รีวิว OPPO Reno5 Series 5G สมาร์ตโฟน 5G รุ่นใหม่จากทาง OPPO ที่ถือเป็นที่สุดของการถ่ายวิดีโอ Portrait โดยในซีรี่ส์นี้ จะแยกออกเป็น 2 รุ่นย่อย ได้แก่ OPPPO Reno5 5G และ OPPO Reno5 นอกจากจะมาพร้อมกับคุณสมบัติในการถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอได้ดีเยี่ยมแล้ว ในเรื่องของการดีไซน์ก็ยังคงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่าง Reno Glow และมาพร้อมกับสเปคที่น่าสนใจ ขับเคลื่อนด้วยชิปประมวลผลของทาง Qualcomm Snapdragon ซีพียูขวัญใจผู้ใช้ชาวไทย
สำหรับ 2 รุ่นย่อยของ OPPO Reno5 Series 5G จะประกอบไปด้วย
ความแตกต่างของทั้งสองรุ่น หลัก ๆ จะมีด้วยกันทั้งหมด 5 ส่วน ได้แก่ ชิปประมวลผล (การรองรับ 5G), ความละเอียดกล้องหน้า, ฟีเจอร์ในโหมดวิดีโอ, ระบบชาร์จไฟ และขนาดตัวเครื่อง ส่วนที่เหลือจะเหมือนกันทั้งหมด เพราะฉะนั้นในรีวิว OPPO Reno5 Series 5G ผมเลยทำการรีวิวควบกันทั้ง 2 รุ่นไปเลย แต่ถ้าจุดไหนที่มีความแตกต่าง ก็จะอธิบายให้ในหัวข้อนั้น ๆ ครับ
วิดีโอรีวิว OPPO Reno5 Series 5G
แกะกล่อง รีวิว OPPO Reno5 Series 5G
อุปกรณ์ในกล่องของเครื่องรีวิว OPPO Reno5 Series 5G ทั้งสองรุ่น ให้อุปกรณ์เสริมเหมือนกัน 100% ไม่ได้มีการตัดอุปกรณ์เสริมมาตรฐานบางชิ้นออกไปเหมือนอย่างสมาร์ตโฟนบางแบรนด์ โดยในกล่องจะประกอบไปด้วย
- ตัวเครื่อง OPPO Reno5 หรือ OPPO Reno5 5G
- เคสใส TPU
- หูฟังพอร์ต 3.5 มิลลิเมตร
- สายชาร์จแบบ USB Type-A to USB Type-C
- อะแดปเตอร์ 65W SuperVOOC 2.0
- SIM Eject Tool (เข็มจิ้มถาดซิม)
Camera – การถ่ายวิดีโอและการถ่ายภาพ
ในสมาร์ตโฟนซีรี่ส์นี้ OPPO Reno5 และ OPPO Reno5 5G ทั้งสองรุ่นมีจุดเด่นในเรื่องการถ่ายวิดีโอ โดยเฉพาะวิดีโอ Portrait ไปจนถึงการถ่ายภาพนิ่ง ที่ทำได้ดีในทุกสภาพแสง สมกับสโลแกน Picture Life Together ด้วยชุดกล้องหลัง 4 ตัว ความละเอียดสูงสุด 64 ล้านพิกเซล + เลนส์มุมกว้าง Ultra Wide-angle 8 ล้านพิกเซล + เลนส์มาโคร 2 ล้านพิกเซล และเลนส์ Mono ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องหน้า จะมีสเปคที่แตกต่างกันเล็กน้อย โดย OPPO Reno5 จะมาพร้อมกับกล้องหน้าความละเอียด 44MP f/2.4 แต่ถ้าเป็น OPPO Reno5 5G กล้องหน้าจะมีความละเอียด 32MP f/2.4
OPPO Reno5 Series 5G – ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI Portrait
สิ่งที่ OPPO Reno Series ทำได้ดีมาตลอด และดีขึ้นไปอีกในคราวนี้ก็คือ การถ่ายคน หรือโหมด Portrait ทั้งภาพนิ่ง และการถ่ายวิดีโอ ด้วยเทคโนโลยีประมวลผลภาพถ่าย ทั้งการจัดการแสง ไปจนถึงกระบวนการแต่งภาพ โดยใน OPPO Reno5 Series 5G มีโหมดใหม่ในการถ่ายวิดีโอ Portrait เพิ่มขึ้นมาอย่าง Dual-view Video ที่สามารถบันทึกวิดีโอพร้อมกันทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง
Dual-view Video ใน OPPO Reno5 Series 5G จะบันทึกวิดีโอพร้อมกันทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง ที่ความละเอียด 1080p/ 30fps มีเลย์เอ้าต์ให้เลือกทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ Split – แบ่งหน้าจอบนล่างหรือซ้ายขวา, Round – กล้องหน้าจะเป็นวงกลมเล็ก ๆ บนวิดีโอกล้องหลัง, Rectangle – กล้องหน้าเป็นสี่เหลี่ยมซ้อนบนวิดีโอกล้องหลัง คล้ายกับการวิดีโอคอลล์ โดยในการบันทึกด้วยเลย์เอ้าต์แบบ Round กับ Rectangle จะสามารถลากตำแหน่งของกล้องหน้า ไว้ตรงส่วนไหนของหน้าจอก็ได้ เหมาะกับการถ่าย VLOG เป็นอย่างมาก
นอกจากโหมด Dual-view ที่เป็นโหมดใหม่แล้ว เฉพาะใน OPPO Reno5 ยังมีอีกหนึ่งโหมดวิดีโอ Portrait ที่น่าสนใจอย่าง AI Mixed Portrait โหมดที่ทำการรวมวิดีโอ 2 ตัวเข้าด้วยกัน ในแบบ Double exposure effect แบ่งออกเป็น 2 โหมดย่อย ได้แก่
AI Mixed Portrait Silhouette Mode
AI Mixed Portrait Blend Mode
อีกโหมดที่น่าสนใจในการถ่ายวิดีโอ Portrait ได้แก่ AI Highlight Video ที่สามารถปรับแต่งรูปแบบของการถ่ายวิดีโอให้เหมาะสมกับสภาพแสงได้แบบ real-time ใช้งานได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง โดยในสถานการณ์ที่แสงน้อย อัลกอรึทึม AI จะเปิดใช้งาน Ultra Night Video หรือถ้าเป็นสถานการณ์ที่ถ่ายวิดีโอย้อนแสง อัลกอรึทึม Live HDR Video ก็จะทำงานในทันที
สำหรับระบบกันสั่นในการบันทึกวิดีโอของ OPPO Reno5 Series 5G ทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง จะมาพร้อมกับเทคโนโลยี Ultra Steady Video 3.0 เทคโนโลยีกันสั่นเฉพาะในสมาร์ตโฟน OPPO โดย Ultra Steady Video 3.0 ใน OPPOReno5 5G จะประกอบไปด้วยโหมดกันสั่นถึง 3 โหมด ได้แก่ Front Steady Video เพื่อการถ่ายวิดีโอเซลฟี่ผ่านกล้องหน้า, Ultra Steady Video บนกล้องหลัก และ Ultra Steady Video Pro บนกล้องมุมกว้าง Ultra wide-angle
ส่วนโหมดการถ่ายวิดีโอที่เคยมีใน OPPO Reno4 Pro อย่าง AI Color Portrait และ Monochrome Video ที่เป็นการเล่นสีสัน ให้ตัดกับตัวแบบ ถ้าเป็น AI Color Portrait ก็จะทำให้ตัวแบบโดดเด่น และเปลี่ยนฉากหลังให้เป็นขาวดำ ส่วน Monochrome Video ก็จะเลือกเฉพาะสีใดสีหนึ่งให้โดดเด่นขึ้น (แดง, น้ำเงิน, เขียว) ส่วนโทนสีอื่น จะเป็นขาวดำทั้งหมด
ไม่เพียงถ่ายวิดีโอแล้วจบในตัว แต่ในกรณีที่ถ่ายมาหลายวิดีโอ แล้วต้องการตัดต่อ OPPO Reno5 Series 5G ก็มาพร้อมกับแอปพลิเคชั่นสำหรับการตัดต่อวิดีโอ SOLOOP แอปตัดต่อวิดีโออัจฉริยะ ที่สามารถรวมรูปภาพ และวิดีโอเข้าด้วยกันได้โดยอัตโนมัติ พร้อมใส่เพลง, ฟิลเตอร์ ไปจนถึงข้อความและทรานซิชั่นต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย
รีวิว OPPO Reno5 Series 5G – การถ่ายภาพนิ่ง
สำหรับการถ่ายภาพนิ่งด้วย OPPO Reno5 Series 5G รุ่นนี้มีการใช้เทคโนโลยี Image-clear Engine (ICE) เข้ามาช่วยในการถ่ายภาพ ทำให้การโฟกัสภาพมีความแม่นยำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเวลาที่ต้องถ่ายวัตถุเคลื่อนไหวเร็ว ๆ เช่น เด็กที่กำลังวิ่งเล่น หรือถ่ายธง อย่างในตัวอย่างด้านล่าง จะเห็นว่าสามารถโฟกัสเข้าที่ธงชาติได้ทุกผืนที่กล้องจับได้ แม้จะมีลมพัดตลอดเวลาก็ตาม
อีกหนึ่งความเก่งของ OPPO Reno5 Series 5G อีกอย่างในการถ่ายภาพนิ่ง ก็คือ AI Scene Enhancement สามารถปรับแต่งภาพของ ให้มีความสมดุลของสี ความอิ่มตัว และความสว่าง ในฉากที่อัลกอริทึม AI สามารถตรวจจับได้เมื่อถ่ายภาพนิ่ง รองรับฉากต่าง ๆ ถึง 22 รูปแบบ ได้แก่ ได้แก่ ฉากชายหาด ฉากท้องฟ้า ฉากแมว ฉากข้อความ ฉากสุนัข ฉากดอกไม้ไฟ ฉากอาหาร ฉากสนามหญ้า ฉากในที่ร่ม ฉากทารก ฉากวิวทิวทัศน์ ฉากในตอนกลางคืน ฉากหิมะ ฉากแสงไฟที่สว่างจ้า ฉากพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ ฉากใบหน้าของมนุษย์ ฉากที่มีหลายใบหน้า ฉากย้อนแสง ฉากดอกไม้ ฉากต้นไม้สีเขียว ฉากสีทึบ และ ฉากลวดลายซ้ากัน
ส่วนการถ่ายกลางคืน อันที่จริงเพียงแค่ใช้ AI Scene Enhancement ที่เปลี่ยนเป็นโหมดกลางคืน ก็เพียงพอต่อการถ่ายภาพกลางคืนให้สว่าง คมชัดแล้วล่ะครับ แต่ถ้าต้องการถ่ายภาพบุคคลในตอนกลางคืน โหมดอย่าง Night Flare Portrait ดูจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะให้ภาพที่สว่าง คมชัดแล้ว ยังมีการปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้สวยงาม อีกทั้งจัดการทำ Bokeh ที่เป็นธรรมชาติ ให้อารมณ์ไม่แพ้การถ่ายภาพด้วยกล้อง DSLR เลยทีเดียว
Design – การออกแบบตัวเครื่อง
ถือเป็นหนึ่งในจุดเด่นของ OPPO Reno5 Series 5G ทั้งสองรุ่นเลยก็ว่าได้ สำหรับหัวข้อการออกแบบตัวเครื่อง เพราะ OPPO ยังคงออกแบบสมาร์ตโฟนในซีรี่ส์นี้ได้อย่างสวยงาม ตัวเครื่องมีความบาง และมีน้ำหนักเบา ซึ่งหาได้ยากในยุคที่สมาร์ตโฟนส่วนใหญ่มาพร้อมกับน้ำหนักตัวเครื่องที่เกิน 200 กรัม การที่มีตัวเครื่องบางเบา นอกจากจะทำให้สมาร์ตโฟนดูน่าสนใจแล้ว ในแง่ของการใช้งาน ยังทำให้สามารถจับถือตัวเครื่องได้สะดวกมาก ๆ อีกด้วยครับ
การออกแบบของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ นอกจากความบางเบาแล้ว ยังเน้นเรื่องส่วนโค้งที่ออกแบบมาได้อย่างลงตัว เป็นอีกหนึ่งจุดที่ทำให้จับถือตัวเครื่องได้คล่องตัว เนื่องจากส่วนที่โค้งจะรับกับมือได้เป็นอย่างดี อีกทั้งตัวเครื่องยังออกแบบให้ใช้พื้นที่ทุกส่วนได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด อย่างหน้าจอก็มีขอบจอบางลงชัดเจนในทุกด้าน พื้นที่หน้าจอคิดเป็น 91.7% ของพื้นที่ด้านหน้าทั้งหมด
สำหรับหน้าจอของ OPPO Reno5 Series 5G ทั้งคู่มาพร้อมกับหน้าจอแบบ AMOLED ขนาด 6.43 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ มีอัตรารีเฟรชหน้าจอที่ 90Hz ให้สัมผัสใช้งานที่ลื่นไหล และเป็นหน้าจอ Full HD+ ที่รองรับการแสดงผลคอนเทนต์แบบเต็มความละเอียด ไม่ว่าจะเป็น NetFlix HD Certified หรือจะเป็น Amazon Prime Video HD Certified ส่วนการรับชม Youtube, LINE TV รวมถึงวิดีโอสตรีมมิ่งอื่น ๆ ก็รับชมได้เต็มความละเอียดของแพ็กเกจครับ
พอร์ตเชื่อมต่อต่าง ๆ ของทั้ง OPPO Reno5 และ OPPO Reno5 5G ถูกวางไว้ในตำแหน่งเดียวกัน และให้มาอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นพอร์ตชาร์จไฟและเชื่อมต่อข้อมูลแบบ USB Type-C รวมถึงพอร์ตหูฟังแบบคลาสสิก 3.5 มิลลิเมตร ก็ยังคงมีให้ใช้งานอยู่ เช่นเดียวกับตำแหน่งของปุ่มกดต่าง ๆ ก็อยู่ในตำแหน่งเดียวกันทั้งสองรุ่น มองผ่าน ๆ อาจคิดว่าเป็นสมาร์ตโฟนรุ่นเดียวกันได้เลย
สำหรับพื้นผิวด้านหลัง OPPO Reno5 Series 5G จะวางจำหน่ายด้วยกันทั้งหมด 2 สีหลัก ๆ ได้แก่ สีดำ Starry Black และสีเงิน ที่มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป โดยสีเงินของ OPPO Reno5 จะมีชื่อว่า Fantasy Silver ส่วนสีเงินของ OPPO Reno5 5G จะมีชื่อว่า Galactic Silver ที่มีสัมผัสฝาหลังละเอียดกว่า Fantasy Silver บน OPPO Reno5 เล็กน้อย แต่ถ้ามองด้วยตาเปล่า จะแยกออกยากมาก
โดยสีที่เป็นไฮไลต์ของ OPPO Reno5 Series 5G ก็คงหนีไม่พ้นสีเงิน Fantasy Silver | Galactic Silver เนื่องจากเป็นสีสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยี Diamond Spectrum Process ทำให้ตัวเครื่องแสดงสีได้มากถึง 1,000 เฉดสี เปลี่ยนไปตามมุมที่แสงตกกระทบ หรือเปลี่ยนไปตามสภาพแสง ถึงกับว่ามองตัวเครื่องคนละมุม ก็เห็นสีที่แตกต่างกันเลยล่ะครับ โดยเฉดสีหลัก ๆ ที่แสดงออกมา จะประกอบไปด้วย 5 เฉดสี ได้แก่ สีเขียว, สีเหลือง, สีฟ้า, สีม่วง และสีส้ม
นอกจากนี้ เฉพาะสี Galactic Silver ยังถูกออกแบบด้วยเอฟเฟกต์ Reno Glow อันเป็นเอกลักษณ์ของทาง OPPO มาตั้งแต่ OPPO Reno4 Pro โดยเทคนิค Reno Glow รุ่นใหม่ นอกจากจะดึงให้สี Galactic Silver เปล่งประกายระยิบระยับมากขึ้นด้วยโครงสร้างแบบพีรามิด ยังป้องกันรอยนิ้วมือและคราบมัน รวมถึงให้ความแวววาวมากกว่ากระจกด้าน AG Glass แบบเดิม ๆ ถึง 35% เรียกได้ว่าเป็นสีพื้นหลังในฝันเลยก็ว่าได้ เพราะให้ทั้งความระยิบระยับ แวววาว มีลูกเล่นสีหลากหลายรูปแบบ แต่ดูแลรักษาง่าย ไม่เก็บคราบมัน ไม่เก็บรอยนิ้วมือ
ความแตกต่างระหว่าง OPPO Reno5 กับ OPPO Reno5 5G นอกจากสีเงินที่แยกเป็น Fantasy Silver กับ Galactic Silver ยังมีความแตกต่างในเรื่องความบาง กับน้ำหนักตัวเครื่องอีกด้วย แต่ก็เป็นจุดเล็ก ๆ ที่ส่วนตัวมองว่าไม่ได้มีผลต่อการใช้งานมากขนาดนั้น โดยจะมีรายละเอียดดังนี้
- OPPO Reno5 น้ำหนัก 171 กรัม/ ความบาง 7.7 มิลลิเมตร (Starry Black) | 7.8 มิลลิเมตร (Fantasy Silver)
- OPPO Reno5 5G Starry Black น้ำหนัก 172 กรัม | ความบาง 7.9 มิลลิเมตร
- OPPO Reno5 5G Galactic Silver น้ำหนัก 180 กรัม | ความบาง 7.9 มิลลิเมตร
Performance – ประสิทธิภาพ
OPPO Reno5 Series 5G ทั้งสองรุ่น ขับเคลื่อนด้วยชิปประมวลผลจากทาง Qualcomm ในรุ่นที่แตกต่างกัน โดย OPPO Reno5 จะใช้ชิปประมวลผล Snapdragon 720G ส่วน OPPO Reno5 5G จะใช้ชิป 5G รุ่นยอดนิยมอย่าง Snapdragon 765G ทั้งสองรุ่นให้ RAM 8GB LPDDR4x และความจุในตัวเครื่อง 128GB ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
ในด้านความแตกต่างเรื่องการรันแอปพลิเคชั่น ไปจนถึงการเล่นเกม ส่วนตัวผมมองว่าชิปเซ็ตทั้ง 2 รุ่น ให้ประสิทธิภาพที่ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก (ไม่เกิน 15%) เพราะประเด็นหลัก ๆ จะอยู่ที่ความสามารถในการรองรับ 5G หรือไม่รองรับมากกว่า โดยทั้งสองรุ่นสามารถเล่นเกมที่กำลังได้รับความนิยมในตอนนี้ได้ทุกเกม ไม่ว่าจะเป็น League of Legends Wild Rift!, ROV, PUBG Mobile รวมถึงเกมใหม่อย่าง Cookie Run: Kingdom ได้ในแบบปรับตั้งค่าระดับ Mid – High เลยทีเดียว
สำหรับการจัดการพลังงาน สมาร์ตโฟนทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมกับแบตเตอรี่ที่มีความจุใกล้เคียงกันมากครับ (OPPO Reno5 – 4310 mAh | OPPO Reno5 5G – 4300 mAh) และอัตราการใช้พลังงานก็ออกมาไม่ต่างกันมากด้วย หากเป็นการเชื่อมต่อ 4G หรือ Wi-Fi สามารถใช้งานหมดวันได้สบาย ๆ โดยไม่ต้องต่อแบตเตอรี่สำรอง
อย่างไรก็ตาม หาก OPPO Reno5 5G จับสัญญาณ 5G ก็จะมีการบริโภคพลังงานที่มากขึ้นในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้สูบแบตมากมายนัก อีกทั้งมีโหมด Smart 5G ที่สลับสัญญาณได้อัตโนมัติ ช่วยให้การจัดการพลังงานได้ดีขึ้น
ส่วนเรื่องการชาร์จไฟ แม้ทั้งสองรุ่นจะให้อะแดปเตอร์ที่เป็นอุปกรณ์เสริมตัวเดียวกันอย่าง 65W SuperVOOC 2.0 แต่ความต่างจะอยู่ที่อัลกอริทึมสำหรับการชาร์จไฟ หากเป็น OPPO Reno5 จะรองรับการชาร์จไวสุดที่ 50W Flash Charge จาก 0 – 100% ใช้เวลาประมาณ 43 นาที แต่ถ้าเป็น OPPO Reno5 5G ที่มาพร้อมอัลกอริทึม 65W SuperVOOC 2.0 สามารถชาร์จไฟจาก 0 – 100% ได้ในเวลาเพียง 35 นาที ส่วนตัวผมมองว่าชาร์จไฟเต็ม 100% ในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง ก็ถือว่าเร็วทั้งคู่แล้วครับ
Software – ระบบปฏิบัติการ
OPPO Reno5 Series ทั้งสองรุ่น มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชั่นล่าสุดอย่าง Android 11 ครอบด้วย ColorOS 11 ที่เป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดของทาง OPPO โดยจุดเด่นของ ColorOS 11 จะอยู่ที่การปรับแต่งหน้า UI ได้ละเอียดขึ้น กำหนดได้ตั้งแต่ Theme, Wallpaper, Always-On Display, รูปแบบไอคอนต่าง ๆ ไปจนถึงรูปแบบของการสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ
นอกจากนี้ยังมีอีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง FlexDrop ที่สามารถปรับให้หน้าต่างของแอปพลิเคชั่น ให้ลอยบนหน้าจอ (ลักษณะคล้ายกับ Facebook Messenger) ส่งผลให้สามารถเรียกใช้งานหลายแอปพลิเคชั่นได้พร้อมกัน หรือจะเป็นฟีเจอร์ แปลภาษาด้วยสามนิ้วผ่าน Google Lens ที่ใช้งานได้สะดวกมากขึ้น เมื่อจับภาพหน้าจอด้วยการลาก 3 นิ้ว Google Translate ก็สามารถแปลทุกอย่างที่จับภาพหน้าได้ทันที
สรุปความแตกต่าง OPPO Reno5 และ OPPO Reno5 5G
หลังจากได้รีวิว OPPO Reno5 Series 5G ไปแล้ว ก็มาลงรายละเอียด ในเรื่องความแตกต่างของ OPPO Reno5 และ OPPO Reno5 5G อย่างที่ได้ระบุไป ว่าทั้ง 2 รุ่นมีความแตกต่างกันอยู่ 5 จุดหลัก ๆ ได้แก่ ชิปประมวลผล (การรองรับ 5G), ความละเอียดกล้องหน้า, ฟีเจอร์ในโหมดวิดีโอ, ระบบชาร์จไฟ และขนาดตัวเครื่อง โดยผมได้ทำสรุปไว้ตามตารางด้านล่าง
OPPO Reno5 OPPO Reno5 5G ชิปประมวลผล Snapdragon 720G
รองรับการใช้งาน 4GSnapdragon 765G
รองรับการใช้งาน 5G และ 4Gความละเอียดกล้องหน้า 44 ล้านพิกเซล f/2.4 32 ล้านพิกเซล f/2.4 AI Mixed Portrait Video รองรับ ไม่รองรับ ระบบชาร์จไฟและแบตเตอรี่ 50W Flash Charge
0 – 100% ในเวลา 48 นาที
แบตเตอรี่ 4310 mAh65W SuperVOOC 2.0
0 – 100% ในเวลา 35 นาที
แบตเตอรี่ 4300 mAhขนาดตัวเครื่อง น้ำหนัก 171 กรัม
ความบาง 7.7 มิลลิเมตร (Starry Black)
ความบาง 7.8 มิลลิเมตร (Fantasy Silver)สี Starry Black น้ำหนัก 172 กรัม ความบาง 7.9 มิลลิเมตร
สี Galactic Silver น้ำหนัก 180 กรัม ความบาง 7.9 มิลลิเมตร
ส่วนคำถามที่ว่า เลือกรุ่นไหนดี ระหว่าง OPPO Reno5 และ OPPO Reno5 5G ส่วนตัวผมว่าขึ้นอยู่กับงบประมาณที่มี กับการใช้งาน 5G เลยครับ หากต้องการใช้งาน 5G ก็คงต้องเลือก OPPO Reno5 5G แต่ถ้ามองว่า 5G ในตอนนี้ยังไม่จำเป็นมากนัก OPPO Reno5 ก็ดูเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะราคาเปิดตัวก็ถูกกว่า อีกทั้งฟีเจอร์ที่มีให้เลือกใช้งานก็ถือว่าใกล้เคียงกันมากอีกด้วย
สรุปภาพรวม ราคา และวันวางจำหน่าย
ภาพรวมสำหรับการรีวิว OPPO Reno5 Series 5G ผมมองว่าเป็นการเปิดต้นปี 2021 ที่ดีของทาง OPPO ได้เลย เพราะสมาร์ตโฟน Reno Series เมื่อปี 2020 ก็ถือเป็นสมาร์ตโฟนที่มียอดขายอันดับหนึ่ง ในช่วงราคา 10,000 – 12,000 บาท และพอมาเป็น OPPO Reno5 Series 5G ก็ได้ปรับปรุงสเปค ลูกเล่นต่าง ๆ ให้มีความน่าสนใจขึ้นไปอีก ในขณะที่จุดแข็งเดิมในรุ่นก่อนหน้า อย่างการดีไซน์แบบ Reno Glow (เฉพาะสี Galactic Silver) หรือการถ่ายวิดีโอ Portrait ก็ถูกเติมลูกเล่นให้มีความน่าสนใจขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเรื่อง Dual-view Video ที่ถ่ายพร้อมกันทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังได้ในทีเดียว
สำหรับคนที่จอง OPPO Reno5 Series 5G ตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม – 5 กุมภาพันธ์ 2564 รับของสมนาคุณฟรี ดังนี้
- เครื่องชั่งน้ำหนักอัจฉริยะ Smart Scale
- Bluetooth Speaker – เฉพาะ OPPO Reno5 5G
- E-VIP Card