หลังจากมือถือ 5G ได้ฤกษ์วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการไปตั้งแต่เมื่อปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าในช่วงแรก ๆ นั้นจะอยู่ในมือถือระดับท็อปก่อน และก็เป็นไปตามที่หลายคนคาดการณ์ครับ ว่าในปีนี้เราจะได้สัมผัสมือถือ 5G ในราคาย่อมเยาเข้าถึงง่ายขึ้นมาก อย่างเครื่องในรีวิวนี้ก็มีราคาเปิดที่เกินครึ่งหมื่นมานิดนึง นั่นคือ Redmi Note 10 5G ที่พร้อมให้ใช้งานเครือข่าย 5G ในไทย พร้อมด้วยสเปคในระดับที่ตอบโจทย์แบบทั่วไปได้อย่างสบาย ๆ ในราคาเริ่มแค่ 5,999 บาทเท่านั้น
โดยตัวของ Redmi Note 10 5G ได้รับการออกแบบมาเพื่อเน้นการใช้งานสมาร์ตโฟนระดับพื้นฐานได้ค่อนข้างครบถ้วน เน้นตรงที่สามารถใช้ความเร็วเน็ตในระดับ 5G ได้ ทำให้เหมาะกับทั้งการใช้เป็นมือถือเครื่องหลัก และการใช้เป็นเครื่องรองในระยะยาวได้แบบไม่มีปัญหา เนื่องด้วยสเปคที่ให้มาคุ้มค่ากับราคา รวมถึงงานประกอบเองก็จัดว่าดีมาก ๆ เลยด้วย
สเปค Redmi Note 10 5G
- ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 700 5G (8 คอร์) 2.2 GHz
- แรม มีให้เลือกทั้งรุ่น 4 และ 8 GB
- พื้นที่เก็บข้อมูล 128 GB UFS 2.2 มีช่องใส่ MicroSD แยกให้
- หน้าจอ IPS ขนาด 6.5″ FHD+ (2400×1080) 90 Hz AdaptiveSync
- กล้องหลัง 3 เลนส์
- เลนส์ไวด์ปกติ 48MP f/1.79
- เลนส์มาโคร 2MP f/2.4
- เลนส์ depth 2MP f/2.4
- กล้องหน้า 8MP f/2.0
- มีระบบปลดล็อกด้วยการสแกนใบหน้า และสแกนลายนิ้วมือ (ด้านข้างเครื่อง)
- มีช่อง 3.5 มม.
- มี NFC
- ช่องใส่นาโนซิม 2 ช่อง รองรับการสแตนด์บาย 5G ได้ทั้ง 2 ช่อง (5G+5G Dual Sim Dual Standby)
- Android 11 ครอบมาด้วย MIUI 12
- แบตเตอรี่ 5000 mAh รองรับการชาร์จไวสูงสุดที่ 18W ผ่านช่อง USB-C
- มีอินฟราเรด IR blaster
- รองรับ WiFi 5GHz / Bluetooth 5.1
- ราคา Redmi Note 10 5G รุ่นแรม 4 GB เริ่มที่ 5,999 บาท
- ราคา Redmi Note 10 5G รุ่นแรม 8 GB เริ่มที่ 6,999 บาท
ในแง่ของสเปคเครื่อง ต้องบอกว่ารุ่นนี้ออกมาค่อนข้างตอบโจทย์สายใช้งานทั่วไปได้ค่อนข้างครบ ตัวชิปเองให้ประสิทธิภาพในระดับพื้นฐานได้ดี พื้นที่เก็บข้อมูลก็ให้มาพอสมควร ทั้งยังเพิ่ม MicroSD ได้ด้วย การเชื่อมต่อต่าง ๆ ก็ครบครันดี ทั้งแบบมีสายและไร้สาย แต่จะขัด ๆ นิดนึงตรงเลนส์กล้องหลังที่แม้จะให้มา 3 เลนส์ก็จริง แต่จะไม่มีเลนส์อัลตร้าไวด์เพื่อการเก็บภาพมุมกว้างพิเศษ ใครที่เป็นสายออกทริปก็อาจจะต้องอาศัยการเดินถอยนิดนึงเพื่อหามุมแทนนะครับ
ตัวเครื่อง ดีไซน์
เริ่มกันตั้งแต่แกะกล่องเลย แน่นอนว่าหน้ากล่องก็จะมีระบุรุ่น Redmi Note 10 5G มาให้ชัด ๆ ไม่ต้องกลัวหยิบผิด
ด้านข้างจะมีสติกเกอร์ระบุข้อมูลต่าง ๆ ของตัวเครื่อง รวมถึงอุปกรณ์ที่แถมมาในกล่องด้วย ได้แก่
- อะแดปเตอร์ชาร์จไฟที่เป็นช่อง USB-A จ่ายไฟได้สูงสุด 10V 2.25A (22.5W)
- สาย USB-C to USB-A
- เข็มจิ้มถาดใส่ซิมการ์ด
- เคสซิลิโคน
- เอกสารคู่มืออีกนิดหน่อย
ส่วนหูฟัง อันนี้ไม่มีแถมมาให้นะครับ ซึ่งเป็นตามปกติของเครื่องส่วนใหญ่ในกลุ่มแบรนด์ Mi อยู่แล้ว
ฝั่งหน้าจอของก็จะใช้เป็นแบบ DotDisplay ที่มีการเจาะช่องสำหรับกล้องหน้าไว้ที่ตรงกลางด้านบนจอ ตัวจอสามารถแสดงสีสันและความสว่างได้ดีเกินราคา สามารถใช้งานกลางแจ้งได้ ส่วนเรื่องรีเฟรชเรต จะมีตัวเลือกให้ปรับได้ว่าจะใช้ค่าสูงสุดที่ 60 หรือ 90Hz โดยค่าเริ่มต้นจะปรับมาที่ 60Hz เท่านั้น ถ้าอยากใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเครื่อง ก็ให้เข้าไปปรับจากในเมนูการตั้งค่าของจอซะก่อน
แต่อย่างไรก็ตาม ที่จริงแล้วจอของเครื่องนี้จะเป็นแบบ AdaptiveSync ที่ระบบจะปรับรีเฟรชเรตจริงตามการใช้งานขณะนั้น โดยมีทั้ง 30 50 60 และ 90Hz เพื่อลดการใช้พลังงานลง ส่งผลให้สามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานยิ่งขึ้นกว่าการใช้รีเฟรชเรตสูงสุดเพียงค่าเดียวตลอดเวลา โดยทาง Redmi ระบุถึงประเภทคอนเทนต์ที่ใช้รีเฟรชเรตต่าง ๆ ไว้ดังนี้
- 90Hz – เล่นเกม (เกมต้องรองรับด้วย)
- 60Hz – ดูวิดีโอแบบสตรีมมิ่ง
- 50Hz – การแสดงผลภาพนิ่ง
- 30Hz – สำหรับเล่นวิดีโอทั่วไป
ฝาหลังเป็นพลาสติกที่มีการออกแบบพื้นผิวให้ดูพรีเมียมคล้ายกับการใช้กระจก มีขอบมุมที่โค้งมนในแบบ 3D ที่ทำให้สามารถจับถือได้กระชับมือ สำหรับเครื่องที่เรารีวิวในครั้งนี้จะเป็นสีเทา Graphite Gray ที่ทำออกมาได้ดูดีเลย
น้ำหนักของตัวเครื่องเปล่าอยู่ที่ประมาณ 190 กรัม ซึ่งจัดว่าอยู่ในระดับกลางค่อนไปทางหนักนิด ๆ สำหรับยุคนี้ แต่ด้วยการออกแบบฝาหลัง ทำให้สามารถจับเครื่องได้ถนัดมืออยู่
บริเวณโมดูลกล้องหลังจะเป็นเพลตนูนขึ้นมา ซึ่งถ้าใส่เคสก็จะมีขอบนูนที่ขึ้นมาช่วยป้องกันบริเวณนี้ได้พอดี ภายในมีเลนส์กล้องด้วยกัน 3 เลนส์ พร้อมด้วยไฟแฟลช LED
บริเวณด้านบนเครื่อง หลัก ๆ เลยจะมีจุดปล่อยแสงอินฟราเรด และก็ช่อง 3.5 มม. สำหรับเสียบแจ็คหูฟัง ลำโพง ทำให้สามารถฟังเพลงในระดับ Hi-res ได้อย่างง่ายดาย ส่วนลำโพงสนทนาจะอยู่ในจุดที่เป็นช่องตะแกรงที่อยู่ตรงบริเวณขอบจอ เลยขึ้นมาที่ขอบบนเครื่องเล็กน้อย
ส่วนด้านล่างจะมีช่องรับเสียงของไมค์สนทนา ช่อง USB-C และก็ลำโพง
ฝั่งซ้ายมีช่องถาดใส่ซิม ซึ่งภายในจะมีช่องนาโนซิม 2 ช่อง และก็ช่อง MicroSD แยกมาให้อีก 1 ช่องเลย
ส่วนฝั่งขวานั้นจะมีปุ่ม Power แบบกดลงไปได้ ที่มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือติดตั้งมาให้ด้วย ถัดขึ้นมาเล็กน้อยเป็นแผงปุ่มเพิ่ม/ลดเสียงที่ใช้พลาสติกชิ้นเดียวกันทั้งหมด และจากมุมนี้จะเห็นชัดเลยว่ากล้องหลังนั้นนูนขึ้นมาเป็นแถบเลยทีเดียว
ซึ่งถ้าต้องการปกป้องส่วนนูนของกล้องหลัง ก็แนะนำว่าควรใส่เคสครับ โดยเคสที่แถมมาในกล่องจะเป็นแบบ TPU ขุ่นนิด ๆ ที่ค่อนข้างหนา สามารถพับงอได้ โดยจะมีฝาปิดพอร์ต USB-C มาให้ด้วย
ซอฟต์แวร์และฟีเจอร์น่าสนใจ
Redmi Note 10 5G มาพร้อมกับ Android 11 ที่ครอบมาด้วย MIUI 12.0.2 แพตช์อัพเดตล่าสุดในตอนที่รีวิวคือแพตช์ของเดือนเมษายนที่ผ่านมา พื้นที่เก็บข้อมูลตามสเปค 128 GB เหลือให้ใช้งานตอนเปิดเครื่องที่ประมาณ 107 GB
และตามที่รีวิวไปแล้วในส่วนของหน้าจอว่าสามารถปรับเปลี่ยนค่ารีเฟรชเรตสูงสุดได้ ซึ่งมันจะอยู่ในเมนูการตั้งค่าหน้าจออีกทีนึง โดยค่าเริ่มต้นจะตั้งมาไว้ที่ 60Hz เท่านั้น ถ้าต้องการใช้งานแบบเต็มสเปคก็ให้เข้ามาปรับเป็น 90Hz ก่อน แลกมาด้วยการกินแบตเพิ่มขึ้นอีกนิดนึง แต่ได้ความลื่นไหลของภาพที่สบายตากว่า โดยเฉพาะการเลื่อนหน้าจอยาว ๆ เช่น การไถดูฟีด Facebook เป็นต้น ส่วนเรื่องการใช้งานแบตเตอรี่ เท่าที่ผมใช้งานมา ก็ไม่ได้พบว่ามันกินแบตมากอย่างเห็นได้ชัดขนาดนั้น สามารถเปิด 90Hz เพื่อใช้งานตลอดวันได้เลย
ดังนั้น ถ้าอยากจะใช้งาน Redmi Note 10 5G เครื่องนี้ได้แบบเต็มที่ตลอดวัน ก็เปิด 90Hz ไปเลยครับ ระบบ AdaptiveSync ช่วยเซฟแบตได้แน่นอน
หรือถ้าต้องการจะเซฟแบตเพิ่มขึ้นไปอีก MIUI 12 ในเครื่องก็มีโหมดประหยัดแบตเตอรี่มาให้เลือกใช้งานด้วย โดยมีทั้งระดับธรรมดา ที่จะลดการทำงานของแอปเบื้องหลัง แอประบบลง ช่วยเคลียร์แคชหลังปิดหน้าจอ และปิดการทำงานของฟีเจอร์ที่กินแบตหนัก ๆ (เช่น 5G) ลง และก็ระดับ Ultra ที่จะลดระดับการทำงานของฟีเจอร์เสริมอื่น ๆ ลงเกือบทั้งหมด แต่ยังใช้โทรศัพท์ รับส่ง SMS และเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้อยู่ เพื่อการใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานที่สุด
ส่วนฟีเจอร์อื่น ๆ ที่น่าสนใจก็เช่น Floating windows ที่สามารถลากการแจ้งเตือนที่ปรากฏขึ้นมาตรงส่วนบนของหน้าจอ ออกมาเป็นหน้าจอแอปลอย ๆ ทับหน้าจอปัจจุบันได้ เพื่อการอ่านข้อมูล และตอบกลับการแจ้งเตือนนั้นได้อย่างเต็มที่
ถัดมาก็เป็น Lite mode ที่จะปรับ UI หน้าจอเครื่องให้ใช้งานง่ายขึ้น โดยปรับไอคอน และตัวหนังสือให้ใหญ่กว่าเดิม เหมาะกับการให้ผู้สูงอายุใช้งาน
ฟังก์ชันเสริมที่เกี่ยวกับเกมก็จะมี Game Turbo ที่ช่วยจัดการทรัพยากร และการทำงานต่าง ๆ ของระบบให้เหมาะกับการเล่นเกมที่สุด โดยจะมีสิ่งที่สามารถตั้งค่าได้ค่อนข้างหลากหลาย ไล่มาตั้งแต่ระดับประสิทธิภาพการทำงานของเครื่อง การจัดการแรม แบนด์วิธอินเตอร์เน็ต คุณภาพของเสียง ไปจนถึงสามารถปิดระบบปรับแสงสว่างจออัตโนมัติได้ ปิดข้อความแจ้งเตือน เป็นต้น ส่วนเรื่องการควบคุมในเกม ก็สามารถปรับความไวต่อการสัมผัสปุ่มบนจอแยกตามแต่ละเกมได้ด้วย
กล้องของ Redmi Note 10 5G
มาถึงส่วนการทดสอบกล้องของ Redmi Note 10 5G กันบ้างครับ สำหรับในแง่ของฟีเจอร์นั้นก็มาค่อนข้างครบสำหรับการเป็นสมาร์ตโฟนในยุคนี้เลย คือมีระบบ AI Vision ที่ช่วยปรับจูนสีสันในภาพให้เหมาะสมกับซีนต่าง ๆ เช่น ซีนการถ่ายภาพท้องฟ้า ทะเล สัตว์ เป็นต้น ส่วนโหมดในการถ่ายก็จะมีค่อนข้างหลากหลาย เช่น ออโต้ โหมดโปร โหมด portrait สำหรับถ่ายภาพบุคคล โหมดความละเอียดสูง (48MP) โหมดมาโคร เป็นต้น
ในการถ่ายภาพกลางแจ้งที่มีแสงสว่าง ภาพที่ได้ออกมานั้นจัดว่าดีเกินตัวมาก โดยเฉพาะเรื่องความคมชัดในรายละเอียดเล็ก ๆ ส่วนการเก็บความสว่าง และรายละเอียดในส่วนมืดของภาพ ตัวระบบ HDR ก็ทำงานได้ค่อนข้างดีครับ พอจะขุดขึ้นมาได้บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับขั้นทำให้ภาพสว่างเกินกว่าที่ตาเห็น
ตัวระบบ AI นั้นก็ประมวลผลและเลือกซีนของภาพได้ค่อนข้างแม่นยำ โดยจุดต่างระหว่างภาพที่มี AI ช่วย (ภาพบน) กับภาพที่ปิดระบบ AI (ภาพล่าง) หลัก ๆ เลยก็จะเป็นเรื่องสีสันที่ภาพบนจะดูจัดจ้านกว่า ซึ่งถ้าหากมองว่าสีจัดเกินไป ก็สามารถกดปิดระบบ AI จากปุ่มบนหน้าจอแอปกล้องได้เลย โดยภาพที่ออกมาก็จะตรงกับสีที่ตาเห็นมากกว่ากันนิดนึง
สำหรับการวัดและชดเชย white balance ส่วนตัวผมรู้สึกว่า Redmi Note 10 5G เครื่องนี้ทำได้ค่อนข้างแม่นยำพอตัวเลย เมื่อเทียบกับมือถือรุ่นอื่น ๆ ในช่วงราคาใกล้เคียงกัน รวมถึงเรื่องความเร็วในการโฟกัสด้วย
โหมดมาโครจะเป็นเลนส์ fixed มีระยะในการโฟกัสใกล้สุดประมาณ 4 เซนติเมตร เรื่องความคมชัดก็จัดว่าทำได้โอเคเลย
จะใช้เลนส์ไวด์ปกติในการถ่ายอาหารก็สบายมาก แม้จะไม่ได้มีโหมดถ่ายอาหารมาให้โดยเฉพาะก็ตาม
ส่วนการถ่ายภาพกลางคืน ก็จะมีโหมดถ่ายกลางคืนมาให้ใช้งานโดยเฉพาะ ซึ่งผมก็ลองถ่ายจุดเดียวกัน เทียบระหว่างปิดกับเปิดโหมดถ่ายกลางคืนแล้ว พบว่าความสว่างของภาพที่ได้นั้นต่างกันอย่างเห็นได้ชัด อย่างในภาพด้านบนนี้เป็นภาพที่ได้จากการใช้โหมดกลางคืน จะเห็นว่าสามารถเก็บแสงเข้ามาในระดับที่มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ในภาพได้เลย ส่วนเรื่องความคมชัดก็ตามราคาครับ รายละเอียดปลีกย่อยอาจจะดูเบลอ ๆ นิดนึง
ด้านล่างนี้เป็นแกลเลอรี่รวมภาพถ่ายจากกล้องของ Redmi Note 10 5G ครับ คลิกเพื่อดูทีละภาพได้เลย
ทดสอบประสิทธิภาพ และการเล่นเกม
ลองจับเครื่องมาทดสอบประสิทธิภาพเชิงตัวเลขด้วยแอปต่าง ๆ ดูบ้าง ซึ่งก็แน่นอนครับ คะแนนที่ออกมาจากชิป MediaTek Dimensity 700 5G ที่เป็นชิประดับ 7nm นั้นจะเกาะอยู่ในกลุ่มเครื่องระดับกลาง ๆ ไม่สูงมากนัก อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวันได้ ใช้แอป ดูหนัง ฟังเพลงได้สบาย แต่อาจจะใช้งานที่ต้องประมวลผล และกราฟิกหนัก ๆ ได้ไม่ค่อยทันใจอยู่บ้าง
ส่วนตัวชิปรอมที่เป็น UFS 2.2 นั้น ผลทดสอบความเร็วจากแอป AndroBench พบว่าสามารถทำความเร็วในการอ่านแบบ sequential ได้ราว 918 MB/s เขียนได้ 404 MB/s ซึ่งสูงมาก ๆ ทำให้การเรียกใช้แอป เรียกหาข้อมูลทำได้ค่อนข้างเร็วทันใจ
ในการทดสอบความเร็วอินเตอร์เน็ต อันที่จริงแล้ว 5G จะทำความเร็วได้สูงกว่าในภาพด้านบนนะครับ แต่ช่วงที่ทดสอบ น่าจะเป็นช่วงที่มีการปรับปรุง cellsite อยู่ ความเร็วเลยไม่สูงอย่างที่ควรจะเป็น แต่อย่างไรก็ตาม ก็จัดว่ายังสูงกว่า 4G LTE ที่ใช้งานทั่วไปอยู่ดี
ปิดท้ายด้วยการเช็คเวอร์ชันของมาตรฐาน Widevine พอเห็นผลแล้วก็หายห่วงเลยครับ เพราะมาในระดับ L1 ทำให้สามารถรับชมเนื้อหาจากบริการสตรีมมิ่งหลาย ๆ ตัวในระดับ HD ได้แน่นอน
ส่วนการใช้งานแบตเตอรี่ ด้วยแบตความจุ 5000 mAh ทำงานร่วมกับฮาร์ดแวร์ที่ไม่ได้กินไฟโหดจนเกินไป ทำให้สามารถใช้งานในหลักข้ามวันได้เลย
ลองกับเกมกินสเปคมือถืออย่าง Genshin Impact สำหรับกราฟิกที่เกมแนะนำมาให้ก็จะเป็นระดับต่ำสุด 30FPS เพื่อความลื่นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งผมก็ลองปรับเป็น 60FPS ดู พบว่าสามารถเล่นได้เหมือนกัน แต่อาจจะมีการกระตุกบ้างตอนแพนกล้องไว ๆ ดังนั้นถ้าอยากจะให้ชัวร์ ๆ หน่อย ก็ใช้กราฟิกระดับต่ำสุด 30FPS จะดีกว่า
ส่วน RoV สามารถปรับได้สูงสุดตามภาพด้านบนครับ ไม่มีโหมดเฟรมเรตสูงให้ใช้งาน ทำให้ระหว่างเล่นเกม จะได้เฟรมเรตอยู่ที่ระดับ 30FPS แบบนิ่ง ๆ แทบไม่เจออาการแกว่งให้เห็นเลย
ด้านของเกมยิงสุดฮิตอย่าง PUBG Mobile ก็ปรับได้สูงสุดที่ระดับ HD เฟรมเรต High อันนี้ลื่นมาก เล่นได้สบาย
สรุปรีวิว Redmi Note 10 5G
Redmi Note 10 5G จัดเป็นมือถือรุ่นใหม่ที่ทำราคาออกมาได้น่าสนใจมาก สำหรับคนที่อยากลองใช้งาน 5G ในไทย ด้วยราคาเริ่มต้นที่เกินครึ่งหมื่นขึ้นมานิดหน่อย จะใช้งานเป็นเครื่องหลักหรือเครื่องรองก็ทำได้ไม่มีปัญหา ด้วยสเปคในภาพรวมที่เพียงพอสำหรับการใช้งานพื้นฐานได้แทบทุกรูปแบบ ซึ่งถ้าให้แนะนำ หากคุณต้องการซื้อมาใช้เป็นเครื่องหลักไปเลย อาจจะไปมองตัวรุ่นแรม 8 GB ที่ราคาเพิ่มจากรุ่นเริ่มต้น 1,000 บาท เพื่อการใช้งานในระยะยาวได้แบบไม่ต้องเสียดายภายหลัง แต่ถ้าจะใช้เป็นเครื่องรอง ใช้งานพื้นฐานที่ไม่หนักมาก รุ่นแรม 4 GB ก็รับมือได้สบาย
ดีไซน์โดยรวมก็ทำออกมาได้ร่วมสมัย ลงตัว ทำให้สามารถใช้งานได้ง่าย จะเสียดายก็ตรงที่กล้องหลังไม่ได้ใส่เลนส์อัลตร้าไวด์มาให้ จึงทำให้เรื่องกล้องนั้นอาจจะยังไม่ได้โดดเด่นเหนือมือถือ 5G ราคาเบา ๆ รุ่นอื่นในท้องตลาดมากนัก แต่จริง ๆ แล้วแค่เรื่องราคา กับความครบเครื่องโดยรวม ก็ต้องบอกว่า Redmi Note 10 5G ทำออกมาได้น่าสนใจมาก ๆ ตามสไตล์ของแบรนด์เลยทีเดียว