ก่อนหน้านี้ผมเคยได้รีวิว Xiaomi Air Purifier 3H เครื่องฟอกอากาศอัจฉริยะ ซึ่งเป็นรุ่นสำหรับใช้งานในห้องที่มีขนาดไม่เกิน 45 ตร.ม ส่วนมากก็จะเป็นการวางไว้ในห้องนอน แต่ล่าสุดทาง Xiaomi ก็ได้ส่งรุ่นใหญ่มาให้ผมรีวิว Mi Air Purifier Pro H ที่รองรับการทำงานร่วมกับห้องที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยครอบคลุมพื้นที่ 42 – 72 ตารางเมตร เหมาะกับห้องนั่งเล่น, คอนโดแบบสตูดิโอ ไปจนถึงห้องเรียน และร้านอาหาร
ปัจจุบันเครื่องฟอกอากาศ ถือเป็นหนึ่งในอุปกรณ์จำเป็นอย่างมาก ทั้งในสถานการณ์ที่ฝุ่นละออง PM 2.5 ระบาดทุก ๆ ช่วงต้นปี หรือจะเป็นเรื่องของเชื้อไวรัสต่าง ๆ ที่เป็นปัญหาในตอนนี้ โดยแบรนด์เครื่องฟอกอากาศในตอนนี้ก็มีด้วยกันหลากหลายยี่ห้อ แต่ถ้าจะพูดถึงความสมาร์ต ลูกเล่นเยอะก็คงจะต้องยอมให้กับ Mi Air Purifier จากทาง Xiaomi ที่มาพร้อมกับความสามารถในการเชื่อมต่อสมาร์ตโฟน และสั่งการผ่าน Mi Home App
สเปค Mi Air Purifier Pro H
- ตัวเครื่องสีขาว ขนาดสินค้า 310*310*738mm น้ำหนักประมาณ 9.6 กิโลกรัม
- แรงดันไฟฟ้า 100-240v กำลังไฟฟ้า 70w
- เหมาะสำหรับขนาดพื้นที่การทำงาน 42 – 72ตารางเมตร
- สามารถฟอกอากาศได้CADR 600 m³/h
- สามารถฟอกฟอร์มาลดีไฮด์ได้ CADR 220 m³/h
- กำจัดเกสรดอกไม้ CADR 539.9 m³/h
- กำจัดควัน TVOC CADR 135 m³/h สูงถึง 96.36%
- กำจัดฝุ่น PM2.5 ฟอร์มาลดีไฮด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ไส้กรอง HEPA H13 กรองได้ถึง99.97% สามารถใช้งานได้นานสุดถึง 14 เดือน
- โหมดนอนแบบใหม่ ที่มีเสียงรบกวนต่ำ เพียง 34.1 dB(A)
- จอแสดงผลที่เป็น OLED สามารถมองเห็นคุณภาพอากาศได้อย่างชัดเจน
- สามารถเชื่อมต่อ Mi App สั่งการผ่านสมาร์ตโฟนได้
- รองรับการทำงานร่วมกับ Google Assistant และ Amazon Alexa
- ราคาเปิดตัว 8,990 บาท
รีวิว Mi Air Purifier Pro H – ดีไซน์ การออกแบบตัวเครื่อง
แน่นอนว่า Mi Air Purifier Pro H ก็มาพร้อมกับความสามารถในการเชื่อมต่อ และสั่งการผ่านแอปพลิเคชั่น Mi Home App เพียงแค่เชื่อมต่อตัวเครื่องเข้ากับ Wi-Fi ในบ้าน ทีนี้จะสั่งการ เปิด – ปิด หรือเปลี่ยนโหมดการทำงานจากที่ไหนก็ได้ ขอแค่สมาร์ตโฟนเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเป็นพอ แต่ก่อนที่จะพูดถึงการใช้งานผ่าน Mi Home App มาทำความรู้จักกับ Mi Air Purifier Pro H ให้มากขึ้นกันก่อนครับ
สำหรับ Mi Air Purifier Pro H ถูกวางเป็นเครื่องฟอกอากาศในห้องขนาดกลาง – ขนาดใหญ่ มีอัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์อยู่ที่ 600 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ครอบคลุมการทำงานในพื้นที่สูงสุด 72 ตารางเมตร มีอัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์เพื่อกำจัดสาร Formaldehyde (สารระเหยที่เคลือบเฟอร์นิเจอร์ไม้อัด น้ำยาทาเล็บ ฯลฯ), กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ไปจนถึงสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย อยู่ที่ 220 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง
จุดนี้เมื่อเทียบกับ Mi Air Purifier 3H ความแตกต่างหลัก ๆ ก็อยู่ที่พื้นที่ในการทำงาน เพราะฉะนั้นในการเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ “เลือกให้เหมาะสมกับพื้นที่” อย่างน้อยที่สุดก็ต้องให้พื้นที่ ๆ วางเครื่องฟอกอากาศ อยู่ในขอบเขตการทำงาน เช่น ห้องมีขนาดกว้าง 18 ตารางเมตร แบบนี้สามารถใช้ Mi Air 3H ได้ หรือจะวาง Mi Air Purifier Pro H ก็ยังได้ (แต่ก็จะสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ) เพราะ Mi Air Purifier Pro H เหมาะกับห้องที่มีขนาดตั้งแต่ 42 ตารางเมตรขึ้นไป แต่ไม่เกิน 72 ตารางเมตร
อีกจุดที่ Mi Air Purifier Pro H แตกต่างจากเครื่องฟอกอากาศรุ่นอื่น ๆ ของ Xiaomi ก็คือรุ่นนี้ใช้ไส้กรองขนาดใหญ่กว่า มีอายุการใช้งานยาวนานถึง 14 เดือน (ไส้กรองขนาดปกติของ Xiaomi มีอายุการใช้งานประมาณ 6 – 12 เดือน) ในกล่องมีให้จำนวน 1 ชิ้น เป็นไส้กรองแบบ HEPA แท้ สีฟ้า มาพร้อมกับคุณสมบัติในการดักจับฝุ่น, ขนสัตว์เลี้ยง, สปอร์เชื้อรา, ละอองเกสร กลิ่นและอนุภาคที่มีขนาดเล็ก 0.3 ไมครอน ได้ถึง 99.97% (มาตรฐาน H13) ส่วนอนุภาคที่มีขนาดเล็กกว่านั้น อย่างเชื้อไวรัสที่มีขนาด 0.1 ไมครอน ไส้กรองตัวนี้ก็ให้ประสิทธิภาพในการกรองมากกว่ารุ่นก่อนหน้าอยู่ดี
สรุปง่าย ๆ ในแง่ของประสิทธิภาพของไส้กรอง HEPA สามารถจัดการพวกฝุ่นละออง PM 2.5 ได้สบาย ๆ และกรองได้ละเอียดไปจนถึงพวกแบคทีเรีย เชื้อราต่าง ๆ ส่วนเชื้อไวรัสอาจจะกรองได้ แต่ไม่ให้ประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการกรองพวกเชื้อแบคทีเรีย
ทีนี้มาถึงคำถามที่ว่า Mi Air Purifier Pro H รู้ได้อย่างไรว่าต้องจัดการกับฝุ่นละออง หรือต้องเร่งการทำงานของพัดลมตอนไหน คำตอบอยู่ที่เซ็นเซอร์ตรวจวัดค่าฝุ่นละอองด้านหลังตัวเครื่อง Laser Particle Sensor หากตรวจจับได้ว่ามีฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐาน ก็จะทำการเร่งฟอกอากาศให้โดยอัตโนมัติ ตรงส่วนนี้ในรุ่นก่อนหน้าก็มีเหมือนกันครับ แต่ผมว่ามันตรวจจับมากกว่าฝุ่นละออง เพราะมีการตรวจจับพวกกลิ่นแปลก ๆ ด้วย ผมทดสอบโดยการเปิดเครื่องพ่นไอน้ำ Muji ในห้อง ตัวเลขที่แสดงบริเวณหน้าจอของ Xiaomi Mi Air Purifier Pro H จะเพิ่มขึ้น รวมถึงตัวเครื่องก็จะเร่งความแรงพัดลมในการฟอกอากาศขึ้น
ถัดมาเป็นเรื่องของปุ่มควบคุมต่าง ๆ โดยในรอบนี้ ปุ่มควบคุมจะถูกย้ายมาบนหน้าจอ OLED ทั้งหมด ไม่มีปุ่มกดแบบปกติที่ตัวเครื่องฟอกอากาศ แต่ลักษณะการใช้งานก็ยังคงเหมือนกับรุ่นก่อน ๆ ของ Xiaomi อยู่ครับ ปุ่มเปิด – ปิดเครื่องอยู่ด้านขวา ส่วนปุ่มด้านซ้ายเป็นปุ่มสำหรับเปิด – ปิดแสงหน้าจอ
รายละเอียดการแสดงผลหน้าจอสัมผัสของ Xiaomi Mi Air Purifier Pro H ค่าฝุ่นละอองในอากาศ, อุณหภูมิ, เปอร์เซ็นต์ความชื้น, การเชื่อมต่อ Wi-Fi และโหมดที่ใช้งาน เพียงแตะแป้นบนจอแสดงผล OLED เพื่อใช้งานเครื่องฟอกอากาศ ก็สามารถดูข้อมูลการรายงานได้ทันที ข้อมูลคุณภาพอากาศในห้อง สถานะการทำงานของเครื่องฟอกอากาศ ฯลฯ จะแสดงผลอย่างชัดเจน และมีวงแหวนไฟสามสีแสดงคุณภาพของอากาศภายในห้องได้อย่างรวดเร็ว
Xiaomi Mi Air Purifier Pro H เชื่อมต่อสมาร์ตโฟน
จุดแข็งอีกอย่างของ Xiaomi Mi Air Purifier Pro H (และรุ่นอื่น ๆ ของ Xiaomi) อยู่ที่การเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนผ่านแอปพลิเคชั่น Mi Home ที่ดาวน์โหลดได้ทั้ง iOS และ Android เมื่อนำขนาดการสร้างอากาศบริสุทธิ์ของรุ่นนี้ ในช่วงราคาที่วางจำหน่าย หากเทียบกับแบรนด์อื่นก็แทบจะไม่มีที่เชื่อมต่อสมาร์ตโฟนได้เลยด้วยซ้ำไป อย่างไรก็ตาม หากไม่เชื่อมต่อสมาร์ตโฟนก็ใช้งานได้ตามปกติครับ
มาถึงรีวิว Mi Air Purifier Pro H ในส่วนการใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชั่น ซึ่งมันก็เชื่อมต่อ ควบคุมการใช้งานได้เหมือนรุ่นก่อนหน้าล่ะครับ วิธีการเชื่อมต่อก็ให้ดาวน์โหลดแอป Mi Home จากนั้นทำการสร้าง Account หรือถ้ามีอยู่แล้วก็ให้ทำการ Login เข้าไปได้เลย
ขั้นตอนการเชื่อมต่อ Mi Air Purifier Pro H กับโทรศัพท์ มีดังนี้
- ดาวน์โหลดแอป Mi Home (มีให้โหลดทั้ง App Store และ Play Store)
- เปิด Wi-Fi และ Bluetooth ที่สมาร์ตโฟน
- เปิดแอป Mi Home ล็อกอิน แล้วเลือกเพิ่มอุปกรณ์สำหรับเชื่อมต่อ
- กดปุ่ม 2 ปุ่มที่หน้าจอของ Mi Air Purifier Pro H พร้อมกัน
- เลือกเชื่อมต่อเครื่องกรองอากาศที่หน้า Mi Home App จากนั้นใส่รหัส Wi-Fi ที่บ้าน (รองรับแค่ 2.4GHz)
- สามารถสั่งการเครื่องกรองอากาศผ่านสมาร์ตโฟนได้ทันที
ข้อสังเกตอย่างหนึ่งในการเชื่อมต่อ Xiaomi Mi Air Purifier Pro H กับ Wi-Fi ในบ้านก็คือมันรองรับแค่ Wi-Fi 4 หรือ Wi-Fi 2.4GHz เท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติของอุปกรณ์ประเภท IoT อยู่แล้ว เมื่อเชื่อมต่อ Xiaomi Mi Air Purifier Pro H กับอินเทอร์เน็ตผ่านแอปพลิเคชั่น Mi Home เรียบร้อยก็พร้อมสั่งการตัวเครื่องผ่านสมาร์ตโฟนได้ทันที ขอแค่เปิดอินเทอร์เน็ตที่บ้านให้เครื่องฟอกอากาศเชื่อมต่อ จะสั่งการจากที่ไหนในโลกก็ได้ แต่สมาร์ตโฟนต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วยนะครับ
ในแอปพลิเคชั่น Mi Home จะสามารถสั่งการเปิด – ปิดตัวเครื่องผ่านสมาร์ตโฟน สั่งเพิ่มโหมดพัดลม ตั้งเวลาเปิดปิดตัวเครื่อง รวมถึงแจ้งเตือนอายุของฟิลเตอร์ได้ด้วย และต่อให้ปิดเครื่องฟอกอากาศ แต่ถ้า Mi Air Purifier Pro H เสียบปลั๊ก มันก็สามารถตรวจสอบคุณภาพอากาศได้แบบ Real-time ผู้ใช้กดเข้าไปดูคุณภาพอากาศ ผ่านแอป Mi Home ได้ทันที
อีกสิ่งหนึ่งที่ Xiaomi Mi Air Purifier Pro H ทำได้ก็คือมันเชื่อมต่อตัวเองกับ Google Assistant หรือ Alexa ได้ ทำให้เพื่มความล้ำไปอีกระดับ สามารถสั่งการด้วยเสียงได้ แต่ก็ต้องมีอุปกรณ์สั่งการในห้องด้วยนะครับ อย่างในห้องผมจะมี Google Nest Mini ที่คอยรับคำสั่งเสียง ก็แค่ผูกบัญชี Mi Home เข้ากับบัญชี Google Home เท่านี้ก็สั่ง “OK Google เปิดเครื่องฟอกอากาศ” ผ่านทาง Google Nest Mini ได้ทันที
ภาพรวม รีวิว Mi Air Purifier Pro H
ส่วนตัวผมหลังจากได้ใช้งานเครื่องรีวิว Mi Air Purifier Pro H นี่เป็นเครื่องฟอกอากาศที่ค่อนข้างชัดเจนในแง่ของการใช้งาน รุ่นนี้ไม่ได้มาแทนพวก Mi Air Purifier 3H แต่เป็นการทำมาเพื่อตอบโจทย์ห้องขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นห้องรับแขก ไปจนถึงการใช้งานในร้านอาหาร หรือห้องเรียนที่มีขนาดไม่เกิน 72 ตารางเมตร แต่ถ้านำไปใช้งานในห้องที่มีขนาดเล็กกว่า 42 ตารางเมตร ก็สามารถใช้งานได้เหมือนกัน หากงบประมาณไม่ใช่ปัญหา
ส่วนการเทียบกับเครื่องฟอกอากาศแบรนด์อื่น ผมมองว่าจุดแข็งของ Xiaomi Mi Air Purifier Pro H รวมถึงรุ่นอื่น ๆ ของทางเสียวหมี่ก็คือการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่น สั่งการผ่านสมาร์ตโฟนได้ และราคาที่ทำไว้ค่อนข้างดี 8,990 บาท หากเทียบกับยี่ห้ออื่น แน่นอนว่าไม่สามารถเชื่อมต่อแอป เพื่อสั่งการผ่านโทรศัพท์ได้ และยังไม่รวมบรรดาช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ ที่แข่งกันจัดแฟลชเซลล์ โปรโมชั่นลดราคาเครื่องฟอกอากาศเสี่ยวหมี่อีกนะครับ หากซื้อจังหวะช่วงที่มีโปรโมชั่นใหญ่พอดี เผลอ ๆ ค่าเครื่องลดลงไปได้อีกเยอะเลย
- Lazada : https://bit.ly/3hRnJPQ
- Shopee : https://bit.ly/31MwCof
- JD Central : https://bit.ly/2Dg6SH8
สำหรับช่องทางการสั่งซื้อ Xiaomi Mi Air Purifier Pro H ทางออนไลน์ก็จะมีสองช่องทางหลัก ๆ ที่เป็น Xiaomi Official Store ดังนี้ครับ ส่วนการซื้อจากร้านอื่น ก็แนะนำให้ดูเป็นตัวประกันศูนย์ไทยน่าจะดีที่สุด เพราะราคาเมื่อเทียบกับเครื่องหิ้วก็ต่างกันไม่มาก เผลอ ๆ มีโปรโมชั่น ราคาศูนย์ไทยถูกกว่าก็เคยมีให้เห็นมาแล้ว