ในงาน Galaxy Unpacked 2024 ที่ผ่านมา นอกจากการเปิดตัวสมาร์ตโฟนจอพับอย่าง Galaxy Z Fold6 | Z Flip6 แล้ว ยังมีอีกหนึ่ง Gadget ที่เปิดตัวพร้อมกันอย่าง Samsung Galaxy Buds3 Pro และ Galaxy Buds3 หูฟังไร้สายที่ซัมซุงห่างหายจากการเปิดตัวรุ่นใหม่ไปเกือบ 2 ปี ครั้งนี้จึงถือเป็นการอัพเกรดครั้งใหญ่สำหรับ Galaxy Buds เลยก็ว่าได้ครับ
ดีไซน์ใหม่หมด มีลูกเล่นไฟ LED สวมใส่กระชับ และสบายขึ้น
สำหรับดีไซน์ของ Galaxy Buds3 Pro | Galaxy Buds3 ทั้งคู่เปลี่ยนจากดีไซน์แบบเมล็ดถั่วในรุ่นก่อนหน้า มาเป็นหูฟังไร้สาย TWS แบบมีก้านหูฟัง มีชื่อเรียกว่าดีไซน์แบบ Blade ซึ่งส่วนตัวผมชอบดีไซน์แบบนี้มากกว่าแบบเดิม เนื่องจากสวมใส่ง่าย การสั่งการหูฟังใช้การบีบ, รูดที่บริเวณก้านหูฟัง ควบคุมได้สะดวก และแม่นยำกว่าการที่ต้องมาเคาะ ๆ ที่บริเวณตัวหูฟังเหมือนรุ่นก่อนหน้า
น้ำหนักที่ตัวหูฟังก็ถือว่าเป็นหูฟังที่มีน้ำหนักเบาทีเดียวครับ โดย Galaxy Buds3 มีน้ำหนักข้างละ 4.7 กรัม และมีน้ำหนัก 5.4 กรัมสำหรับ Galaxy Buds3 Pro ส่วนเรื่องการสวมใส่ นอกจากจะใส่สบายแล้ว ผมว่าทั้งคู่ยังสวมใส่ได้กระชับทีเดียว ผมสามารถใส่วิ่งออกกำลังกายได้สบาย ๆ ไม่มีหลุด
ความแตกต่างระหว่าง Galaxy Buds3 Pro กับ Galaxy Buds3 ในด้านการดีไซน์ จะอยู่ที่ประเภทของหูฟังที่แตกต่างกัน โดย Galaxy Buds3 Pro เป็นหูฟังแบบ In-ear มีจุกเข้าไปในโพรงหู เพื่อให้เสียงที่ครบถ้วนรอบด้าน
ส่วน Galaxy Buds3 เป็นหูฟัง Earbuds แบบ Open Type เน้นให้ใส่สบายขึ้นเมื่อใส่หูฟังเป็นเวลานาน
ส่วนมาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่น ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับมาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่น IP57 อยู่ในระดับที่สามารถจุ่มน้ำได้ลึก 1 เมตร เป็นเวลา 30 นาที ถือเป็นอีกจุดแข็งเลยก็ว่าได้ครับ เพราะปกติพวกหูฟัง TWS มักจะกันแค่ละอองน้ำ หรือน้ำกระเซ็นที่ IPX4 เท่านั้น
อีกหนึ่งความพิเศษในด้านการดีไซน์ของ Galaxy Buds3 Pro อยู่ที่บริเวณก้านหูฟัง จะมี Blade Lights ที่เพิ่มความสวยงาม และช่วยในการบอกสถานะการทำงานของหูฟัง สามารถเลือกรูปแบบการแสดงผลของไฟ Blade Lights ผ่านทางแอปพลิเคชั่น Galaxy Wearable
นอกจากดีไซน์ของหูฟังจะเปลี่ยนไปแล้ว เคสชาร์จของทั้ง Galaxy Buds3 Pro | Galaxy Buds3 ก็มีการเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ บริเวณฝาด้านบนจะเป็นแบบใส มองเห็นหูฟังที่เก็บอยู่ภายใน ตัวเคสมีน้ำหนักเบาเพียง 46.5 กรัม พกพาสะดวกทีเดียวครับ ส่วนสีที่วางจำหน่าย จะมีด้วยกัน 2 สี ได้แก่ สีเงิน Silver และสีขาว White
คุณภาพเสียง การฟังเพลง การใช้งาน
Samsung Galaxy Buds3 Pro มาพร้อมกับไดรเวอร์จำนวน 2 ตัว ประกอบไปด้วย 10.5mm Dynamic Driver และ 6.1mm Planar Tweeter แยกกันระหว่างเสียงย่านต่ำ กับเสียงย่านกลาง – สูง ส่วน Galaxy Buds3 จะมีไดรเวอร์แบบ 1-Way 11mm Dynamic Driver เพราะฉะนั้นในแง่ของคุณภาพเสียง Galaxy Buds3 Pro จะให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า โดยเฉพาะในย่านความถี่สูง จะให้เสียงที่ใสกว่าอย่างชัดเจน และยังรองรับคุณภาพเสียงระดับ Ultimate Hi-Fi (24bit / 96kHz)
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองรุ่นก็ให้เสียงที่ดีทีเดียวครับ ตัวหูฟังถูกจูนมาให้มีความ Color คือโดยเนื้อเสียงเดิม ๆ ก็ฟังเพลงได้สนุกอยู่แล้ว ทั้งคู่ให้เสียงเบสที่จับต้องได้ ฟังเพลงแนว Pop, R&B นี่ก็ถือว่าเข้าทาง และด้วยเวทีเสียงที่ไม่อึดอัด รวมกับการแยกชิ้นดนตรีที่ทำได้ค่อนข้างดี ส่วนตัวเลยมองว่า Galaxy Buds3 Pro | Galaxy Buds3 เหมาะกับการฟังเพลงได้หลากหลายแนว โดยเฉพาะ Galaxy Buds3 Pro นี่ฟังได้ตั้งแต่ Pop, Rock ยันดนตรี Classic เลยล่ะครับ ส่วนใครที่เป็นสายเล่นเกม Galaxy Buds3 Pro และ Galaxy Buds3 ก็มาพร้อมกับ Gaming mode ที่จะลดเรื่องความหน่วงให้น้อยที่สุด
ทั้ง Galaxy Buds3 Pro | Galaxy Buds3 ยังสามารถปรับ Equalizer ให้เหมาะสมกับการฟังเพลงในแต่ละแนว หรือการใช้งานในแต่ละด้านได้ดีมากยิ่งขึ้น เช่น เลือก EQ แบบ Bass boost เวลาฟังเพลงแนว Hip-hop ก็จะให้เสียงย่านต่ำ หรือเสียงเบสที่ทรงพลังขึ้น มีความกระแทกกระทั้นมากขึ้น หรือถ้าฟัง Podcast ก็สามารถเลือก EQ แบบ Clear ที่ช่วยเสริมให้เสียงย่านกลาง หรือเสียงพูดให้โดดเด่นขึ้นได้เช่นกัน
ด้านระบบตัดเสียงรบกวน Galaxy Buds3 Pro | Galaxy Buds3 มาพร้อมกับระบบตัดเสียงรบกวนแบบ ANC แต่ถ้าเป็นรุ่นโปร จะให้การตัดเสียงรบกวนที่ดีกว่า จากทั้งหูฟังที่เป็นแบบ In-ear ตัดเสียงรบกวนได้ในระดับหนึ่ง + ANC รวมถึงในรุ่นโปรยังมีฟีเจอร์ในการสลับโหมดตัดเสียงรบกวน กับโหมด Ambient อัตโนมัติด้วย AI ตามสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น เมื่อ AI ตรวจจับได้ว่ามีการสนทนา หรือได้ยินเสียงไซเรน ก็จะเปลี่ยนจากโหมดตัดเสียงรบกวน มาเป็นโหมด Ambient ได้ทันที
ไมโครโฟนของทั้ง Galaxy Buds3 Pro | Galaxy Buds3 เก็บเสียงพูดได้ดี ด้วยเทคโนโลยี VPU และยังมีไมโครโฟนหลายตัว ด้านการตัดเสียงรบกวนภายนอกได้ในระดับหนึ่ง และยังมี Super-Wideband call ที่ช่วยขยายช่วงความถี่ของเสียงพูดให้กว้างขึ้น ทำให้การสนทนาดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ Galaxy Buds3 Pro ยังมาพร้อมกับ Galaxy AI อย่างการแปลภาษาแบบเรียลไทม์ (Interpreter) เมื่อเชื่อมต่อกับ Galaxy Smartphone รุ่นที่รองรับ Galaxy AI หรือจะเป็นการรองรับคำสั่งเสียง Voice Command สั่งควบคุมเพลง, ลดเสียงเพิ่มเสียง หรือแม้แต่การรับสายโทรศัพท์ได้โดยที่ไม่ต้องแตะที่หัวหูฟัง (ตอนนี้รองรับภาษาอังกฤษ กับภาษาเกาหลี)
แบตเตอรี่และการชาร์จไฟ
แบตเตอรี่ของทั้ง Galaxy Buds3 และ Buds3 Pro จัดว่าเป็นหูฟังแบบ TWS ที่แบตอึดมาก ๆ ทีเดียวครับ โดย Galaxy Buds3 สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานถึง 5 ชั่วโมงเมื่อเปิด ANC และ 6 ชั่วโมงเมื่อปิด ANC ส่วน Galaxy Buds3 Pro จะใช้งานได้ 6 ชั่วโมงเมื่อเปิด ANC และ 7 ชั่วโมงเมื่อปิด ANC
ส่วนเรื่องการใช้งาน เมื่อรวมกับพลังงานจากเคสชาร์จ ทั้งสองรุ่นจะสามารถใช้งานได้รวมสูงสุดถึง 30 ชั่วโมง ต่อการชาร์จไฟเต็ม 100% ซึ่งผมว่าเพียงพอมาก ๆ สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน หรือต่อให้เป็นการเดินทางในไฟลท์ยาว ๆ ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาแต่อย่างใดครับ
ด้านการชาร์จไฟ ทั้งคู่มาพร้อมกับระบบชาร์จเร็ว ทำให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้อย่างรวดเร็ว ในระดับที่ว่าชาร์จเพียงไม่กี่นาทีก็สามารถใช้งานต่อได้อีกหลายชั่วโมง และยังรองรับการชาร์จไร้สาย เพื่อความสะดวกในการใช้งานอีกด้วย
ภาพรวมสำหรับ Galaxy Buds3 Pro และ Galaxy Buds3 ก็ถือว่าสมกับการรอคอย รอบนี้ปรับเปลี่ยนใหม่หมดในทุกด้าน เริ่มจากการดีไซน์ที่สวมใส่สบาย มีลูกเล่นไฟ Blade Lights เสริมความโดดเด่นตอนสวมใส่หูฟัง คุณภาพเสียงระดับ Ultimate Hi-Fi ฟังเพลงสนุก ปรับเปลี่ยน EQ ได้ตามการใช้งาน ไปจนถึงการปรับแต่งเสียง และการใช้งาน Galaxy AI ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานได้ดีขึ้นมากเลยทีเดียว
ราคา และการวางจำหน่าย
- Galaxy Buds3 Pro วางจำหน่ายในราคา 7,490 บาท
- Galaxy Buds3 วางจำหน่ายในราคา 5,490 บาท