุดยอดเรือธงของ Samsung ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ที่สวยงาม, S-Pen ที่ใช้งานได้หลากหลายขึ้น, กล้องที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ นอกจากนี้ยังได้รับการพัฒนาระบบชาร์จให้รวดเร็วขึ้นด้วย ซึ่งตอนนี้ Samsung Galaxy Note 10 และ Samsung Galaxy Note 10 + ก้ได้วางขายกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ ถึงเวลาแล้ว ไปดูรีวิวกันดีกว่าครับ
สเปค Samsung Galaxy Note 10
- หน้าจอ Dynamic AMOLED HDR10+ แบบ Infinity O-Display ความละเอียด Full HD+ ขนาด 6.3 นิ้ว
- ชิปเซ็ตประมวลผล Exynos 9825
- RAM 8GB
- ROM 256GB ไม่สามารถเพิ่ม MicroSD ได้
- กล้องหลัง 3 ตัว พร้อมด้วย OIS, Super Steady และ AR Doodle
- กล้องหลัก(Wide) 12MP f/1.5
- กล้องตัวที่สอง(Telephoto) 12MP f/2.4
- กล้องตัวที่สาม(Ultra Wide) 16MP f/2.2
- กล้องหน้า 10MP f/2.2 แบบ Dual Pixel
- ระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ครอบทับด้วย One UI
- พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C
- มีระบบสแกนใบหน้าและเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้จอแบบ Ultrasonic
- แบตเตอรี่ขนาด 3,500 mAh รองรับ Fast Charge 25W
- รองรับฟังก์ชัน Zoom in Mic ช่วยบันทึกเสียงแม้ขณะซูมภาพได้อย่างชัดเจน
- กันน้ำ-กันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68
- มี 3 สี คือ Aura Pink, Aura Black และ Aura Glow
- ราคา 32,900 บาท
สเปค Samsung Galaxy Note 10 +
- หน้าจอ Dynamic AMOLED HDR10+ แบบ Infinity O-Display ความละเอียด QHD+ ขนาด 6.8 นิ้ว
- ชิปเซ็ตประมวลผล Exynos 9825
- RAM 12GB
- ROM 256GB/512GB สามารถเพิ่ม MicroSD ได้สูงสุด 1TB
- กล้องหลัง 4 ตัว พร้อมด้วย OIS, Super Steady และ AR Doodle
- กล้องหลัก(Wide) 12MP f/1.5
- กล้องตัวที่สอง(Telephoto) 12MP f/2.4
- กล้องตัวที่สาม(Ultra Wide) 16MP f/2.2
- กล้องตัวที่สี่เป็น ToF Sensor
- กล้องหน้า 10MP f/2.2 แบบ Dual Pixel
- ระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ครอบทับด้วย One UI
- พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C
- มีระบบสแกนใบหน้าและเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้จอแบบ Ultrasonic
- แบตเตอรี่ขนาด 4,200 mAh รองรับ Fast Charge 45W(ในกล่องแถมมาเป็น 25W)
- รองรับฟังก์ชัน Zoom in Mic ช่วยบันทึกเสียงแม้ขณะซูมภาพได้อย่างชัดเจน
- กันน้ำ-กันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68
- มี 3 สี คือ Aura White, Aura Black และ Aura Glow
- ราคา
- 12GB/256GB 37,900 บาท
- 12GB/512GB 40,900 บาท
โดยตัวที่ทาง SpecPhone ได้รับมานั้นเป็น Note 10 Aura Pink และ Note 10 + Aura Glow รุ่น 256GB ซึ่งถ้าจะซื้อ Note 10 + ผมมองว่าซื้อรุ่น 512GB ไปเลยครับ เนื่องด้วยปัจจุบันแอพต่าง ๆ ก็กินพื้นที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย
ดีไซน์ของ Samsung Galaxy note 10 และ Note 10 +
Samsung Galaxy Note 10 และ Note 10 + ใช้หน้าจอแบบ Infinity-O Display เหมือน Galaxy S10 แต่ได้ทำการย้ายตำแหน่งของกล้องมาไว้ตรงกลาง รวมถึงลดขนาดขอบจอลงจนเรียกได้ว่าแทบไม่มีกันเลยทีเดียว ซึ่งทั้ง 2 รุ่นจะมีหน้าจอเป็น Dynamic AMOLED เหมือนกัน แต่จะต่างกันที่ความละเอียดและขนาด โดย Galaxy Note 10 จะมีหน้าจอขนาด 6.3นิ้ว ความละเอียด Full HD+ ในขณะที่ Galaxy Note 10 + จะมีหน้าจอขนาด 6.8นิ้ว ความละเอียด QHD+ นอกจากนี้ยังติดตั้งเซนเซอร์สแกนนิ้วไว้บนหน้าจออีกด้วย และส่วนขอบด้านบนยังมีลำโพงสำหรับสนทนาซ่อนอยู่ด้วย โดยขอบด้านบนตัวเครื่องนั้นจะมีถาดใส่ซิมแบบ Hybrid Slot และไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวน
ที่ด้านข้างของตัวเครื่องนั้นจะมีปุ่มปรับเสียงและปุ่ม Power จะอยู่ฝั่งซ้ายทั้งหมด และตัดปุ่ม Bixby ออกไป ทำให้ต้องมีการปรับตัวเล็กน้อย
ที่ด้านล่างของตัวเครื่องจะมีช่องเสียบ S-pen, ช่อง USB C, ลำโพง และ ไมโครโฟนสำหรับสนทนา จะสังเกตุเห็นว่ามีการตัดช่องหูฟัง 3.5 ออกไป เพื่อให้ตัวเครื่องนั้นบางลง (ในกล่องแถมหูฟังแบบ Type-C มาให้เลย และไม่มีการแถมสายแปลง Type-C to 3.5mm ให้ด้วยครับ )
ที่ด้านหลังของตัวเครื่องจะมีกล้องอยู่ที่มุมซ้ายบนของเครื่อง(กล้อง 3 ตัวใน Note 10 และ 4 ตัวใน Note 10 +) พร้อม LED Flash นอกจากนี้ยังมีโลโก้ Samsung อยู่ที่ตรงกลางเครื่องด้วย
วัสดุตัวเครื่อง Galaxy Note 10 / 10 + เป็นแบบโลหะผสมกระจก หรือก็คือตัวเครื่องเป็นโลหะแล้วครอบฝาหลังทับด้วยกระจก ซึ่งตัวกระจกนี้เป็น Gorilla Glass 6 ซึ่งทนต่อรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดี
ภาพรวมในส่วนของการออกแบบนั้น ผมว่า Samsung ทำออกมาได้น่าประทับใจอย่างยิ่งสำหรับเรือธงรุ่นนี้ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแบบ Dynamic AMOLED ที่มีความสวยงามยิ่งขึ้นกว่าเดิม ส่วนเรื่องวัสดุและการดีไซน์ก็มีความสวยงามและทันสมัย อีกทั้งยังให้ความรู้สึกพรีเมี่ยมเวลาถืออีกด้วย แต่ก็มีจุดสังเกตุหนึ่งอย่างคือการที่ต้องปรับตัวเรื่องปุ่ม Power ที่ย้ายมาอยู่ในตำแหน่งของปุ่ม Bixby เท่านั้นครับ
ประสิทธิภาพของ Samsung Galaxy Note 10 และ Note 10+
Samsung Galaxy Note 10 และ Note 10+ มาพร้อมกับ Android 9.0 Pie ครอบด้วย One UI ซึ่งแอปที่ให้มาในเครื่อง หลัก ๆ ก็จะเป็นกลุ่มของแอปจาก Google ตามปกติ แอปบางส่วนจาก Samsung เช่น Samsung Notes, Galaxy Store เป็นต้น
ด้านชิปประมวลผลเป็นชิปรุ่นใหม่ล่าสุด Exynos 9825 ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 7 nm และ Neural Processing Unit (NPU) สำหรับประมวลผลด้าน AI นอกจากนี้ยังมีระบบระบายความร้อน Vapor Chamber เพื่อให้เล่นเกมได้ยาวนานขึ้น ในส่วนของหน่วยความจำที่นำเข้ามาขายในไทย Note 10 นั้นจะมี RAM 8GB และ ที่เก็บข้อมูลขนาด 256GB(ไม่รองรับ MicroSD) ส่วน Note 10 + นั้นจะมี RAM 12GB และที่เก็บข้อมูลขนาด 256GB และ 512GB นอกจากนี้ยังรองรับ MicroSD สูงสุดที่ 1TB ด้วย
สำหรับการเล่นเกมนั้นได้ทำการทดสอบกับเกมยอดฮิตกินสเปคอย่าง RoV และ PUBG Mobile แล้วซึ่งผลที่ได้ออกมาน่าประทับใจสมกับที่เป็นเรือธง FPS นิ่ง ๆ ภาพไม่กระตุกใด ๆ ถึงแม้จะปรับการตั้งค่าเอาไว้สูงสุดก็ตาม
แบตเตอรี่ของ Samsung Galaxy Note 10 มีขนาด 3,500mAh และ Galaxy Note 10 + มีขนาด 4,300mAh โดยในกล่องจะให้ Adaptor Fst Charge ขนาด 25W มาด้วย เพียงแต่ Note 10 + นั้นรองรับ Fast Charge ได้สูงสุด 45W ซึ่งจำเป็นต้องซื้อแยกเอา นอกจากนี้ยังรองรับชาร์จเร็วแบบไร้สาย 12W และ Wireless PowerShare อีกด้วย
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ Samsung Galaxy Note 10 และ Note 10 +
สิ่งแรกที่ไม่พูดไม่ได้เลยก็คือ S Pen ที่เป็นจุดเด่นที่สุดของ Galaxy Note โดยได้รับการปรับปรุงเพิ่มจากใน Galaxy Note 9 ให้ดียิ่งขึ้น มีการเพิ่มความสามารถใหม่ ๆ ให้กับ S Pen รุ่นใหม่นี้ด้วย นอกจากนี้ใน S Pen รุ่นใหม่นี้ยังได้มีการเพิ่มเซ็นเซอร์ Gyro แบบ 6 แกน ไว้ภายใน ช่วยให้ S Pen รุ่นใหม่ สามารถออกคำสั่งท่าทางต่าง ๆ ในอากาศ เพื่อควบคุมฟีเจอร์ต่างๆ บน Galaxy Note 10 และ Note 10+ ได้ โดยทาง Samsung เรียกการทำงานแบบนี้ว่า Air Action
โดย Air Action นี้ช่วยให้ S Pen สามารถควบคุม Galaxy Note 10 ได้ด้วยการสบัดปากกาในอากาศ อย่างเช่น การเปลี่ยนภาพ, การซูมกล้อง, การเปลี่ยนโหมดกล้อง หรือว่าจะเป็นการเพิ่ม-ลดเสียงเพลง นอกจากนี้ยังใช้ควบคุมตัวเครื่องได้เหมือนกับรุ่นก่อน ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมงานนำเสนอ, การถ่ายรูป และการสั่งเล่น/หยุด เพลงหรือวีดีโอ
ต่อมาคือ AR Doodle ซึ่งเป็นอีกจุดเด่นหนึ่งที่ต้องใช้งานคู่กับ S Pen ช่วยให้ผู้ใช้สามารถวาดสิ่งต่าง ๆ ลงไประหว่างการถ่ายภาพนิ่งหรืออัดวีดีโอได้ ซึ่งในส่วนของการถ่ายภาพนิ่งนั้นภาพที่วาดลงจะจะตามติดใบหน้าไปตลอด รวมถึงสามารถจดจำได้ว่าใบหน้าไหนวาดลายไหนไว้
แอพ Samsung Notes ได้รับการอัพเดทใหม่ เพิ่มความสามารถให้ S Pen สามารถปรับขนาดหัวปากกาหรือหมึกได้ รวมทั้งสีและความหนา นอกจากนี้ยังรองรับฟีเจอร์แปลงลายมือเป็นตัวอักษร เพียงเขียนข้อความต่างๆ จากนั้นแตะที่ข้อความ แล้วเลือก Convert เพื่อแปลงเป็นตัวอักษร ซึ่งสนับสนุนทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
เนื่องจาก S Pen อัดฟีเจอร์เข้ามาขนาดนี้ก็จำเป็นต้องใช้แบตเตอรี่ ซึ่งเจ้า S Pen นี้จะทำการชาร์จแบตเตอรี่ทันทีที่เสียบกลับเข้าไปภายในเครื่องโดยใช้เวลาชาร์จเพียง 6 นาทีเท่านั้น และสามารถสแตนด์บายต่อเนื่องได้นานสูงสุด 10 ชั่วโมง ในการใช้ S Pen ควบคุมเครื่อง ตัว S Pen ต้องห่างจากตัวเครื่องไม่เกิน 10 เมตร
กล้องถ่ายรูปของ Samsung Galaxy Note 10 และ Note 10 +
กล้องหลังของ Samsung Galaxy Note 10 และ Note 10 + จะมีกล้องอยู่ทั้งหมด 3 ตัว ซึ่งจะเป็นแบบเดียวกัน โดยจะมีกล้องหลัก(Wide) 12MP f/1.5, กล้องตัวที่สอง(Telephoto) 12MP f/2.4 และกล้องตัวที่สาม(Ultra Wide) 16MP f/2.2 สำหรับ Galaxy note 10 + จะมี ToF Sensor ที่จะช่วยวัดระยะชัดลึกให้ และด้วยคุณภาพของกล้องที่ DxOMark ให้คะแนนมากถึง 113 คะแนน จึงเป็นหลักฐานอย่างดีในเรื่องคุณภาพของกล้อง และถึง Galaxy Note 10 จะไม่มี ToF Sensor แต่ก็มีซอร์ฟแวร์ช่วยจัดการแทนให้ ทำให้รูปที่ถ่ายออกมาไม่ค่อยจะแตกต่างกันมากนัก
ตัวอย่างภาพจากกล้องหลังของ Galaxy Note 10 และ Note 10 +
ตัวอย่างภาพที่ใช้งาน ToF Sensor
กล้องหน้าของ Samsung galaxy note 10 และ Note 10 + จะถูกฝังอยู่ในจอเช่นเดียวกับ Galaxy S10 เพียงแต่ได้ทำการย้ายกล้องมาไว้ตรงกลางและทำการลดขนาดรูกล้องลง โดยทั้ง 2 รุ่นจะมีกล้องหน้าตัวเดียวกันคือ ความละเอียด 10 MP รูรับแสง F2.2 Dual Pixel
นอกจากนี้ยังรองรับโหมด Live Focus ถ่ายภาพหลังละลาย เปลี่ยนเอฟเฟกต์โบเก้ได้ นอกจจากนี้ยังสามารถถ่ายภาพโหมดกลางคืนได้ด้วย
ตัวอย่างภาพจากกล้องหน้า Samsung Galaxy note 10 และ Note 10 +
สรุป
Samsung Galaxy Note 10 และ Note 10 + นั้นสมกับที่เป็นสมาร์ทโฟนระดับพรีเมี่ยมที่สุดของ Samsung ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบที่เรียบหรู สีสันโดดเด่น ประสิทธิภาพแรงเกินธรรมดาด้วย Exynos 9825 S Pen รุ่นใหม่ที่เก่งยิ่งกว่าเดิม ระบบชาร์จเร็วที่ไม่ธรรมดา และกล้องที่ดีที่สุด สามารถใช้งานได้หลายหลาย เหมาะแก้ผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนประสิทธิภาพสูงและปากกาดี ๆ สักแท่ง แทนที่ Tablet ที่มีขนาดใหญ่และน้ำหนักที่มาก ซึ่ง Samsung ได้รวมเอาทุกอย่างมาใว้ในเครื่องเดียวนี้หมดแล้ว
ข้อสังเกตุ
- เวลาดึง S Pen ออกมาเร็วเกินไปบางครั้งระบบจะจับไม่ทันทำให้ใช้งานไม่ได้
- ด้วยตัวเครื่องที่บางมาก และมีขอบจอโค้ง หากไม่ใส่เคสเอาไว้จะทำให้มือไปโดนขอบจอได้