Nokia C32 สมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้นรุ่นใหม่ของ Nokia ที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการแบบ Pure Android ดีไซน์ที่หรูหรา และความสามารถในการถ่ายภาพกลางคืน ในราคาเพียง 3,590 บาท (ทีมงานเราได้มาในราคา 2,999 บาทเอง) เรียกได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้นราคาไม่แรงที่ค่อนข้างน่าสนใจไม่น้อย ด้วยการที่มีดีไซน์ที่ดูแล้วหรูกว่าราคาเครื่อง และเป็นมือถือเริ่มต้นจำนวนน้อยที่มีโหมดถ่ายภาพกลางคืนมาให้ แะด้วยความคุ้มนี้ทางทีมงานจึงได้ไปสอยมารีวิวซะเลย แล้วหลังจากที่เราได้เอาไปลองใช้งานมาระยะหนึ่งเราจะมาเล่าให้ฟังว่าเป็นอย่างไร
สเปคของ Nokia C32
- หน้าจอ : IPS-LCD, ขนาด 6.52 นิ้ว, ความละเอียด 1600 x 720 พิกเซล (HD+), ครอบด้วยกระจก Toughened glass แบบ 2.5D
- ชิปประมวลผล : Unisoc SC9863A
- แรม : 4GB ชนิด LPDDR4 รองรับ Virtual RAM อีก 3GB
- หน่อยความจำ : 128GB ชนิด eMMC 5.1 รองรับ MicroSD สูงสุด 256GB
- กล้องหลัง :
- ตัวที่ 1 : 50MP, PDAF (wide)
- ตัวที่ 2 : 2MP (macro)
- กล้องหน้า : 8MP (wide)
- แบตเตอรี่ : 5,000 mAh รองรับการชาร์จ 10W
- ระบบปฏิบัติการ : Android 13
- การเชื่อมต่อ :
- 4G LTE
- Wi-Fi 802.11 b/g/n (Wi-Fi 2.4GHz)
- Bluetooth 5.2
- GPS
- ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.
- USB Type-C 2.0
- เซ็นเซอร์ :
- Finger Print sensor
- Accelerometer (G-Sensor)
- Ambient light sensor
- Proximity sensor
- ขนาด : 164.6 × 75.9 × 8.6 มม.
- น้ำหนัก : 199.4 กรัม
- สี : ดำ Charcoal, เขียว Autumn Green
- ราคา : 3,590 บาท
ดีไซน์ตัวเครื่อง
ก่อนอื่นเรามาดูรอบ ๆ ตัวเครื่องกันก่อน โดย Nokia C32 นั้นในจะมีให้เลือกทั้งหมด 2 สีคือสีดำ Charcoal และสีเขียว Autumn Green ซึ่งที่เราสอยมานั้นจะเป็นสีดำ Charcoal นั่นเอง โดยทาง Nokia นั้นออกกแบบมาให้แกร่งและทนทานด้วยกระจกนิรภัยทั้งสองด้าน พร้อมด้วยโครงสร้างโลหะชั้นใน อีกทั้งยังมาพร้อมมาตรฐาน IP52 ทำให้สามารถทนต่อฝุ่นละอองและของเหลวหกได้
สำหรับการจัดวางตำแหน่งนั้นจะมีการวางโมดูลกล้องเอาไว้ที่มุมบนซ้าย โดยที่ภายในจะมีการจัดเรียงเป็๋นแนวตั้ง ประกอบไปด้วยกล้องหลัก, กล้องมาโคร และไฟแฟลช LED พร้อมด้วยโลโก้ Nokia อยู่ที่กลางเครื่อง ซึ่งในส่วนของเลนส์หลักจะมีการใส่วงสีล้อมรอบตัวเลนส์ ช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้กับกล้องหลังได้อีกด้วย (เครื่องสีดำจะได้วงสีทอง แต่เครื่องสีเขียวจะได้วงสีเขียวแบบเดียวกับตัวเครื่องนะ)
ในส่วนของหน้าจอนั้นจะมาด้วยดีไซน์แบบหยดน้ำ ทำให้ตัวขอบจอมีความหนาพอสมควร (ในเรทราคานี้ก็จะเป็นแบบนี้หมดอยู่แล้ว) โดยตัวจอแสดงผลนั้นจะเป็นหน้าจอ IPS ขนาด 6.52 นิ้ว ที่มีความละเอียดระดับ HD+ แล้วครอบทับด้วยกระจกนิรภัยขอบโค้งแบบ 2.5D ภายในติ่งจะมีกล้องหน้าและเซ็ยเซอร์ต่าง ๆ รวมเอาไว้อยู่ และถัดขึ้นไปอีกจะเป็นลำโพงที่เอาไว้ใช้สนทนา
สำหรับรอบตัวเครื่องนั้นขอบตัวเครื่องจะมีดีไซน์ขอบเหลี่ยมมีวัสดุโลหะผิวด้าน โดยที่ปุ่มทั้งหมดจะรวมกันอยู่ที่ฝั่งขวาทั้งปุ่มปรับระดับเสียงและปุ่มเปิด-ปิด ซึ่งตัวปุ่มเปิด-ปิดนี้จะเป็นจุดที่ฝั่งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเอาไว้ด้วย ส่วนที่ฝั่งซ้ายจะมีช่องใส่ซิมแบบ Triple-slot อยู่ ส่วนที่ด้านบนจะมีช่องหูฟังขนาด 3.5 มม. และด้านล่างจะมีลำโพงตัวเครื่อง, พอร์ต USB Type-C และรูไมโครโฟนรับเสียงอยู่
สำหรับสิ่งที่ให้มาในกล่องนั้นอกจากตัวเครื่องและอุปกรณืพื้นฐานอย่างชุดชาร์จและเข็มจิ้มซิมแล้ว ยังมีการให้เคสซิลิโคนและชุดหูฟังสมอลทอร์ครูปทรง Earbuds มาให้ด้วย
ระบบปฏิบัติการ
สำหรับระบบปฏิบัติการที่ใส่มานั้นจะเป็น Android 13 ตัวเต็ม ไม่ใช่รุ่น Go Edition เหมือนรุ่นอื่น ๆ ในเรทราคาเดียวกัน ซึ่งนั่นทำให้ได้ฟีเจอร์ต่าง ๆ มาครบ รวมถึงสามารถโหลดแอปฯ ตัวเต็มมาใช้ได้เลย (ในรุ่น Go Edition บางแอปฯ ต้องไปโหลดแอปฯ ที่ชื่อต่อท้ายว่า Go หรือ Lite มาใช้) นอกจากนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์ขยายแรมได้อีก 3GB อีกด้วย สำหรับใครที่คิดว่าแรม 4GB ไม่พอใช้ก็สามารถขยายแรมเพิ่มได้เลย
การใช้งานทั่วไปและการชาร์จ
สำหรับการใช้งานในด้านต่าง ๆ นั้นอย่างแรกเลยคือเรื่องการจับถือ ด้วยขนาดหน้าจอที่ให้มาที่ 6.52 นิ้ว ทำให้ขนาดตัวไม่ได้ใหญ่มากนัก ทำให้การจับถือไม่้ไดเต็มมือมากนัก แต่สิ่งที่ช่วยให้การจับถือสบายมือขึ้นก็คือขอบเหลี่ยมที่มีการลบมุมออก ช่วยให้ตัวเครื่องเข้ามือจับถือได้มั่นคง
สำหรับการเล่นโซเชียลนั้นจากที่ได้ลองถือว่าค่อนข้างลื่นอยู่พอสมควร แต่ ๆ ถ้าไถฟีดเร็วจัดเครื่องก็โหลดไม่ทันอยู่ดี ทั้งนี้เพราะชิปประมวลผลที่ใส่มานั้นไม่ได้มีพลังในการประมวลผลสูงอะไร เน้นไปที่เรื่องประหยัดพลังงานมากกว่า
ส่วนเรื่องความบันเทิงอย่างการดูหนังหรือคลิปต่าง ๆ นั้น ด้วยหน้าจอขนาด 6.52 นิ้วนั้นนับว่าดูได้เต็มตาดี แต่สิ่งที่น่าสนใจคือเมื่อเปิดคลิปหรือหนังที่มีความละเอียดสูงกว่าหน้าจอ (ตอนเทสเปิดด้วยไฟล์หนังที่มีความละเอียด FHD) ภาพที่เห็นจากหน้าจอนั้นดูมีความคมชัดมากกว่าตอนดูหนังที่มีความละเอียด HD (ในสายตาคนเทส) เรียกได้ว่าเอาไปใช้ดูหนังได้สบาย ๆ เพียงแต่ตัวเครื่องที่มาพร้อมลำโพงเดี่ยวนั้นหากจะเเปิดลำโพงให้ได้ยินจะต้องปรับระดับเสียงให้สูงราว ๆ 70% ขึ้นไป ถึงจะได้ยินแบบชัด ๆ เพราะตอนแรกที่ลองเปิดที่ระดับ 50% ในห้องเงียบ ๆ ยังต้องเอาลำโพงมาใกล้หูในระดับหนึ่งเลยกว่าจะได้ยิน
อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจก็คือความจุที่ให้มามากถึง 128GB ทั้ง ๆ ที่มือถือในเรทราคานี้จะให้มากมากสุดแค่ 64GB เท่านั้น และส่วนมากจะให้แค่ 32GB เองด้วย นับว่าเป็นเครื่องราคาไม่แพงที่ให้ความจุมาเยอะสุด ๆ และถ้าคิดว่ายังไม่พอก็ยังสามารถเพิ่มความจุด้วย MicroSD ได้อีกถึง 256GB เลยด้วย
สำหรับตัวแบตเเตอรี่นั้นตจัวเครื่องจะมีแบตเตอรี่ขนาด 5,000 mAh ซึ่งทาง Nokia เคลมว่าสามารถใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานถึง 3 วันด้วยฟีเจอร์ในการประหยัดแบตเตอรี เช่น การหยุดการทำงานของแอปและ HMD Super Battery Saver โดยจากที่ได้ลองนั้นหากไม่ได้เล่นอะไรเยอะ แบตเตอรี่สามารถอยู่ได้ถึง 3 วันจริง ๆ แต่ถ้ามีการเปิดเกมบ้างนาน ๆ ทีก็จะลดลงมาเหลือราว ๆ 2 วัน ซึ่งเอาจริง ๆ ก็นับว่าอึดอยู่ดี ส่วนในเรื่องการชาร์จนั้นตัวเครื่องมาพร้อมกับหัวชาร์จขนาด 10W ทำให้หากใช้จนแบตเตอรี่หมดจะต้องรอราว ๆ 2 – 3 ชั่วโมงในการชาร์จจนเต็ม ดังนั้นเวลาจะชาร์จเน้นให้ชาร์จตอนนอนไปเลยจะดีกว่า
การเล่นเกม
ในเรื่องของการเล่านเกมนั้นตัวเครื่องที่มาพร้อมชิปประมวลผล Unisoc SC9863A ซึ่งเป็นชิปประหยัดพลังงานขนาด 28nm นั้นบอกเลยว่าเล่นได้แค่เกมเบา ๆ เท่านั้นถึงจะลื่น หากเป็นเกมยอดฮิตอย่าง RoV หรือ Free Fire ก็เล่นได้ แต่จะไม่สามารถปรับกราฟิกคุณภาพสูง ๆ ได้ เพราะจะทำให้เกมกระตุกได้ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือเวลาเล่นนาน ๆ ความร้อนจะไม่ค่อยขึ้น รวมถึงสามารถเล่นได้นานมากกว่าแบตเตอรี่จะหมด
การถ่ายภาพ
ในส่วนของการถ่ายภาพนั้นตัวเครื่องจะมีกล้องหลังทั้งหมด 2 ตัวที่ประกอบไปด้วยกล้องหลัก 50MP และกล้องมาโคร 2MP ซึ่งความน่าสนใจคือมีโหมดถ่ายภาพกลางคืนมาให้ด้วยทั้ง ๆ ที่มือถือในเรทราคานี้จะไม่มีให้กัน โดยจากที่ได้เอาไปลองใช้งานมานั้นเรื่องคุณภาพรูปก็นับว่าไม่เลวเลยเมื่อเทียบกับราคาค่าตัว สามารถถ่ายกลางคืนออกมาได้ค่อนข้างดี ถ่ายกลางแดดก็ได้ แต่เรื่องสีสันอาจจะต้องทำใจเล็กน้อยเพราะสีในบางครั้งจะออกมาดูจืด ๆ ไปหน่อย ภาพถ่ายกลางคืนก็เช่นเดียวกัน สำหรับการเซลฟี่นั้นบอกเลยว่าอยู่ในระดับแค่พอใช้ได้ ภาพที่ออกมาไม่ได้มีความคมชัดอะไรมากนัก แต่ที่แปลกคือถึงแม้ตัวเครื่องจะมีโหมดถ่ายภาพบุคคลมาให้แต่ภาพที่ได้นั้นสู้ภาพที่ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องแสงที่จะมืดกว่าพอสมควร
ในเรื่องของกล้องนี้มีหนึ่งจุดที่ต้องพูดเตือนเลยก็คือชัตเตอร์แล็ก โดยเวลาที่กดถ่ายภาพนั้นจะต้องใช้เวลาสักแปปกว่าตัวกล้องจะจับภาพ ซึ่งนั่นจะทำให้เวลาถ่ายมีโอกาสพลาดจังหวะสวย ๆ ไปได้ แต่ที่ยิ่งกว่าคือตอนเซลฟี่กลางคืนจะยิ่งโดนหลอกตากเข้าไปอีก โดยจังหวะที่กดถ่ายบนหน้าจอจะแสดงโมชั่นเหมือนกล้องจับภาพแล้ว แต่ที่จริงคือยังไม่จับ ถ้าจังหวะนั้นเอากล้องลงก็จะได้ภาพเสียไปโดยปริยาย และยิ่งการมีชัตเตอร์แล็กแบบนี้ทำให้เวลาถ้ายภาพกลางคืนหรือในที่แสงน้อยต้องพึ่งขาตั้งกล้องอย่างยิ่งเลยหากต้องการภาพชัด ๆ
ตัวอย่างภาพถ่าย
สรุปการรีวิว Nokia C32
สรุปการรีวิวจากการที่ได้เอาไปใช้งานมาระยะหนึ่งนั้นต้องบอกเลยว่า Nokia C32 เป็นเครื่องที่ทำออกมาได้ดูเกินราคามากโดยเฉพาะดีไซน์ตัวเครื่องที่ไม่น่ามาอยู่ในเครื่องระดับ 3,000 บาทได้เลย แต่ก็น่าจะเพราะแแบบนั้นทำให้สเปคหวือหวาอะไรมากนัก นอกจากความจุที่ให้มาเยอะสุดในเรทราคานี้ที่ 128GB และถึงทาง Nokia จะพูดว่าถ่ายกลางคืนได้ดี แต่ก็ยังต้องพึ่งขาตั้งกล้องเพื่อให้ภาพนิ่งอยู่ดี ทำให้ค่อนข้างลำบากอยู่เล็กน้อย แต่ด้วยราคาค่าตัวแค่ 3,590 บาท ก็คงไม่สามารถเอาอะไรมากไปกว่านี้ได้แล้วจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ที่สวยเกินราคา ความจุที่ให้มาเยอะ และแบตเตอรี่ที่อึดจัด ซึ่งถ้าใครที่สนใจก็ลองเข้าไปดูรายละเอียดและช่องทางการสั่งซือ้ได้ที่ nokia.com ได้เลย
หากถามว่า Nokia C32 เครื่องนี้เหมาะกับใครก็ต้องบอกว่าเหมาะกับเด็กหรือผู้สูงอายุที่ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องสเปคแรง ๆ แต่เน้นใช้งานทั่วไปได้ในราคาที่ถูกมาก ๆ แทน หรือจะซื้อมาใช้เป็นเครื่องรองก็ไม่เลยเพราะเป็นเครื่องที่แบตเตอรี่อึดสุด ๆ สามารถเอามาสแตนด์บายไว้ใช้ตอนฉุกเฉินก็ยังได้
จุดเด่น
- ดีไซน์ที่หรูหราเกินราคา
- ให้ความจุมากมากถึง 128GB
- แบตเตอรี่ 5,000 mAh ที่สามารถใช้ได้นานสุดถึง 3 วัน
- ราคาค่าตัวที่เรียกได้ว่าถูกจัด ๆ
- มาพร้อม Android 13 ตัวเต็ม ไม่ใช้รุ่น Go Edition
ข้อสังเกต
- ชิปประมวลผลไม่ได้มีความแรงมากนัก ทำให้ใช้งานหนักมากไม่ได้
- กล้องมีชัตเตอร์แล็กพอสมควร ทำให้ต้องกะจังหวะในการถ่ายให้ดี ๆ
- ภาพที่ได้จากกล้องสีจะดูจืดกว่าความเป็นจริง
- ลำโพงเสียงไม่ไดดังมากนัก ทำให้ต้องเปิดเสียงดังกว่าปกติ