สำหรับ OPPO Reno3 Pro เป็นสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดจากทาง OPPO ที่มาพร้อมกับความน่าสนใจในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกล้องที่โดดเด่นทั้งกล้องหน้าคู่ กล้องหลัง 4 ตัวความละเอียดสูง และระบบชาร์จเร็วที่อัพเกรดขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า ในการใช้งานจะเป็นอย่างไรนั้น สามารถอ่านได้จากรีวิว OPPO Reno3 Pro ได้เลยครับ
สเปค OPPO Reno3 Pro
- หน้าจอ Super AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว Dual Punch hole ความละเอียด Full HD+
- ชิปประมวลผล MediaTek Helio P95
- RAM 8GB
- ROM 256GB UFS 2.0
- กล้องหน้าคู่ 44MP f/2.4 + 2MP Depth Camera
- กล้องหลัง 4 ตัว 64MP f/1.8 + 13MP Telephoto + 8MP Ultra wide + 2MP Mono Lens
- รองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุด 4K 30fps ในกล้องหลัง
- ปลดล็อกด้วย Hidden Fingerprint Unlock 3.0 และระบบสแกนใบหน้า
- แบตเตอรี่ความจุ 4025 mAh ชาร์จเร็ว 30W VOOC Flash Charge 4.0
- ระบบปฏิบัติการ ColorOS 7 (Android 10)
- วางจำหน่าย 3 สี ได้แก่ Auroral Blue, Midnight Black และ Sky White Limited Edition
อุปกรณ์ในกล่องของ OPPO Reno3 Pro ประกอบไปด้วยตัวเครื่อง, เคส TPU, หูฟังแบบ 3.5 มิลลิเมตร, สายชาร์จและอะแดปเตอร์ 30W VOOC Flash Charge 4.0
ราคา และโปรโมชั่น OPPO Reno3 Pro
OPPO Reno3 Pro วางจำหน่ายในราคา 18,990 บาท มีโปรโมชั่นเมื่อซื้อกับผู้ให้บริการเครือข่ายจะมีส่วนลดให้สูงสุด 10,000 บาท เมื่อซื้อ OPPO Reno3 Pro พร้อมสมัครแพ็กเกจตามที่กำหนดครับ
กล้องหน้าคู่ ความละเอียดสูง 44MP
ในยุคปัจจุบัน การที่สมาร์ตโฟนมาพร้อมกับกล้องหน้าคู่ไม่ใช่เรื่องแปลกสักเท่าไหร่ แต่กล้องหน้าคู่ที่ความละเอียดสูงถึง 44MP ต้องยอมรับว่าเกิดขึ้นใน OPPO Reno3 Pro เป็นครั้งแรกในโลก โดยกล้องหน้าคู่ของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้เป็นแบบ Dual Punch hole Camera ที่ฝังกล้องหน้าไว้บริเวณมุมซ้ายบนหน้าจอ
สำหรับเซ็นเซอร์กล้องหน้าความละเอียด 44MP มีขนาดอยู่ที่ 1/2.65 นิ้ว f/2.4 ส่วนกล้องหน้าตัวที่สองเป็น Depth Camera ความละเอียด 2MP ใช้ในการทำ Bokeh เพื่อให้ได้ภาพถ่ายหน้าชัดหลังเบลอที่สมจริง มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น
นอกจากการถ่าย Bokeh ได้สมจริงแล้ว กล้องหน้าคู่ของ OPPO Reno3 Pro ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์อย่าง Ultra Night Selfie Mode ที่ช่วยให้การเซลฟี่ในที่แสงน้อยออกมาสว่าง คมชัด โดยมีหลักการทำงานแบบ Multi-frame ในการรวมภาพ ผสมผสานกับ AI ที่ตรวจจับใบหน้า แล้วแยกตัวแบบออกจากฉากหลัง อีกทั้งช่วยในการลด Noise
ผลก็คือทำให้ได้ภาพถ่ายเซลฟี่ยามค่ำคืนที่คมชัดเช่นนี้ครับ
ในการถ่ายเซลฟี่ยามค่ำคืนด้วย OPPO Reno3 Pro สำหรับกรณีที่เป็นตอนกลางคืน แต่พอจะมีแสงไฟบ้าง ผมว่าแค่ Normal Mode ก็เพียงพอแล้วครับ เว้นแต่กรณีที่สถานที่ตรงนั้นมืดแบบแทบจะไม่มีแสงไฟจริง ๆ ค่อยเปิด Ultra Night Selfie Mode ซึ่งก็ปรับได้ 2 แบบ คือเปิดแฟลชจากแสงหน้าจอ หรือไม่เปิดแสงหน้าจอ ผลลัพธ์ก็จะแตกต่างกันดังนี้
จากเซ็ตภาพถ่ายเซลฟี่ตอนกลางคืนด้านบน จะเห็นว่ามีแสงไฟจากถนนช่วยพอสมควร เพราะฉะนั้นสถานที่จริงก็จะไม่ได้มืดมาก การเปิด Ultra Night Selfie Mode ทั้งปกติและใช้งานร่วมกับแฟลชหน้าจอ เลยทำให้ภาพดูสว่างจนเกินไป (สังเกตได้จากสีหน้ากากใน 2 รูปด้านซ้ายมือ) แตกต่างจากการถ่ายด้วย Normal Mode กับ Portrait ที่ภาพก็ยังคงสว่างสมจริง และรายละเอียดก็เก็บได้อย่างครบถ้วน
จากนั้นผมเลยลองเปลี่ยนสถานที่ให้มืดเข้าไปอีก มืดในชนิดที่ว่าทำเหรียญหล่นลงพื้นต้องเปิดไฟฉายช่วยหา เพื่อให้เห็นประสิทธิภาพของ Ultra Night Selfie Mode ของ OPPO Reno3 Pro แบบเต็ม ๆ ผลลัพธ์ที่ได้น่าพอใจทีเดียว แต่ส่วนตัวผมชอบการเปิดแฟลชช่วย เพราะแสงที่ยิงออกจากหน้าจอ เป็นแสงแบบ Soft Light ช่วยให้ได้ภาพที่สมจริง และยังแอบทำให้หน้าเนียนเหมือนใช้แสงไฟสตูดิโอด้วยครับ
กล้องหลัง 4 ตัว ความละเอียดสูง 64MP พร้อม Hybrid Zoom 5 เท่า
ไม่ใช่แค่กล้องหน้าที่ OPPO Reno3 Pro ทำได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ในส่วนของกล้องหลังของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ก็จัดมาให้เน้น ๆ ไม่แพ้กัน ด้วยกล้องหลัง 4 ตัว ให้ระยะการถ่ายที่ครบช่วงทั้งระยะปกติ, มุมกว้างพิเศษ และที่สำคัญคือเป็นครั้งแรกที่สมาร์ตโฟนระดับกลางมาพร้อมกับฟีเจอร์ Hybrid Zoom 5 เท่า
สำหรับรายละเอียดกล้องหลัง OPPO Reno3 Pro มีดังนี้
- 64MP Ultra-clear Main Camera f/1.8 เซ็นเซอร์ขนาด 1/1.72 นิ้ว
- 13MP Telephoto Lens f/2.4 พร้อมความสามารถในการซูม 5x Hybrid Zoom และ 20x Digital Zoom
- 8MP Ultra wide-angle Lens
- 2MP Mono Lens ช่วยในการถ่ายภาพ Portrait
ฟีเจอร์กล้องหลังที่น่าสนใจของ OPPO Reno3 Pro อย่างแรกเลยก็คือโหมด Ultra Clear 108MP Image หรือที่ในกล้องจะอยู่ในโหมด Expert แล้วเลือก XHD ทำให้สมาร์ตโฟนรุ่นนี้สามารถถ่ายภาพความละเอียดสูงสุดได้ที่ 108MP สามารถเก็บรายละเอียดของภาพได้เป็นอย่างดี แม้จะนำไปขยาย ครอป หรือซูมก็ยังคงได้รายละเอียดที่ครบถ้วน
ข้อสังเกตอย่างหนึ่งของโหมด XHD ที่ให้ภาพความละเอียด 108MP ก็คือมีขนาดไฟล์ที่ใหญ่มาก โดยเฉลี่ยหากถ่ายด้วยโหมดดังกล่าว จะได้ไฟล์ JPG ที่ขนาดประมาณ 20MB เลยทีเดียว
ภาพด้านล่างเป็นจุดที่ผมทำการ Crop 200% เทียบระหว่าง Normal Mode ความละเอียด 16MP (ค่ามาตรฐาน) กับ Ultra Clear 108MP Image และ 20x Digital Zoom
ในแง่ของคุณภาพหลังจากทำการ Crop 200% บน Photoshop จะเห็นเลยว่าในโหมด Ultra Clear 108MP Image ให้รายละเอียดที่คมชัดมากกว่า สามารถครอปรายละเอียดดีกว่าการถ่ายด้วย 20x Digital Zoom เล็กน้อย และยังมีข้อดีคือสามารถครอปชัดได้ทุกส่วนของภาพ ต่างจากการถ่ายซูม ที่จะเก็บภาพแค่เพียงส่วนเดียว
Ultra Dark Mode ให้ภาพถ่ายที่คมชัดแม้ในที่แสงน้อยมาก ๆ โดยโหมดดังกล่าวจะใช้งานอัตโนมัติเมื่อกล้องหลังของ OPPO Reno3 Pro ตรวจพบว่าสภาพแสงโดยรอบที่ความสว่างน้อยกว่า 1 lux (ความสว่างประมาณจุดเทียน 1 เล่ม) หลักการทำงานของ Ultra Dark Mode จะเป็นการถ่ายภาพแบบ Multi-frame จากนั้นใช้ AI ในการประมวลผลภาพถ่าย
ภาพถ่ายที่ได้จะมีความคมชัด แม้ว่า ณ ขณะนั้นสายตามนุษย์จะแทบมองไม่เห็นอะไรเลยก็ตาม ส่วนความแตกต่างระหว่าง Normal Mode กับ Ultra Dark Mode ก็ตามรูปด้านล่าง เมื่อเทียบกันแล้วจะเห็นว่า Ultra Dark Mode ไม่เพียงแต่ถ่ายได้สว่างกว่า แต่ในเรื่องของรายละเอียดก็ยังให้ความคมชัดมากกว่าด้วยครับ
5x Hybrid Zoom และ 20x Digital Zoom ทำให้ OPPO Reno3 Pro ซูมไกลมากกว่าสมาร์ตโฟนหลายรุ่นในช่วงราคาเดียวกัน เมื่อรวมกับทุกเลนส์ที่มีในสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ ส่งผลให้ระยะถ่ายภาพค่อนข้างครอบคลุมการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายกว้าง 0.6x ไปจนถึงการซูมได้ไกลสุดถึง 20x
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง OPPO Reno3 Pro
ถ่ายวิดีโอนิ่ง ๆ ด้วย Ultra Steady Video 2.0
ในการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหลังของ OPPO Reno3 Pro จะมีความละเอียดสูงสุดที่ 4K 30 fps แต่ในการใช้งานทั่วไป ส่วนตัวผมมองว่า 1080p 60fps ก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว เนื่องจากระบบกันสั่นจะทำงานที่การบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุด 1080p 60fps หากเกิดกว่านี้จะไม่สามารถใช้กันสั่นได้ครับ
สำหรับระบบกันสั่นของ OPPO Reno3 Pro แบ่งออกได้เป็น 2 ระดับ สามารถเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานได้ดังนี้
- Ultra Steady Video: ในโหมดดังกล่าวจะเป็นการใช้ EIS หรือกันสั่นแบบ Electronic Image Stabilization ในการป้องกันภาพสั่นไหว เหมาะกับการถ่ายวิดีโอที่เคลื่อนไหวระดับหนึ่ง เช่น การเดิน หรือการถ่ายวิดีโอขณะเดินทาง โหมดนี้จะได้ความละเอียดสูงสุด 1080p 60fps
- Ultra Steady Video Pro: กรณีที่มีการเคลื่อนไหวเร็วมาก ๆ เช่น ถ่ายวิดีโอขณะวิ่ง หรือทำกิจกรรมที่ค่อนข้าง Extreme สักหน่อย โหมดนี้จะเป็นการใช้เลนส์ Ultra wide-angle ในการถ่ายวิดีโอ ทำให้วิดีโอมีความนิ่งกว่าปกติ แต่ก็ต้องแลกกับความละเอียดของวิดีโอที่จะได้แค่ 1080p 30 fps
นอกจากจะถ่ายวิดีโอได้นิ่งด้วย Ultra Steady Video 2.0 แล้ว OPPO Reno3 Pro ยังมีโหมดวิดีโออื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น การบันทึกวิดีโอหน้าชัดหลังเบลอ, การซูมวิดีโอได้ไกลสุดถึง 20 เท่า รวมถึงโหมด AI Beauty ที่ทำงานในการถ่ายวิดีโอได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง
ส่วนการตัดต่อวิดีโอ OPPO Reno3 Pro มาพร้อมกับแอปพลิเคชั่นอย่าง Soloop ที่ช่วยให้การตัดต่อวิดีโอง่ายขึ้นมาก แค่เลือกวิดีโอ หรือรูปภาพที่ต้องการ จากนั้นเลือกธีมวิดีโอที่ต้องการ หรือจะใส่ฟิลเตอร์ ใส่ Text ก็ทำได้เช่นเดียวกัน
Design – การออกแบบ
ตัวเครื่อง OPPO Reno3 Pro มีจุดเด่นอยู่ที่การออกแบบหน้าจอให้เป็น Dual Punch-hole Display ส่งผลให้ขนาดตัวเครื่องของสมาร์ตโฟนหน้าจอ 6.4 นิ้วเครื่องนี้ จับถือได้สะดวก รวมถึงน้ำหนักตัวเครื่องเพียง 175 กรัม ยิ่งทำให้การใช้งานมีความคล่องตัว ถือตัวเครื่องนาน ๆ แล้วไม่รู้สึกล้าแต่อย่างใด
หน้าจอของ OPPO Reno3 Pro เป็นพาแนลแบบ Super AMOLED ที่ให้ความสว่างสูงถึง 800 nits และเร่งความสว่างได้สูงสุดถึง 1200 nits หากต้องใช้งานกลางแจ้ง ด้านความละเอียด Full HD+ นั้นถือว่าคมชัด เหมาะสมกับการใช้งานอยู่แล้ว ส่วนเรื่องความปลอดภัยจากแสงสีฟ้า หน้าจอของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ผ่านการรับรองจาก TÜV Rheinland ครับ
สำหรับการปลดล็อกตัวเครื่อง OPPO Reno3 Pro สามารถปลดล็อกตัวเครื่องได้ทั้งการปลดล็อกด้วยใบหน้า และการสแกนลายนิ้วมือ โดยเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือของ OPPO Reno3 Pro เป็นการสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอด้วย Hidden Fingerprint Unlock 3.0 ที่ตรวจจับลายนิ้วมือได้รวดเร็วในระดับมิลลิวินาที
Entertainment – ด้านความบันเทิง
OPPO Reno3 Pro ไม่เพียงแต่มาพร้อมกับหน้าจอ Super AMOLED ขนาดใหญ่ถึง 6.4 นิ้วที่มีทั้งความคมชัด และสีสันที่เหมาะกับการรับชมวิดีโอ แต่ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงผลอย่าง OSIE Ultra Clear Visual Effect ที่ช่วยปรับสี และความคมชัดของภาพเมื่อรับชมคอนเทนต์บนแอปพลิเคชันที่รองรับ เช่น TikTok, Instagram เป็นต้น
ส่วนการรับชมวิดีโอสตรีมมิ่งบน Netflix สามารถเล่นได้ที่ความละเอียดสูงสุด Full HD เนื่องจากเป็น DRM Widewine L1 ครับ
นอกจากการแสดงผลภาพที่ดีแล้ว ในส่วนของระบบเสียง OPPO Reno3 Pro มาพร้อมกับระบบเสียง Dolby Atmos ที่สามารถปรับเสียงแต่งเสียงให้เหมาะสมกับการใช้งานได้อัตโนมัติ รวมถึงรองรับ Hi-Res Audio เมื่อเชื่อมต่อหูฟังอีกด้วย
Performance – ประสิทธิภาพ
สมาร์ตโฟนรุ่นนี้ไม่ได้มีดีแค่กล้อง แต่ในด้านประสิทธิภาพโดยรวมของ OPPO Reno3 Pro ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน โดยเฉพาะชิปประมวลผลรุ่นใหม่อย่าง MediaTek Helio P95 และความจุที่สูงถึง 256GB แบบ UFS 2.0 อีกทั้งรองรับระบบชาร์จเร็ว 30W VOOC Flash Charge 4.0 ที่ถือเป็นหนึ่งใน Killer Feature เลยก็ว่าได้
เริ่มที่ตัวชิปประมวลผล MediaTek Helio P95 ที่ปรับปรุงในเรื่อง GPU และ AI ให้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับ Helio P90 ส่งผลให้ในการเล่นเกม OPPO Reno3 Pro เมื่อรวมกับ RAM ที่สูงถึง 8GB และ Hyper Boost เลยทำให้การเล่นเกมมีความลื่นไหล การตอบสนองต่อการสัมผัสที่ดีเยี่ยม และเฟรมเรตที่ค่อนข้างนิ่ง
ผมทดสอบเกมบน OPPO Reno3 Pro หลัก ๆ 4 เกม มีการตั้งค่า และผลทดสอบดังนี้ครับ
ROV – Arena of Valor
สำหรับเกม MOBA ยอดนิยมบนสมาร์ตโฟนอย่าง ROV ปรับตั้งค่าสูงสุดทุกอย่าง สามารถเล่นบน OPPO Reno3 Pro ได้แบบลื่น ๆ ที่เฟรมเรต 60 fps นิ่ง ๆ ตลอดทั้งเกม
PUBG Mobile
OPPO Reno3 Pro สามารถปรับตั้งค่ากราฟฟิกในเกม PUBG Mobile ระดับ HD เฟรมเรตสูงสุด โดยรวมสามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล พบอาการกระตุกแค่ระหว่างที่มีคน Join เยอะ ๆ ใน Lobby เท่านั้นครับ
Free Fire
ในการทดสอบเกม Free Fire ผมปรับกราฟฟิกของเกมที่ระดับสูงสุด พบว่า OPPO Reno3 Pro สามารถเล่นเกมนี่ได้อย่างลื่นไหล ทั้งตัวกราฟฟิก เฟรมเรตสูงแบบนิ่ง ๆ ไปจนถึงการตอบสนองหน้าจอ
Asphalt 9
ปิดท้ายการทดสอบเกมบน OPPO Reno3 Pro ด้วยเกม Offline แต่กราฟฟิกสวยอย่าง Asphalt 9 ก็สามารถเล่นบนการปรับกราฟฟิกระดับสูงได้เช่นกัน
ในส่วนของการจัดการพลังงาน OPPO Reno3 Pro มาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 4,025 mAh ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานใน 1 วัน โดยที่ไม่ต้องพก Powerbank ยกเว้นจะเล่นเกมเยอะ ๆ ระยะเวลาในการใช้งานก็จะลดหลั่นลงไป แต่ด้วยความที่รุ่นนี้มาพร้อมกับ 30W VOOC Flash Charge 4.0 เลยทำให้การชาร์จไฟทำได้อย่างรวดเร็วมาก ๆ
สำหรับ 30W VOOC Flash Charge 4.0 ใช้เวลาเพียง 20 นาที สามารถชาร์จไฟได้ถึง 50% ส่วนเรื่องความปลอดภัยก็มั่นใจได้ด้วยชิปความปลอดภัยถึง 5 ชั้น และถ้าสังเกตที่ตัวอะแดปเตอร์ จะพบว่าเป็นรูปแบบการจ่ายไฟที่แรงดันไฟฟ้าต่ำ ทำให้อะแดปเตอร์ และตัวเครื่องไม่ร้อน แต่มีข้อจำกัดตรงที่ต้องใช้สายชาร์จ, อะแดปเตอร์ที่รองรับ 30W VOOC Flash Charge 4.0 เท่านั้น
Software – ระบบปฏิบัติการ
สำหรับระบบปฏิบัติการของ OPPO Reno3 Pro มาพร้อมกับ ColorOS 7 ที่มีพื้นฐานบน Android 10 ถือว่ามีความเปลี่ยนแปลงจาก ColorOS เวอร์ชั่นก่อน ๆ พอสมควร โดยเฉพาะในด้านการออกแบบ มีรูปแบบไอคอนให้เลือกใช้มากขึ้น รวมถึงสีที่มีความอิ่มตัวน้อยลง ทำให้ใช้งานได้สบายตามากยิ่งขึ้น และยังรองรับ Dark Mode หรือโหมดมืดที่สามารถใช้งานกับแอปพลิเคชั่นได้มากกว่า 200 แอป
Overall – ภาพรวม
ภาพรวมของ OPPO Reno3 Pro ถือเป็นอีกหนึ่งสมาร์ตโฟนที่น่าสนใจ เหมาะสำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพ เพราะทั้งกล้องหลังและกล้องหน้าจัดเต็มด้วยฮาร์ดแวร์คุณภาพสูง มีกล้องซูม 5x Hybrid Zoom ซึ่งหาได้ยากในสมาร์ตโฟนราคาใกล้เคียงกัน อีกทั้งซอฟต์แวร์ AI ที่ปรับแต่งภาพให้สวยงามโดยอัตโนมัติ
กล้องหน้าของ OPPO Reno3 Pro รอบนี้ใส่มาให้เป็นกล้องหน้าคู่ที่มีความละเอียดสูงถึง 44MP รวมถึงโหมดกลางคืนกล้องหน้าอย่าง Ultra Night Selfie Mode และละลายฉากหลังด้วยกล้อง Depth Camera ทำให้ได้ภาพ Portrait กล้องหน้าที่สมจริง เป็นธรรมชาติ ส่วนเรื่องคุณภาพรูปถ่ายเซลฟี่ แบรนด์ OPPO เชื่อใจได้อยู่แล้วครับ
ในส่วนของประสิทธิภาพก็ให้สเปคที่เหมาะสมกับราคา ชิปเซ็ต MediaTek Helio P95 + RAM 8GB และ ROM 256GB แบบ UFS 2.0 ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี ทั้งในแง่ของการใช้งานทั่วไป จนถึงการเล่นเกมยอดนิยมในช่วงเวลานี้ และยังมาพร้อมแบตเตอรี่ 4,025 mAh ที่รองรับระบบชาร์จเร็ว 30W VOOC Flash Charge 4.0 จ่ายไฟได้เร็วกว่าเดิม