รีวิว realme 7 5G อีกหนึ่งสมาร์ตโฟน 5G ราคาไม่แพง เป็นเหมือนการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับสมาร์ตโฟนราคาต่ำหมื่น ด้วยความสามารถในการรองรับ 5G (5G + 5G Dual Stanby) ในไทยทันทีตั้งแต่แกะกล่อง อีกทั้งชิปเซ็ต Dimensity 800U ก็ให้ประสิทธิภาพในการประมวลผลที่ดีเลยทีเดียว ส่วนด้านอื่น ๆ ของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ ก็เรียกว่าคุ้มค่าตามแบบฉบับของ realme
สเปค realme 7 5G
- ชิปประมวลผล Dimensity 800U octa-core 7nm ความเร็วสูงสุด 2.4 GHz (Cortex-A76 + Cortex-A55)
- GPU Mali-G57 MC3
- RAM 8GB LPDDR4x dual-channel
- พื้นที่เก็บข้อมูล 128GB UFS 2.1
- หน้าจอ 120Hz Ultra Smooth Display ขนาด 6.5 นิ้ว 20:9 ความละเอียด FHD+ (2400 x 1080) อัตราส่วนพื้นที่หน้าจอ 90.5%
- หน้าจอแสดงความสว่างได้สูงสุด 480nits พร้อม 180Hz Touch sampling rate
- ระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบด้วย realme UI
- กล้องหลัง 4 ตัว รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K/ 30fps
- กล้องหลัก 48MP f/1.8 เซ็นเซอร์ Samsung S5KGM1ST ขนาดเซ็นเซอร์ 1/ 1.73 นิ้ว
- กล้องอัลตร้าไวด์ 8MP f/2.3 มุมกว้าง 119 องศา
- กล้องมาโคร 2MP f/2.4 ระยะโฟกัสใกล้ที่สุด 4cm.
- กล้อง B&W Portrait 2MP f/2.4
- กล้องหน้า In-Display 16MP f/2.5 มุมกว้าง 79.3 องศา รองรับการบันทึกวิดีโอสูงสุด 1080p/ 30fps
- ระบบเสียง Dolby Atmos + Hi-Res
- ใส่ได้ 2 นาโนซิม 5G + 5G Dual standby ถาดซิมแบบ Hybrid Slot
- แบตเตอรี่ 5000 mAh รองรับการชาร์จเร็ว 30W DartCharge ผ่านช่อง USB-C
- ชาร์จไฟจาก 0 – 100% เต็มใน 65 นาที
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้านข้างแบบ Ultra-fast พร้อมปลดล็อกด้วยใบหน้า
- รองรับ Wi-Fi 5 (802.11a/b/g/n/ac)
- Bluetooth 5.1
- ราคาเปิดตัว 9,999 บาท
สเปคโดยรวมของ realme 7 5G เมื่อเทียบกับสมาร์ตโฟนในช่วงราคาใกล้เคียงกัน รุ่นนี้จะมีจุดเด่นสมชื่อ ก็คือมาพร้อมกับคุณสมบัติในการรองรับ 5G ในไทย ที่คลื่นความถี่ 2600 MHz (AIS และ TrueMove H) สามารถใช้งาน 5G ในบ้านเราได้ทันที และเป็น 5G ทั้งสองซิม (5G + 5G Dual Stanby) อีกทั้งรองรับ 5G-CA เรียกได้ว่าเป็นสมาร์ตโฟนราคาไม่แพง ที่ให้คุณสมบัติในการเชื่อมต่อ 5G ดีกว่าเรือธงหลายรุ่นด้วยซำ้ไป
Design – การออกแบบตัวเครื่อง
ดีไซน์ตัวเครื่อง realme 7 5G บริเวณด้านหน้ามีจุดเด่นตรงที่เป็นหน้าจอแบบเกือบเต็ม กล้องหน้าถูกวางไว้ตรงตำแหน่งมุมซ้ายบนของหน้าจอ ส่วนลำโพง และเซ็นเซอร์อื่น ๆ จัดวางไว้บริเวณขอบด้านบนได้อย่างแนบเนียน ด้านล่างก็มีคางนิดหน่อย อัตราส่วนหน้าจอต่อพื้นที่ทั้งหมดคิดเป็น 90.5% กระจกหน้าจอ Gorilla Glass รวมถึงหน้าจอก็ติดตั้งฟิล์มกันรอยมาให้ตั้งแต่แรก
หน้าจอ IPS-LCD ของ realme 7 5G มีขนาดหน้าจอ 6.5 นิ้ว Full HD+ ก็ให้สีสันที่สวยงาม ภาพสว่างสู้แสงกลางแจ้งได้ในระดับหนึ่ง (ความสว่าง 480 nits) เหมาะกับการรับชมคอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ คลิปวิดีโอ ภาพยนตร์ ไปจนถึงการเล่นเกม เนื่องจากรุ่นนี้เป็นหน้าจอ 120Hz Ultra Smooth Display มีอัตรารีเฟรชหน้าจอสูง และมีการตอบสนองหน้าจอ 180Hz Touch sampling rate สามารถปรับอัตรารีเฟรชหน้าจออัตโนมัติ ตามคอนเทนต์ได้ เพื่อเป็นการประหยัดแบตเตอรี่
นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับโหมดถนอมสายตา ที่เพิ่มอุณหภูมิสีหน้าจอให้เป็นโทนอุ่น เพื่อลดการแผ่แสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายกับหน้าจอ และยังมาพร้อมกับ OSIE Vision Effect ที่จะเร่งสี และความคมชัดของหน้าจอให้สดขึ้นอีกหนึ่งระดับ เวลาที่รับชมคอนเทนต์วิดีโอ หรือเปิดรูปภาพ
ฝาหลังมีด้วยกัน 2 สี ได้แก่ Flash Silver และ Mist Blue (สีเครื่องรีวิว realme 7 5G ในบทความ) ทั้งสองสีได้รับแรงบันดาลใจจากแสงสะท้อนในธรรมชาติรอบตัว ผ่านกรรมวิธีผลิตด้วยเทคโนโลยี AG เพิ่มความพรีเมียม และที่สำคัญคือดูแลรักษาง่าย เนื่องจากเป็นฝาหลังแบบด้าน ไม่เก็บรอยนิ้วมือ ตัวฝาหลังดีไซน์ให้มีความโค้งมน จับถือตัวเครื่องได้สะดวก
ฝั่งด้านล่างของเครื่องก็จะมีพอร์ตเชื่อมต่อต่าง ๆ ประกอบไปด้วย ช่องรับเสียงของไมค์สนทนา ช่อง USB-C ช่องลำโพง และพอร์ตหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ส่วนฝั่งซ้ายก็จะมีปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง และถาดใส่ซิมการ์ดแบบ 2 Card Slots สำหรับ 2 ซิมการ์ด ส่วนฝั่งขวาก็มีเพียงปุ่ม Power ที่ควบตำแหน่งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Ultra-fast
อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องก็จะมีเข็มจิ้มถาดซิม เอกสารคู่มือ เคส TPU อะแดปเตอร์ชาร์จไฟ 30W SuperDart Charge และสายชาร์จแบบ USB-C ที่ปลายเป็น USB-A จุดสังเกตตรงด้านในขั้วต่อจะเป็นสีเหลืองครับ
Software – ระบบปฏิบัติการ
เครื่องรีวิว realme 7 5G ตอนที่ผมได้เครื่องมานั้น มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 10 ที่ครอบมาด้วย realme UI ที่ทำออกมาให้ใช้งานได้ง่าย ส่วนแอปติดเครื่องมาก็มีให้มาพอสมควร ทั้ง Facebook, Lazada และก็แอปของทาง realme อีกนิดหน่อย โดยพื้นที่เก็บข้อมูลของตัวเครื่องที่ให้มาตามสเปค 128GB นั้นใช้งานสบาย ๆ
นอกจากนี้ realme UI ยังมาพร้อมกับ Dark Mode ที่เปลี่ยนโทนสีหน้าจอให้เข้มขึ้น รวมถึงเปลี่ยนหน้าการตั้งค่าให้เป็นพื้นหลังสีดำ ตัวหนังสือสีขาว เหมาะกับการใช้งานตอนกลางคืน เพราะคุมให้แสงหน้าจอไม่จ้าจนเกินไป
ส่วนการจัดการภาพถ่าย ซอฟต์แวร์ realme UI มีการจัดหมวดหมู่รูปภาพและวิดิโออัจฉริยะ สามารถจดจำ และจัดหมวดหมู่ไฟล์โดยอัตโนมัติ มากกว่า 84 หมวดหมู่ เพื่อจัดกลุ่มให้เป็นระเบียบ ง่ายต่อการค้นหา เพิ่มความรวดเร็วในการใช้งาน รวมถึงฟีเจอร์อย่างการเลือก Templates เฉพาะตัว เพื่อเพิ่มความสนุกและเพลิดเพลินในการแต่งภาพยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ realme UI ยังมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น
- Dual Mode Music Share – สามารถเชื่อมต่อหูฟ้งไร้สายได้พร้อมกัน 2 เครื่อง
- 3-Finger Selected Screenshot – ใช้ 3 นิ้วแตะค้างไว้ที่หน้าจอ เพื่อแคปหน้าจอ
- Personal Information Protection – ระบบป้องกันข้อมูลส่วนตัว
- การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ได้แก่
- การประมวลผล – ระยะเวลา App Booting ลงลด 25% ความลื่นไหลเพิ่มขึ้น 20%
- แบตเตอรี่ – อายุการใช้งานแบตเตอรี่เพิ่มขึ้น 10%; ลดการใช้พลังงานเมื่อเปิดสแตนด์บายข้ามคืน 35%
- ประสิทธิภาพการทำงาน – ลดความดีเลย์ระบบสัมผัส 35% ประสิทธิภาพการเล่นเกมเพิ่มขึ้น 20%
Feature – ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ
เริ่มจากการปลดล็อกตัวเครื่อง รุ่นนี้มาพร้อมกับระบบสแกนลายนิ้วมือ Ultra Fast ที่อยู่ด้านข้างตัวเครื่อง หรือจะใช้การสแกนใบหน้าในการปลดล็อกก็ได้เช่นกัน
ในส่วนของระบบเสียง รุ่นนี้รองรับระบบเสียง Dolby Atmos และ Hi-Res Sound Quality เวลารับชมคอนเทนต์ประเภทวิดีโอ และมีช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรให้ใช้งานอีกด้วย
ประสิทธิภาพและการเล่นเกมบน realme 7 5G
ด้วยชิปประมวลผลอย่าง MediaTek Dimensity 800U เป็นชิปที่เทคโนโลยีการผลิต 7 นาโนเมตร octa-core (2 core Cortex-A76 2.4 GHz + 6 core Cortex-A55 ความเร็ว 2 GHz) GPU Mali-G57 กับ RAM 8GB LPDDR4x ส่งผลให้ภาพรวมในการใช้งาน รวมถึงการเล่นเกมทำออกมาได้ดีเยี่ยม สามารถเล่นเกมบน Play Store ได้ทุกเกม แต่ก็ต้องอาศัยการปรับตั้งค่าที่เหมาะสมในบางเกมด้วย
ในรีวิว realme 7 5G ผมทดสอบด้วยการเล่นเกม PUBG Mobile ซึ่งกราฟิกที่ปรับได้สูง เฟรมเรตสูง ทำงานผ่าน Game Space ที่ช่วยจัดสรรทรัพยากรระบบให้สามารถเล่นเกมได้ดีขึ้น ภาพที่ได้ก็ไหลลื่น ไม่มีอาการกระตุกแต่อย่างใด เช่นเดียวกับเกม CoD Mobile และ RoV ที่เล่นได้อย่างลื่นไหลไม่มีกระตุกในโหมดเฟรมเรตสูง แต่ถ้าเป็น RoV ขณะที่ผมทดสอบเครื่องรีวิว realme 7 5G พบว่าตัวเกมไม่สามารถปรับเฟรมเรตสูงได้ คาดว่าในอนาคตจะมีอัพเดตมาแก้อย่างแน่นอน เพราะระดับคะแนน AnTuTu 340,000 คะแนน สามารถเล่นเกม RoV ปรับเฟรมเรตสูงได้อยู่แล้ว
ส่วนการใช้งานทั่วไป สมาร์ตโฟนรุ่นนี้ตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลาย นอกเหนือจากการเล่นเกม ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานโซเชียลมีเดีย Facebook, Instagram, Twitter ใช้ในการทำงาน เปิดเอกสาร อ่าน E-Book หรือจะเป็นการรับชมภาพยนตร์ผ่าน NetFlix, HBO Go รวมถึง Youtube ก็รองรับที่ความละเอียดระดับสูง และสามารถใช้งานได้อย่างลื่นไหล
แบตเตอรี่ และการชาร์จไฟ
หนึ่งในจุดเด่นของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ กับการมาพร้อมระบบชาร์จไฟ 30W SuperDart Charge (5V / 6A) ที่ไม่เพียงชาร์จไฟแบตเตอรี่ 5000 mAh จาก 0 – 100% เต็มใน 65 นาที แต่ถ้าจับเวลาจาก 0 – 50% จะใช้เวลาเพียง 26 นาที และยังรองรับการชาร์จร่วมกับอะแดปเตอร์ PD 15W เพื่อการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น
ส่วนเรื่องความปลอดภัย รุ่นนี้มีการป้องกัน 5 ขั้นตอนตั้งแต่อะแดปเตอร์ ไปจนถึงตัวเครื่อง ได้แก่
- อะแดปเตอร์ป้องกันการจ่ายไฟเกินกำลัง
- การป้องกันขณะชาร์จเร็ว
- ป้องกันการโอเวอร์โหลดอินเทอร์เฟซ
- ป้องกันกระแสไฟเกินและแรงดันไฟฟ้าเกิน
- การป้องกันขณะรวมแบตเตอรี่
ส่วนเรื่องการจัดการพลังงาน ด้วยแบตเตอรี่ความจุสูง 5000 mAh ในการใช้งานจึงสามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดทั้งวัน แต่ก็มีโหมดประหยัดพลังงานขั้นสุด Super Power Saving Mode ที่ให้ผู้ใช้เลือก 6 แอปพลิเคชั่นใช้งานบ่อย โดยในโหมดดังกล่าว แม้ตัวเครื่องจะเหลือแบตเตอรี่เพียง 5% แต่ก็สามารถใช้งาน WhatsApp ได้นานถึง 70 นาที หรือฟังเพลง Spotify ได้นานถึง 5 ชั่วโมง และสามารถสแตนบายด้วยแบต 5% ในโหมด Super Power Saving Mode ได้ถึง 30.8 ชั่วโมง
Camera – กล้องถ่ายรูป
กล้องหลัง realme 7 5G มีด้วยกันทั้งหมด 4 กล้อง ประกอบไปด้วยเซ็นเซอร์รับภาพความละเอียดสูง 48MP เซ็นเซอร์ Samsung S5KGM1ST รูรับแสง f/1.8 พร้อมกับกล้อง Ultra wide-angle 8MP 119 องศา f/2.3 กับกล้องมาโคร 2MP ถ่ายได้ใกล้สุด 4 เซนติเมตร และกล้องตัวสุดท้ายเป็นเลนส์ Portrait 2MP พร้อมฟิลเตอร์ B&W
ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียด 16MP รูรับแสง f/2.1 มาพร้อมกับโหมด AI Beauty โดยรวมสำหรับภาพกล้องหน้าก็ให้โทนสีผิวที่สมจริง โหมด AI Beauty มีความฉลาด การทำ Bokeh กล้องหน้าถือว่าเนียนทีเดียว
สำหรับการถ่ายวิดีโอ จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันระหว่างกล้องหน้ากับกล้องหลัง โดยกล้องหน้าจะรองรับที่ความละเอียดสูงสุด 1080p พร้อมกันสั่นแบบ UIS Video Stabilization
ส่วนวิดีโอกล้องหลังจะบันทึกได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K / 30 fps และ 1080p / 120fps หรือ 720p / 240fps Slo-mo มีระบบกันสั่นวิดีโอทั้งแบบ UIS และ UIS Max และรองรับโหมดภาพยนตร์
อย่างไรก็ตามในการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหลัง ผมแนะนำว่าให้ตั้งค่าความละเอียดไว้ที่ 1080p / 30 fps น่าจะเหมาะสมที่สุดครับ เพราะสามารถใช้งานฟีเจอร์วิดีโอต่าง ๆ ได้ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นการซูม, การสลับเลนส์ไปใช้ Ultra wide-angle รวมถึงระบบกันสั่นทั้ง Ultra Steady และ Ultra Steady Max
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง realme 7 5G
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า
สรุปภาพรวมในรีวิว realme 7 5G
ภาพรวมของรีวิว realme 7 5G กับการเป็นสมาร์ตโฟนราคาไม่ถึงหมื่นบาท ผมมองว่ารอบนี้ทำราคาออกมาได้ดีมาก เพราะรุ่นนี้ใส่สเปค และฟีเจอร์ต่าง ๆ มาให้ครบครัน โดยเฉพาะเรื่องการรองรับ 5G แบบ 5G + 5G Dual Stanby ที่เผลอ ๆ จะรับสัญญาณ 5G ได้ดีกว่าสมาร์ตโฟนระดับเรือธงด้วยซ้ำไป อีกทั้งรองรับ 5G หลายคลื่นความถี่ (n1, n3, n5, n7, n8, n20, n28, n38, n40, n41, n77, n78) อย่างน้อยก็ได้ทั้ง 2600MHz ที่เปิดให้บริการแล้ว (AIS, TrueMove H) รวมถึงคลื่น 700MHz ที่จะเปิดให้บริการในต้นปีหน้า
อีกทั้งชิปประมวลผลอย่าง Dimensity 800U, RAM 8GB LPDDR4x, ROM 128GB UFS 2.1 ก็ตอบโจทย์การใช้งานทั่วไป รวมถึงการเล่นเกมได้เป็นอย่างดี วัสดุ งานออกแบบก็ทำได้สวยงาม ส่วนเรื่องกล้อง ด้วยชุดกล้อง 4 ตัว เซ็นเซอร์หลัก 48MP มีเลนส์มุมกว้าง, มาโคร และ Portrait ก็ตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี
ข้อสังเกตหลังจากที่ผมพบระหว่างทำการรีวิว realme 7 5G จะว่าไปเมื่อเทียบกับราคา 9,999 บาท หลาย ๆ อย่างที่มีให้ก็ถือว่าสมราคา บางอย่างเกินราคาด้วยซ้ำไป (โดยเฉพาะเรื่อง 5G) ที่จะพูดได้เต็มปากว่าเป็นมาตรฐานใหม่ของสมาร์ตโฟนราคาต่ำหมื่นไปแล้ว เรียกได้ว่าเป็นอาวุธหนักส่งท้ายปี 2563 ของ realme เลยก็ว่าได้
สำหรับรายละเอียดเพิ่ม และข้อมูลโปรโมชั่น ราคา realme 7 5G สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ Facebook realme TH และ realme.com/th