อีกหนึ่งสมาร์ทโฟนระดับกลางจากทาง OPPO ที่ต้องขอยอมรับเลยว่าดีไซน์มันสวยจริงๆ (ดูคุ้นๆนะ ก็เพราะมันคือบล็อกเดียวกับ OPPO R1 ที่ขายมาพักหนึ่งแล้วนั่นเอง) กับ OPPO R1L ที่เป็นสมาร์ทโฟนราคาหมื่นนิดๆ แต่สเปคนี่อยู่ในระดับที่ดูดีเลย เหมาะมากสำหรับคนที่เน้นการพกพาและใช้งานทั่วๆ ไป แถมลูกเล่นที่ให้มาใน ColorOS ต้องเรียกเลยว่าแพรวพราวเลยทีเดียว ต้องลองไปดูหน้าตาแล้วลองเล่น แล้วคุณจะรักมันแน่นอน
สเปค OPPO R1L
- ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 400 Quad-Core ความเร็ว 1.6 GHz
- ชิปกราฟฟิค Adreno 305
- จอ IPS ขนาด 5 นิ้ว ความละเอียด HD 1280×720 พิกเซล
- แรม 1 GB
- รอม 32 GB
- กล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อม LED Flash
- กล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล
- รองรับ 2G/3G ทุกเครือข่าย
- รองรับ LTE
- แบตเตอรี่ขนาด 2,410 mAh
- ราคา 10,990 บาท
- สเปคเต็มๆของ OPPO R1L
Design
ครั้งแรกที่ได้เห็นตัวจริงของ OPPO R1L นั้นต้องยอมรับเลยว่ามันออกแบบมาได้สวยมากจริงๆ ซึ่งอันที่จริงแล้ว บอดี้ของมันก็คือตัวเดียวกับ OPPO R1 ที่วางจำหน่ายมาตั้งแต่ปีก่อนแล้วนั่นแหละครับ แต่เอามาปรับสเปคใหม่เล็กน้อย กลายเป็น OPPO R1L
วัสดุและงานประกอบถือว่าทำได้ประทับใจมากเลยทีเดียว ไม่คิดว่าสมาร์ทโฟนระดับแค่หมื่นนิดๆ จะใช้วัสดุที่ดีขนาดนี้ แถมงานประกอบแน่นหนามาก เก็บรายละเอียดได้ดีมาก เกินความคาดหมายจริงๆ
มาเริ่มกันที่ด้านหน้าของตัวเครื่องก่อน โดยทั้งหมดจะเป็นกระจก Gorilla Glass 3 ทั้งหมด เป็นกระจกชิ้นเดียวทั้งหมดไม่มีรอยต่อ มีจอ IPS LCD ขนาด 5 นิ้ว ที่ให้มุมมองที่ดีมากเลยทีเดียว สามารถที่จะมองเฉียงๆ ได้เยอะมาก แถมการใช้งานกลางแจ้งยังสามารถทำได้ดีอีกด้วย เพราะรู้สึกว่าแสงสะท้อนจากหน้าจอไม่ได้เยอะมากมายนัก
ด้านหน้าของตัวเครื่องนั้น ส่วนบนจะประกอบไปด้วยช่องสำโพงสนทนา กล้องหน้า ไฟแจ้งเตือน และเซ็นเซอร์ต่างๆ โดยประกอบไปด้วยเซ็นเซอร์เปิด-ปิดจอ และเซ็นเซอร์วัดแสง ซึ่งช่วยให้สามารถปรับแสงหน้าจอได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งการปรับแสงสามารถทำได้ค่อนข้างดีและเนียนตามากๆ ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว ทางส่วนล่างจะเป็นปุ่มควบคุมพื้นฐานของ Android โดยไล่จากซ้ายไปขวาได้แก่ ปุ่มเมนู ปุ่มโฮม และ ปุ่มย้อนกลับ ซึ่งทั้งหมดเป็นปุ่มระบบสัมผัสที่จะมีไฟขึ้นมาได้ด้วยตามแต่การตั้งค่าของเรา
ส่วนด้านหลังก็จะเป็นกระจก Gorilla Glass 3 เช่นกัน โดยเป็นกระจกชิ้นใหญ่ชิ้นเดียวเลย ซึ่งสามารถป้องกันรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดี ทางด้านบนนั้น มุมซ้ายบนจะเป็นกล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมกับ LED Flash ที่วางไว้ข้างๆ แถมด้วยโลโก้ของ OPPO ที่ด้านหลังเครื่อง
ขอบด้านข้างของตัวเครื่องนั้นจะทำมาจากอลูมิเนียมอย่างดีทั้งหมด ซึ่งให้ความรู้สึกที่แข็งแรงดีเลยทีเดียว แถมให้ความรู้สึกที่ดีขณะจับถือด้วย
ลำโพงหลักของตัวเครื่องนั้นจะถูกย้ายมาไว้ที่ด้านล่างของตัวเครื่อง ซึ่งเสียงที่ได้ออกมาถือว่าดังและดูมีมิติดีพอตัว โดยข้างๆ จะมีช่องไมค์สนทนา และช่อง Micro USB อยู่ด้วย
ส่วนช่องหูฟัง 3.5 มม. ก็ยังคงมีอยู่ โดยอยู่ด้านบนของตัวเครื่อง และมีช่องไมค์ตัวที่ 2 สำหรับตัดเสียงรบกวนวางอยู่ด้วยกัน
ปุ่มปรับระดับเสียงนั้นจะอยู่ที่ด้านขวาของตัวเครื่อง ส่วนปุ่มปลดล็อคเครื่องจะอยู่ที่ด้านซ้าย เหนือขึ้นไปจะเป็นช่องสำหรับใส่ซิมการ์ด ซึ่งรุ่นนี้รองรับเป็น Micro SIM แต่น่าเสียดายที่ไม่รองรับ 2 SIM แต่มีอะไรที่เด็ดกว่านั้น คือมันรองรับ LTE เสียด้วย
ส่วนความหนาของตัวเครื่องนั้นต้องบอกเลยว่าบางมากๆ เพียง 7.1 มม. เท่านั้น เท่ากับ iPhone 6 Plus เลย เรียกได้ว่าบางมาก แถมขอบจอก็ไม่ได้ใหญ่อะไรเลย ถือเป็นสมาร์ทโฟนจอ 5 นิ้วที่จับได้ถนัดและกระชับมือสุดๆ พกพาได้สะดวกสบายมาก สำหรับใครที่ไม่ชอบสมาร์ทโฟนที่มีขนาดใหญ่มากนัก
Software
ถือเป็นจุดเด่นของ OPPO มาตลอดเลยสำหรับ ColorOS ที่เป็น Android ที่ถูกปรับแต่งมาในสไตล์ของ OPPO เองซึ่งให้ลูกเล่นมามากมายจริงๆ แถมเป็นลูกเล่นที่ใช้ได้จริงซะส่วนมากด้วย โดย ColorOS ที่มาพร้อมกับ OPPO R1L นั้นจะเป็นเวอร์ชั่น 1.2.0i ที่มีพื้นฐานมาจาก Android 4.3 Jelly Bean ซึ่งมันถือเป็นธรรมชาติของทาง OPPO อยู่แล้วที่ ColorOS จะไม่ค่อยตาม Android รุ่นใหม่มากนัก แต่ต้องยอมรับว่า ถึงจะออกช้า แต่ออกมาแต่ละทีระบบจะเสถียรมาก และมีลูกเล่นที่น่าสนใจตามมาตลอด
รูปแบบการใช้งานถือว่าใช้งานได้ง่ายมาก การจัดวางเมนูก็ตามแบบฉบับของ Android เลย การตั้งค่าต่างๆ แยกหมวดไว้อย่างชัดเจน และมีคำอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย โดยเฉพาะลูกเล่นเกี่ยวกับ Gesture นี่ถือว่าแพรวพราวมาก แซงหน้าสมาร์ทโฟนเรือธงจากค่ายอื่นๆ ได้หมดเลย เช่นการลากนิ้วเพื่อเปิดไฟฉายในขณะที่ยังปิดจออยู่ ซึ่งนี่ถือเป็นจุดเด่นของ ColorOS อยู่แล้ว ความลื่นไหลไม่ต้องพูดถึง ลื่นไหลไร้กังวลอยู่แล้ว
Feature
พูดถึงฟีเจอร์ของ OPPO ต้องขอบอกเลยว่าจัดเต็มจริงๆ เพราะ ColorOS ขึ้นชื่อเรื่องนี้ เริ่มกันด้วยระบบ Gesture นั่นเอง ซึ่งก็ตามเคยครับ มีให้เลือกมากมายเลย
เริ่มต้นกันด้วยระบบเบสิคก่อนกับหน้าจอ Gesture Panel ที่เราสามารถเปิดขึ้นมาได้โดยการรูดจากด้านบนลงมาเช่นเดียวกับการดู Notification นั่นเอง (รูดจากโซนครึ่งซ้าย จะเป็นการเข้า Gesture Panel ครึ่งขวาเป็น Notification แต่เราสามารถตั้งค่าปิดหรือปรับสัดส่วนได้) ซึ่งส่วนนี้จะเป็นหน้าจอให้เราวาดนิ้วสั่งการตามที่ต้องการได้ โดยเราสามารถเพิ่มได้ไม่จำกัดรูปแบบ ท่าทางการวาดก็สามารถกำหนดเองได้อย่างอิสระจริงๆ สามารถสั่งงานได้หลากหลายมาก ถือเป็นทางลัดที่สะดวกสบายมากเลยทีเดียว
ต่อกันด้วยระบบ Black Screen Gesture ที่เป็นระบบการวาดนิ้วบนหน้าจอขณะล็อคเครื่องและหน้าจอดับอยู่ได้ ซึ่งมีให้เลือกมากมายเลย สำหรับรูปแบบการวาดนั้นจะถูกกำหนดไว้แล้ว แต่เราสามารถกำหนดได้ว่าวาดแบบไหนจะให้ทำงานอะไร เอาจริงๆ แล้วรูปแบบการวาดมันก็เยอะเสียจนเลือกไม่ถูกแล้ว
และแน่นอน ลูกเล่นในหมวด Gesture ที่น่าจะได้ใช้มากที่สุด ก็มีมาให้สำหรับการแตะหน้าจอ 2 ครั้งเพื่อเปิด-ปิดหน้าจอ แต่นี่จะต่างไปเล็กน้อยตรงที่จำกัดบริเวณในการแตะอยู่เพียงแค่ปุ่มโฮม เท่านั้น แต่มันก็มีข้อดีเหมือนกัน คือสามารถล็อคหน้าจอได้จากทุกแอพพลิเคชั่น ไม่ต้องกลับมาที่หน้าโฮมก่อน
แถมด้วย Gesture และการสั่งงานด้วยการขยับอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น รูดลงด้วย 3 นิ้วเป็นการจับภาพหน้าจอ, ใช้ 2 นิ้วรูดขึ้น-ลงเพื่อปรับระดับเสียง, ยกเครื่องมาที่หูเพื่อรับสาย, พลิกคว่ำเครื่องเพื่อปิดเสียงเรียกเข้า และอื่นๆ อีกมากมาย ต้องลองไปเล่นดูเลยครับ ยอมรับเลยว่าใช้ได้จริงหลายอันเลยทีเดียว และสามารถปรับแต่งให้เข้ากับการใช้งานของคุณได้
ระบบ Theme ที่มีให้เลือกหลากหลาย มีให้เลือกเยอะมากมายจริงๆ แถมมีมาเพิ่มเรื่อยๆ ด้วย สำหรับใครที่ขี้เบื่อ และชอบเปลี่ยนรูปแบบหน้าจอ น่าจะชอบใจกันเลยล่ะ
ตามมาด้วยหน้าจอพิเศษที่เราสามารถเพิ่มเข้าไปในส่วนของหน้าจอหลักได้ไม่ว่าจะเป็นหน้า จอเล่นเพลงที่จะเป็นรูปแผ่นเสียง ซึ่งก็ช่วยสร้างสีสันได้ หรือว่าจะเป็นหน้าจอไดอารี่รูปที่เราสามารถถ่ายรูปพร้อมใส่คำอธิบายสั้นๆ เป็นเหมือนไดอารี่ส่วนตัวได้ครับ น่าเล่นมากเลยทีเดียว
Camera
กล้องหลังของ OPPO R1L นั้นมีความละเอียดอยู่ที่ 13 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมระบบ Auto Focus และ LED Flash ซึ่งช่วยให้ภาพถ่ายออกมามีคุณภาพที่สูง และสวยงาม ยิ่งรวมกับแอพพลิเคชั่นกล้องของทาง OPPO เองที่มีลูกเล่นให้ลองเล่นมากมาย และปรับแต่งได้ค่อนข้างจะอิสระมาก ยิ่งทำให้ถ่ายสนุกมากขึ้นจริงๆ
ระบบ Auto Focus ของ OPPO R1L นั้นถือว่าฉลาดใช้ได้เลย ค่อนข้างแม่นยำ ใช้งานง่าย กดยกถ่าย แบบไม่โฟกัสก่อนก็ยังได้ หรือจะแตะหาโฟกัสก็รวดเร็วมาก แตะแป๊บเดียวก็จับติดแล้ว แต่ถ้าอยู่ในสภาวะแสงน้อยอาจจะช้าลงหน่อย และอาจจะต้องแตะช่วยกันมากหน่อย แต่โดยรวมถือว่าทำได้ดีมากเลย ใช้งานง่ายดี
เรื่องของ White Balance ถือว่าทำได้กลางๆ ครับ อาจจะมีเพี้ยนบ้างแล้วแต่สถานการณ์ แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายมากนัก และเราสามารถปรับเองได้ตามที่เราต้องการ ส่วนเรื่องของ Noise ก็ถือว่ามีบ้างพอสมควร แต่รู้สึกว่าตัวแอพพลิเคชั่นก็มีการลด Noise ในระดับหนึ่งจึงไม่น่าเป็นกังวล
โหมดการถ่ายรูปก็มีมาให้อย่างหลาก หลาย ไม่ว่าจะเป็นโหมดถ่ายกลางคืนที่จะช่วยให้ภาพถ่ายตอนกลางคืนดูดีมากขึ้น ถ่ายภาพกีฬา ถ่ายภาพคน และอื่นๆ อีกมากมายให้ได้เลือกใช้กัน หรือจะปรับแต่งเองก็ได้แล้วแต่ความชอบส่วนตัวเลย
ลูกเล่นกล้องก็มีมาให้เล่นกันเยอะมากเลย เริ่มต้นด้วยโหมด HDR ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วรู้สึกว่า HDR ของ OPPO จะให้สีที่สดมากกว่าการถ่ายปกติอย่างเห็นได้ชัด ต่างจาก HDR ของค่ายอื่นที่จะออกมาดูหม่นๆนิดหน่อย แต่ของ OPPO นี่สีสันจี๊ดมาก น่าจะถูกใจหลายๆ คนอยู่เหมือนกัน
ตามมาด้วย Beautify หรือโหมดหน้าเนียนนั่นเอง คงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากนักสำหรับคุณสมบัติของโหมดนี้ น่าจะเดากันได้อยู่แล้ว แถมเราสามารถที่จะปรับระดับความเนียนได้ด้วยนะครับ จะเอาให้เนียนใส หรือดูเนียนเบาๆ สมจริงหน่อยก็ยังได้
โหมด GIF ที่จะถ่ายภาพรัวหลายๆ รูปต่อเนื่องแล้วนำมาต่อเป็นภาพเคลื่อนไหวแบบ GIF นั่นเอง ซึ่งถือเป็นลูกเล่นสนุกที่เอาไว้เล่นขำๆ ส่งแชร์ให้เพื่อนได้สะดวกสบาย และดูสร้างสรรค์ดีด้วย
และปิดท้ายด้วยโหมดไฮไลท์เลยก็คือโหมด Slow Shutter ซึ่งเอาไว้ถ่ายภาพ พวกการวาดไฟเป็นตัวหนังสือ หรือไม่ก็ถ่ายภาพไฟรถบนถนนที่วิ่งเป็นเส้นก็ยังได้ ซึ่งแอพพลิเคชั่นกล้องของ OPPO มีติดมาให้เลยไม่ต้องลงแอพพลิเคชั่นเสริมเลย ซึ่งส่วนมากแล้วภาพแบบนี้มักจะเห็นคนใช้กล้อง DSLR ถ่ายกัน แต่คราวนี้กล้องสมาร์ทโฟนก็ทำได้แล้ว ซึ่งเราสามารถที่จะตั้งเวลาถ่ายได้ว่าจะเปิดชัตเตอร์ค้างไว้กี่วินาทีด้วย แต่ถ้าใครคิดจะใช้โหมดนี้จำเป็นจะต้องมีขาตั้งกล้อง หรือไม่ก็ที่วางสมาร์ทโฟนที่นิ่งๆ ด้วยนะครับ เพราะกล้องต้องห้ามสั่นเด็ดขาดไม่งั้นภาพออกมาดูไม่รู้เรื่องแน่ เพราะฉะนั้นถ้ายืนถือถ่าย คงหมดสิทธิครับ
ภาพที่ได้จากกล้องหลังของ OPPO R1L นั้นถือว่าดูดีมากเลย ทั้งในเรื่องของ สีสันที่สดสวย แต่ไม่เกินจริง และความแตกต่างของส่วนมืดและสว่างก็ทำได้ดี ความคมของภาพอยู่ในระดับที่ดี แต่ถ้าจะซูมดูกันจริงๆ อาจจะยังสู้สมาร์ทโฟนเรือธงไม่ได้ แต่ก็ถือว่าเพียงพอต่อการเอาไปใช้งานทั่วไปแล้ว
มาพูดถึงการถ่าย วิดีโอบ้าง OPPO R1L รองรับการถ่ายคลิปวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ 1080p ครับ ให้ความคมชัดในระดับที่ดีเลยทีเดียว ระบบ Auto Focus สามารถทำงานได้ดี ร่วมกับการปรับโฟกัสแบบสัมผัส ช่วยให้เราคุมการถ่ายได้เป็นอย่างดี
ทาง ด้านกล้องหน้าของ OPPO R1L นั้นจะมีความละเอียดที่ 5 ล้านพิกเซลครับ ถ่าย Selfie ได้มั่นใจชัดแน่นอน ส่วนมุมการถ่ายนั้นก็กว้างเหมือนกับสมาร์ทโฟนทั่วไป ถ่ายกับเพื่อนได้สบายๆ ไม่ต้องยืดมือมากนัก แถมมาด้วยโหมดการตั้งค่าแทบจะเทียบเท่ากับกล้องหลังเลย แน่นอนว่างานนี้ โหมดหน้าเนียนต้องมาด้วยแน่นอน งานนี้ฟรุ๊งฟริ๊งกันได้เต็มที่เลย
Performance
ด้วยความที่ OPPO R1L เป็นสมาร์ทโฟนระดับกลางจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าประสิทธิภาพในการประมวลผลมันอาจจะไม่ได้ดีมากนัก ซึ่งแน่นอนว่ามันเห็นผลชัดเจนเมื่อเล่นเกมที่มีกราฟฟิคหนักๆ พวกเกม 3 มิติที่ไม่สามารถที่จะปรับให้ภาพสวยงามในระดับสูงสุดได้ สามารถทำได้เพียงแค่ระดับกลาง ถึงระดับต่ำเท่านั้น แต่ในเกมทั่วๆ ไป รวมทั้งการดูหนังฟังเพลง เล่นเว็บ เล่นโซเซียล ทำได้สบายหายห่วงไม่มีสะดุดแน่นอน
แต่สิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างจะทำให้รู้สึกขัดใจบ้างก็คือในเรื่องของแรมที่ให้มาเพียง 1 GB ทำให้การใช้งานที่ต้องอาศัยแรมเยอะๆ อาจจะมีปัญหาบ้าง และอาจจะเป็นแอพพลิเคชั่นพร้อมกันได้ไม่เยอะมากนัก แต่เอาจริงก็นานๆ เป็นที ไม่ได้เป็นบ่อยจนรู้สึกได้ ถือว่าการจัดการแรมของ OPPO R1L ทำได้ดีมากทีเดียว
มาพูดถึงเรื่องความร้อนบ้าง ต้องขอบอกเลยว่าเย็นมาก ขนาดลองทดสอบด้วยโปรแกรมหนักติดต่อกันหลายชั่วโมง เครื่องยังไม่ร้อนสักนิด แค่อุ่นนิดเดียวเอง ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่เย็นมากเลยทีเดียว และมาพร้อมด้วยแบตเตอรี่ขนาด 2,410 mAh ที่ก็เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปได้ 1 วันพอดิบพอดี แต่ถ้าใช้หนักๆ อาจจะต้องมีการชาร์จเพิ่มเล็กน้อย แต่ถือว่าทำได้ดีมาก สามารถดูหนัง Full HD ด้วยความสว่างจอสูงสุดจบถึง 2 เรื่องก็ถือว่าใช้ได้แล้ว แถมการเปิด Black Screen Gesture ก็ไม่ส่งผลต่อการใช้งานแบตเตอรี่อีกด้วย
Overall
โดยรวมแล้ว OPPO R1L ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่น่าใช้พอสมควรเลยทีเดียว ในแง่ของรูปร่างหน้าตา การดีไซน์ และงานประกอบที่แซงหน้ารุ่นอื่นในราคาใกล้กันไปพอสมควรเลย แต่ด้วยสเปคภายในที่ดูพื้นๆ เหมือนกับเครื่องอื่นนั้น ก็เลยทำให้ราคา 10,990 บาท ดูจะไม่ได้ถูกอะไรมากมายนัก ถือเป็นราคาทั่วไปของสมาร์ทโฟนในระดับนี้ (เอาจริงๆ ก็สูงกว่าหน่อย แต่ก็ยอมเพราะด้วยวัสดุที่ดีกว่าอย่างชัดเจน และงานประกอบที่ดีกว่าเยอะ)
การใช้งานทั่วไปทำได้สบายๆอยู่แล้ว ข้อจำกัดน้อยมาก แต่อาจจะไม่เหมาะสำหรับคอเกม แต่ถ้าใครต้องการสมาร์ทโฟนสวยๆดูดี ดูมีราคา และจับถือได้อย่างมั่นใจ รู้สึกว่ามันแน่นหนาแล้วหล่ะก็ ต้องขอให้ลองพิจารณารุ่นนี้เป็นพิเศษเลยทีเดียว โดยเฉพาะรุ่นสีน้ำเงิน (ที่เราได้รับมารีวิว) เวลาสะท้อนแสงนี่ออกมาสวยมาก
ข้อดี
- วัสดุดี ดูหรู งานประกอบแน่นหนาดีมาก
- ColorOS ลูกเล่นดีมาก และเสถียร
- เครื่องไม่ร้อนง่าย
- กล้องหลังคมชัด ลูกเล่นดี
- กล้องหน้าชัดเจน
- รองรับ LTE
ข้อสังเกต
- แรมยังถือว่าน้อย ใช้งานอาจมีอาการแรมหมดบ้าง
- เพิ่ม Micro SD Card ไม่ได้