รีวิวสมาร์ตโฟน realme ไปเยอะแล้ว ก็ถึงคราวรีวิว realme AIoT กันบ้าง เพราะนอกจากผลิตภัณฑ์ที่เป็นสมาร์ตโฟน ในตอนนี้ realme ก็ได้เริ่มวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประเภท AIoT ที่ออกแบบมาเพื่อการทำงานร่วมกับสมาร์ตโฟน ล่าสุดกับ 4 ผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ ได้แก่ หูฟัง realme Buds Air Pro, นาฬิกา realme Watch S, กล้อง realme Smart Cam 360 และเครื่องชั่งน้ำหนักอัจฉริยะ realme Smart Scale
วิดีโอรีวิว realme AIoT
การเชื่อมต่อ
ทุกอุปกรณ์ AIoT ของทาง realme ออกแบบมาให้เชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนได้ ผ่านแอปพลิเคชั่นเดียวเลยก็คือ realme Link สามารถดาวน์โหลดได้ใน Play Store หรือหากใครใช้สมาร์ตโฟน realme ก็จะถูก Pre-load มาตั้งแต่แรกแล้ว สำหรับจุดแข็งของแอป realme Link สำหรับผมก็คือ เชื่อมต่อกับทุกอย่างได้ง่ายมาก
ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ AIoT เพียงแค่เปิดแอป realme Link แล้วเปิดใช้งานอุปกรณ์ AIoT ไว้ข้าง ๆ โทรศัพท์ ตัวแอปก็จะค้นหาให้เองโดยอัตโนมัติ ผู้ใช้แค่แตะเชื่อมต่อ เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย โดยข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงการแจ้งเตือน และการตั้งค่า สามารถ AIoT จัดการได้จบในแอป realme Link เพียงแอปเดียว
รีวิว realme Buds Air Pro ราคา 2,999 บาท
เริ่มกันที่หูฟังไร้สายรุ่นใหม่ล่าสุดจากทาง realme ในรุ่น Buds Air Pro วางจำหน่ายในราคา 2,999 บาท มีจุดเด่นที่ระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Active Noise Cancellation (ANC) ที่ใช้ชิป S1 ในการตัดเสียงรบกวน ในขณะที่มีอัตราการใช้พลังงานต่ำ ทำให้ใช้งานได้อย่างยาวนาน และยังมาพร้อมกับ Transparency mode หรือโหมดฟังเสียงภายนอก ทำให้ผู้ใช้สามารถสนทนากับบุคคลอื่นได้โดยไม่ต้องถอดหูฟัง
สำหรับระบบตัดเสียงรบกวนของ realme Buds Air Pro จะประกอบไปด้วย 2 ระบบ ได้แก่ ระบบตัดเสียงแบบ passive จากดีไซน์หูฟังที่เป็นแบบ In-Ear มีจุกซิลิโคนช่วยกันเสียงรบกวนได้ในระดับหนึ่ง กับระบบตัดเสียงแบบ active ที่ใช้ไมโครโฟน 2 ตัว สำหรับการตัดเสียงรบกวน สามารถลดเสียงรบกวนได้สูงสุด 35 เดซิเบล หลักการของระบบตัดเสียงแบบ active ก็เหมือนกับหูฟัง ANC ปกติทั่วไป คือใช้ไมโครโฟนรวมเสียงรบกวนภายนอก จากนั้นสร้างความถี่เสียงย้อนกลับเพื่อตัดเสียงรบกวน
ข้อดีอีกอย่างของการมีไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน 2 ตัว ของหูฟังรุ่นนี้ เลยทำให้มีโหมดที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นมาอย่าง Transpraency mode หรือโหมดฟังเสียงภายนอก เมื่อเปิดโหมดนี้ จะเป็นการรับเสียงภายนอกเข้ามา ความรู้สึกจะเหมือนไม่ได้ใส่หูฟัง สามารถได้ยินเสียงประกาศ, เสียงพูดคุยของคนรอบข้างได้ สามารถประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการฟังเสียงประกาศในรถไฟฟ้า หรือจะเป็นการสนทนากับบุคคลอื่นโดยที่ไม่ต้องถอดหูฟัง
นอกจากนี้ ในเรื่องการสนทนาโทรศัพท์ ไมโครโฟนคู่ของ realme Buds Air Pro ยังมาพร้อมกับระบบลดเสียงรบกวน ENC ที่สามารถคัดกรองเสียงที่ผ่านไมค์เข้ามา หากพบว่ามีเสียงรบกวนจากภายนอก ระบบ ENC ก็จะตัดเสียงรบกวนดังกล่าวออกทันที ส่งผลให้เสียงสนทนามีคุณภาพที่ดีมากขึ้น
ในด้านการออกแบบหูฟัง realme Buds Air Pro เป็นหูฟังประเภท In-Ear ที่ท่อเสียงยื่นเข้าไปในรูหู และใช้จุกซิลิโคนช่วยในการตัดเสียงรบกวน ตัวหูฟังมีน้ำหนักเพียงข้างละ 5 กรัม ถือว่าเบามาก ช่วยให้สามารถใส่ได้นาน โดยที่ไม่รู้สึกล้า และยังรองรับการกันน้ำ กันฝุ่น มาตรฐาน IPX4 กันน้ำในระดับน้ำกระเซ็น ฝน และเหงื่อได้
การควบคุมหูฟัง จะใช้ระบบควบคุมแบบสัมผัส และคำสั่งเสียง มีรูปแบบคำสั่งดังนี้
แตะ 1 ครั้ง |
รับสายโทรศัพท์ |
แตะ 2 ครั้ง |
เล่นหรือหยุดเพลงชั่วคราว |
แตะ 3 ครั้ง |
ไปยังเพลงถัดไป |
แตะค้างที่ Buds ข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลา 2 วินาที |
เปลี่ยน Mode การใช้งาน |
แตะค้างที่ Buds ทั้ง 2 ข้างเป็นเวลา 2 วินาที |
เข้าและออกการใช้งาน Gaming Mode |
**สามารถตั้งค่าการใช้งานแตะ 2 ครั้งหรือแตะ 3 ครั้งเพื่อเรียกการใช้งานผู้ช่วยเสียง** |
|
**นอกจากนี้ยังรองรับการตั้งค่าแบบกำหนดเองได้** |
คุณภาพเสียงของ realme Buds Air Pro ส่วนตัวผมว่าน่าจะถูกใจหลายคน โดยเฉพาะคนที่ชอบฟังเพลงแบบเบสตึ๊บ ๆ ด้วยไดรเวอร์เบสขนาด 10 มิลลิเมตร รองรับ Codec AAC ที่เป็นมาตรฐานของ Music Streaming และโหมด Bass Boost ที่ให้เสียงเบสแน่น ๆ มาเต็ม แนวเพลงที่เหมาะกับหูฟังรุ่นนี้ก็คงหนีไม่พ้นพวกเพลง pop
แต่ถ้าไปฟังเพลงที่มีรายละเอียดชิ้นดนตรีเยอะ ๆ อาจไม่เหมาะเท่าไหร่นัก เนื่องจากเสียงออกแนวแบน ๆ ไปสักหน่อย ส่วนข้อดีอีกอย่างก็คือมาพร้อมกับ Gaming Mode ที่มีความหน่วงเพียง 94ms เพียงพอต่อการใส่เล่นเกมได้สบาย ๆ
โดยรวมผมมองว่า realme Buds Air Pro เป็นหูฟังที่เน้นเรื่องฟีเจอร์ มากกว่าเสียงด้วยซ้ำไป เพราะถ้ามองกันที่ฟีเจอร์ในรุ่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานถึง 25 ชั่วโมง, ระบบตัดเสียงรบกวนแบบ ANC, รองรับระบบชาร์จเร็ว (10 นาที ใช้งานได้ 3 ชั่วโมง และชาร์จเต็มภายใน 1 ชั่วโมง), รองรับ Google Fast Pair และอื่น ๆ ถือว่าให้มาเกินราคา 2,999 บาท
รีวิว realme Watch S ราคา 2,999 บาท
อุปกรณ์ AIoT ชิ้นที่สอง ได้แก่ นาฬิกาอัจฉริยะ realme Watch S เป็นนาฬิกาหน้าปัดกลม จอ LCD ขนาด 1.3 นิ้ว 278 ppi ที่ความสว่างสูงสุด 600 nits พอที่จะใช้งานกลางแดดจัดได้ อีกทั้งตัวฟิล์มหน้าจอยังเป็น 2.5D Gorilla Glass ที่ทนต่อรอยขีดข่วน สามารถเปลี่ยนหน้าปัดนาฬิกาได้มากถึง 100 แบบ
สำหรับตัวเรือน realme Watch S ผลิตจากวัสดุอลูมิเนียมอัลลอยเกรด 6063 ที่มีความแข็งแรง แต่มีน้ำหนักเบา เมื่อรวมกับตัวสายนาฬิกาที่เป็นซิลิโคน จึงทำให้น้ำหนักของรุ่นนี้ เบากว่าสมาร์ตวอชหลายรุ่นในท้องตลาด และด้วยหน้าปัดแบบกลม ที่เหมือนกับนาฬิกาข้อมือปกติทั่วไป จึงทำให้แต่งตัวได้ไม่ยาก
พูดถึงการเป็นนาฬิกาข้อมืออัจฉริยะ สิ่งแรกที่ควรจะทำได้ก็คือเรื่องสุขภาพ โดย realme Watch S มาพร้อมกับเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบ real-time ใช้เซ็นเซอร์ PPG นำเข้าจากทาง Goodix ที่ถูกใช้ในสมาร์ตวอชหลายรุ่น และในหลายยี่ห้อที่ใช้เซ็นเซอร์ตัวนี้ ราคาสูงกว่า realme Watch S ก็มี อีกทั้งสามารถแจ้งเตือนในกรณีที่หัวใจเต้นต่ำ หรือสูงกว่าค่ามาตรฐานได้ด้วย และอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจ คือรุ่นนี้สามารถวัดระดับออกซิเจนในเลือดได้ แจ้งเตือนเมื่อออกซิเจนในเลือดต่ำกว่าเกณฑ์
ในด้านการออกกำลังกาย รุ่นนี้มาพร้อมกับ Sport Mode ที่รองรับกีฬาถึง 16 ประเภท ส่วนมากก็เป็นประเภทการออกกำลังกายมาตรฐาน ได้แก่ การวิ่งกลางแจ้ง การเดินเร็ว การวิ่งในร่ม ปั่นจักรยานกลางแจ้ง แอโรบิค การฝึกกล้ามเนื้อ ฟุตบอล บาสเก็ตบอล เทเบิลเทนนิส แบตมินตัน การปั่นจักรยานในร่ม เครื่องเดินวงรี โยคะ คริกเกต ปั่นจักรยาน เครื่องออกกำลังกายกรรเชียงบก (rowing machine)
ส่วนการเป็นสมาร์ตวอช ที่เชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟน realme Watch S รองรับการแจ้งเตือนบนสมาร์ตโฟนเป็นภาษาไทย สามารถอ่านแชท Facebook, ข้อความ SMS และทุกการแจ้งเตือนได้ รวมถึงการควบคุมเพลงผ่าน Spotify หรือใช้แทนปุ่มชัตเตอร์เพื่อถ่ายภาพ และยังใช้ในการตัดสาย กรณีที่ไม่ต้องการรับโทรศัพท์ในตอนนั้นได้ แต่น่าเสียดายที่นาฬิกาไม่มีไมโครโฟนติดมาให้ จึงไม่สามารถใช้สนทนาโทรศัพท์ได้
สุดท้ายเป็นเรื่องของแบตเตอรี่ realme Watch S มาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 390 mAh ในการใช้งานตามสเปคระบุว่าสามารถใช้งานต่อเนื่องได้ 15 วัน แต่เท่าที่ลองใช้งานมาสักพัก ผมว่า 10 วันชาร์จทีนึงกำลังดี ส่วนเรื่องการชาร์จไฟ ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงก็สามารถชาร์จไฟจาก 0 – 100% เต็มครับ
รีวิว realme Smart Cam 360 ราคา 1,499 บาท
อุปกรณ์ AIoT ชิ้นถัดมา ได้แก่กล้อง realme Smart Cam 360 กล้องวงจรปิดขนาดเล็ก ที่มาพร้อมกับดีไซน์แบบมินิมอล หรือถ้าอยากให้น่ารักกว่านี้ ในกล่องก็ให้สติกเกอร์สำหรับแต่งตัวกล้องวงจรปิดมาด้วยนะครับ
จุดเด่นของ realme Smart Cam 360 คือการเป็นกล้องที่สามารถหมุนได้ 360 องศา เก็บภาพแบบมุมมองพาโนรามา บันทึกวิดีโอได้คมชัดระดับ 1080p Full HD รองรับการบันทึกวิดีโอย้อนแสง WDR ส่วนการบันทึกในที่แสงน้อย มีตัวช่วยอย่าง 3D Noise Cancelling ที่ช่วยลด Noise อีกทั้งมีการใช้ AI เข้ามาช่วยในการตรวจจับการเคลื่อนไหว และแจ้งเตือนผ่านสมาร์ตโฟนได้แบบ real-time
ในการจับภาพตอนกลางคืน รุ่นนี้มาพร้อมกับไฟส่องสว่างอินฟราเรด 940 นาโนเมตรในตัวสามารถเพิ่มการมองเห็นได้ในที่มืด และจะมองไม่เห็นแสงอินฟราเรดของกล้อง เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ และไม่รบกวนคนในบ้าน มีระยะการตรวจจับภาพในตอนกลางคืนไกลถึง 10 เมตร
การบันทึกวิดีโอ รุ่นนี้รองรับการ์ดความจำแบบ microSD ที่ความจุสูงสุด 128GB มาพร้อมตัวเข้ารหัสแบบ H.265 สามารถบันทึกได้ต่อเนื่อง 14 วัน ในกรณีที่เปิดกล้องตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนการเชื่อมต่อ ทำผ่าน realme Link สามารถดูเหตการณ์ต่าง ๆ ผ่านกล้องได้ตลอดเวลาผ่านสมาร์ตโฟน
ฟีเจอร์สุดท้ายที่น่าสนใจของรุ่นนี้ ก็คือมาพร้อมกับไมโครโฟนในตัว สามารถสนทนาผ่านสมาร์ตโฟนไปยังกล้องได้ทันที ความดังของลำโพงที่กล้อง สามารถได้ยินชัดเจนในระยะ 4 เมตร
รีวิว realme Smart Scale ราคา 999 บาท
อุปกรณ์ชิ้นสุดท้ายในกลุ่ม realme AIoT ก็คือเครื่องชั่งน้ำหนักอัจฉริยะ realme Smart Scale ที่สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนได้ ผ่าน realme Link สามารถบันทึกข้อมูลน้ำหนัก, ไขมัน, มวลกระดูก และอื่น ๆ ไว้ในแอปพลิเคชั่น เหมาะกับคนที่ดูแลสุขภาพ หรือต้องการลดน้ำหนัก เพราะการแสดงผลจะเป็นในรูปแบบกราฟ ที่เห็นพัฒนาการชัดเจน
realme Smart Scale ที่ส่งมาให้รีวิวนั้น เป็นตัวเครื่องสีน้ำเงิน ดีไซน์ออกแบบให้มีความเรียบหรู มีความบางเพียง 23.3 มิลลิเมตร จัดเก็บได้สะดวก วางใต้เตียง, ใต้โต๊ะ หรือจะวางไว้มุมไหนของบ้านก็ลงตัว ด้วยดีไซน์แบบมินิมอล
หน้าจอของเครื่องชั่งน้ำหนัก ระบุตัวเลขน้ำหนัก และแสดงอัตราการเต้นของหัวใจได้ (ไม่สามารถเก็บข้อมูลอัตราการเต้นหัวใจได้) ในการชั่งน้ำหนักให้ได้ทุกฟีเจอร์ จะต้องชั่งด้วยเท้าเปล่า และยืนบนเครื่องชั่งน้ำหนักเป็นเวลาหนึ่ง
โดยรุ่นนี้ใช้เซ็นเซอร์ BIA วัสดุเป็นแมงกานีส ที่ตรวจจับข้อมูลสุขภาพได้มากถึง 16 รายการ ได้แก่ น้ำหนัก สัดส่วนไขมัน รูปร่าง BMI อัตราความชื้น สัดส่วนกล้ามเนื้อ ระดับไขมันในช่องท้อง กล้ามเนื้อลาย ความหนาแน่นมวลกระดูก โปรตีน มวลไขมัน อัตราการเต้นหัวใจ มวลกล้ามเนื้อ อายุร่างกาย อัตราการเผาผลาญและน้ำหนักร่างกายไม่รวมไขมัน
ไม่เพียงชั่งน้ำหนักคน แต่ยังสามารถใช้ชั่งน้ำหนักสิ่งของที่มีน้ำหนักเบา ด้วย Light Weight Mode ที่วัดน้ำหนักสิ่งของที่มีน้ำหนัก 0.05 กิโลกรัม ถึง 9.99 กิโลกรัมได้อย่างแม่นยำ ส่วนการเชื่อมต่อ รุ่นนี้เป็น Bluetooth 5.0 และสามารถสแตนบายด้วยแบตเตอรี่ AA 4 ก้อน ได้ยาวนานถึง 360 วัน หรือเกือบปีเลยทีเดียว
กรณีที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 1 คน realme Smart Scale สามารถเก็บข้อมูลของแต่ละบุคคลแยกได้ถึง 4 Profile รองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนสูงสุด 4 เครื่อง และสามารถเรียนรู้ แยก Profile ของแต่ละผู้ใช้ได้ด้วยตัวเอง
สรุปภาพรวม รีวิว realme AIoT
โดยรวมสำหรับรีวิว realme AIoT ถือเป็นก้าวแรกที่ดีของทาง realme ครับ กับการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์อื่น ๆ นอกเหนือจากสมาร์ตโฟน ที่ปีนี้มาแรงเหลือเกิน และแน่นอนว่ายังคงความเป็น realme ไว้ได้อย่างดี คือเน้นเรื่องราคาน่าประทับใจเหมือนเช่นเคย แต่ก็ยังให้ฟีเจอร์ ให้สเปคที่เหนือกว่าคู่แข่งในท้องตลาด
ส่วนเรื่องการเชื่อมต่อ realme Link เองก็ตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี อารมณ์ประมาณว่าจบในแอปเดียว ต่อให้มีอุปกรณ์มากกี่ชิ้นก็ตาม ตรงนี้ก็ถือเป็นจุดแข็งอีกอย่าง และในอนาคตก็น่าจะทำให้ realme สร้าง Ecosystem ของแบรนด์ได้อย่างไม่ยาก
สำหรับราคาของ realme AIoT ทั้ง 4 รุ่น สรุปให้อีกทีดังนี้
- realme Watch S ราคา 2,999 บาท
- realme Buds Air Pro ราคา 2,999 บาท
- realme Smart Scale ราคา 999 บาท
- realme Smart Cam 360 ราคา 1,499 บาท
สามารถหาซื้อสินค้าได้ตามร้านตัวแทนจำหน่ายของทาง realme ทั้งในช่องทางออนไลน์ และหน้าร้านครับ