ตอนที่ PR Kingston ประเทศไทย โทรมาบอกว่าอยากให้ช่วยรีวิวหูฟังให้หน่อย เป็นหูฟังรุ่น Hyper X Cloud Core บอกตามตรงว่าผมติดสตั้นไปสิบวินาทีได้ นั่นก็เพราะว่า SpecPhone.com เป็นเว็บมือถือ แต่ไหง PR ถึงอยากจะส่งหูฟังเกมมิ่งมาให้รีวิวซะอย่างงั้นอ่ะ
“เอาไปลองฟังดูก่อนครับ รุ่นนี้ไม่ได้เป็นเกมมิ่งจ๋าขนาดนั้นนะ รุ่นนี้ทำออกมากลางๆ ใส่เล่นเกมก็ได้ ใส่ฟังเพลง ดูหนังก็ชิคๆ” นี่คือคำพูดสุดท้ายของ PR Kingston ก่อนที่หูฟัง Kingston Hyper X Cloud Core จะถูกส่งมาที่ออฟฟิศ SpecPhone อย่างรวดเร็ว ให้ตายเถอะ ผมว่าโทรสั่งพิซซ่ายังรอนานกว่านี้อ่ะ
ก็นั่นแหละครับ Kingston Hyper X Cloud Core อยู่ในมือผมเรียบร้อยแล้ว……..
“มันไม่เกมมิ่งจ๋าขนาดนั้นตรงไหน (วะ)” นี่คือสิ่งที่ผมคิดเมื่อเห็นกล่องของ Kingston Hyper X Cloud Core ครั้งแรก ก็ดูที่กล่องของหูฟังรุ่นนี้สิครับ ยี่ห้อเอย, รูปที่กล่อง, ตัวแพคเกจเองก็ล้วนแต่ดูยังไงก็หูฟังคนเล่นเกมชัดๆ แต่ก็เอาเถอะ ไหนๆ ก็ส่งมาให้รีวิวแล้ว ก็จะขอรีวิว Kingston Hyper X Cloud Core ในแบบของผมก็แล้วกันครับ
Hyper X Cloud Core ทำมารองรับแทบทุกอย่าง ตั้งเครื่องเล่นเกม, คอมพิวเตอร์ จนถึงมือถือ
แน่นอนว่าไม่ได้ใส่ Kingston Hyper X Cloud Core เล่นเกมซักกะติ๊ดเดียว 555
Kingston Hyper X Cloud Core เป็นหูฟังแบบที่เรียกกันว่า Headphone ถ้าจะให้ลงลึกไปหน่อยก็คงเรียกได้ว่าเป็นหูฟังแบบ Full Size นั่นแหละครับ ด้วยไดรเวอร์หูฟังที่มีขนาด 53 มิลลิเมตร เพียงพอที่จะครอบทั้งใบหูของเราไว้ตอนสวมใส่ การันตีได้อย่างนึงแล้วว่าตัว Pad หูฟังของ Kingston Hyper X Cloud Core ไม่กัดหูผมแน่นอน
อุปกรณ์ในกล่องของ Kingston Hyper X Cloud Core ให้มาครบครันเลยครับ ถ้ามองในมุมของหูฟังเกมมิ่ง ไม่ว่าจะเป็นไมโครโฟน, สายต่อเพิ่มความยาว (เป็น Jack แยกระหว่างเสียงกับไมค์) ทั้งหมดรวมทั้งตัวหูฟัง Kingston Hyper X Cloud Core ถูกใส่มาในกล่องที่แข็งแรง ข้างในบุฟองน้ำไว้อย่างดี ถึงแม้แพคเกจจะไม่หรูเท่า Kingston Hyper X Cloud II แต่เมื่อเทียบกับหูฟังในราคาใกล้เคียงกัน ผมว่า Kingston Hyper X Cloud Core มีแพคเกจที่หรูหรากว่าเยอะ
ตัวหูฟัง Kingston Hyper X Cloud Core เมื่อตั้งใจมองดีๆ แบบปราศจากอคติตอนแรกว่าที่ผมตั้งธงไว้แล้วว่ามันเป็นหูฟังเกมมิ่ง พอนั่งมองดีๆ “เห้ย!! พอไม่เสียบไมค์มันก็หูฟังปกติธรรมดานี่หว่า” แหม่ Kingston ไม่น่าถ่ายรูปแพคเกจ Kingston Hyper X Cloud Core แบบใส่ไมโครโฟนเลยอ่ะครับ มันเลยดูเกมมิ่งจ๋าไปหน่อย เอาเป็นว่า Kingston Hyper X Cloud Core ตอนไม่เสียบไมค์เนี่ย ใส่เดินห้าง ใส่ไปเที่ยว ใส่เดินทางมาทำงาน ผมว่าคนรอบข้างไม่สังเกต หรือรู้สึกแปลกๆ หรอกครับ ด้วยตัวหูฟังที่มีโทนสีหลักเป็นสีดำด้วยส่วนหนึ่ง
ถ้าใส่ไมค์ก็ดูเป็นเกมมิ่งเลยแหะ
คือผมเชื่อว่าถ้าใส่ SkullCandy หรือ Beat เดินห้างกันได้ Kingston Hyper X Cloud Core ก็ใส่ได้สบายๆ อ่ะครับ
ก้านหูฟัง Kingston Hyper X Cloud Core ใช้วัสดุเป็นอลูมิเนียมที่ดัดได้ ส่วนที่คาด และ Pad หูฟังจะใช้วัสดุเป็นหนังเทียม ซึ่งข้อดีของการใช้หนังเทียมคือมันดูแลรักษาความสะอาดได้ง่ายกว่าครับ เวลาเราใส่ไปเดินข้างนอก อากาศร้อนๆ เหงื่อออก พอกลับบ้านมาก็แค่หาผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดเท่านั้นเอง แต่ถ้าเป็นผ้า หรือเป็นกำมะหยี่นี่งานหยาบเลยครับ เลอะแล้วเลอะเลย แถมเก็บกลิ่นไม่พึ่งประสงค์ไว้อีกต่างหาก
นอกจากนี้ ตัว Pad หูฟังของ Kingston Hyper X Cloud Core ยังใช้วัสดุเป็น Memory Foam ด้วยนะครับ ข้อดีของ Memory Foam คือมันสามารถปรับตัวให้เข้ากับสรีระของเราได้ ลดอาการบีบ และ Pad หูฟังกัดใบหูได้ดีมากๆ สวมใส่สบายด้วยครับ โดยตัว Pad หูฟังของ Kingston Hyper X Cloud Core สามารถถอดเปลี่ยนได้ด้วย ขนาดก็คือแพดสำหรับหูฟังไดรเวอร์ 53 มิลลิเมตร หาซื้อไม่ยากครับ
มาดูในส่วนของสายหูฟังกันบ้าง บอกเลยว่าจากประสบการณ์ใช้งานหูฟังมาหลายยี่ห้อ บางรุ่นทำบอดี้ออกมาดีมาก หรือเสียงดีสุดๆ แต่มักจะไม่ทนทาน และก็จะตายเอาตรงสายนี่แหละครับ ซึ่งปัญหานี้จะไม่เกิดกับ Kingston Hyper X Cloud Core แน่นอน เพราะพี่แกมาพร้อมกับสายถัก ข้อดีของสายแบบนี้คือมันไม่ค่อยพันกัน แล้วก็ทนทานกว่าสายหูฟังแบบปกติแน่นอน
Kingston Hyper X Cloud Core เป็นหูฟังที่ต้องบอกว่าสวมใส่ได้สบายรุ่นหนึ่งเลยครับ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับพวกหูฟังแบบ Semi-Full Size ด้วยการออกแบบที่ดี ตัวหูฟังมีน้ำหนักไม่มากจนเกินไป และ Pad ที่ใช้วัสดุเป็น Memory Foam ทำให้เราสามารถใส่ Kingston Hyper X Cloud Core ได้นานกว่าหูฟังบางรุ่น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ควรใส่หูฟังต่อเนื่องนานๆ นะครับ ควรพักหูบ้าง เช่นฟังเพลงต่อเนื่อง 1 ชั่วโมง ก็พักซักสิบนาที เป็นต้น
อ้อ ข้อสังเกตอีกอย่างของ Kingston Hyper X Cloud Core คือไม่ค่อยเก็บเสียงเท่าไหร่ครับ อย่างผมลองเอา Pad แบบผ้ามาใส่นี่แล้วเลย ฟังอะไรคนอื่นได้ยินหมด แตถ้าเป็น Pad หนังเทียมที่แถมมากับตัวหูฟังก็พอได้อยู่ครับ
แนวเสียงของ Kingston Hyper X Cloud Core ถามว่าเอามาฟังเพลงเหมาะหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าพอไปไหวครับ โดยจุดเด่นสุดๆ ก็คงเป็นเรื่องของ Sound Stage ที่ค่อนข้างกว้าง การแยกชิ้นดนตรีที่ทำได้ดีเอามากๆ ใส่ฟังเพลงชิลๆ เน้นฟังนานๆ อ่ะตอบโจทย์เลยครับ แต่ถ้าจะฟังเอามันส์ เอากระแทกกระทั้น หรือจะฟังแนวหวานๆ ผมว่า Kingston Hyper X Cloud Core ยังไม่ตอบโจทย์ เพราะเสียงของรุ่นนี้มันแบนราบเรียบซะเหลือเกิน เบสอิมแพคเบาหวิว เสียงแหลมช่วงแรกๆ นี่บาดหูพอสมควร (แก้ไขได้ด้วยการเบิร์นซัก 100 ชั่วโมง) เสียงร้องก็ไม่ค่อยเด่น แต่ก็อย่างที่บอกไปครับ Kingston Hyper X Cloud Core เน้นฟังนาน ฟังเรื่อยๆ มากกว่า มันไม่ค่อยล้าเท่าพวกหูฟังสายคัลเลอร์ ที่เบสตึ๊บๆ
อย่างตอนนี้ผมก็ใส่ Kingston Hyper X Cloud Core ทำงานไปเรื่อยๆ ครับ รู้สึกดีนะ เหมือนทำงานในโลกส่วนตัวเลย แต่ต้องเปิดเพลงดังหน่อย เนื่องจากตัวไดรเวอร์มีขนาดใหญ่ ต้องใช้พลังเยอะในการขับ อย่างเปิดกับ iPhone ผมจะเร่งเสียงที่ประมาณ 60 – 70% แต่ถ้าใส่ฟังเพลงผ่านเครื่อง Macbook ก็เปิดประมาณ 50% ก็เหลือๆ ครับ
ถามว่าตอนที่รีวิว Kingston Hyper X Cloud Core ผมใช้หูฟังรุ่นนี้ทำอะไรบ้าง ก็ตามรูปเลยครับ Kingston Hyper X Cloud Core นี่ใส่ดูหนังนี่บอกเลยว่าแจ่มแมวเอามากๆ ด้วยการแยกรายละเอียดของเสียงที่ทำได้ดี บวกกับเวทีเสียงที่กว้าง ใส่ดูหนังนี่เพลินเลย
หรือจะใส่เล่นเกมมือถือก็งานถนัดเขาล่ะ
เวลาพก Kingston Hyper X Cloud Core ไปนอกสถานที่ก็ทำได้สะดวกครับ ถึงแม้จะไม่มีกล่อง หรือถุงใส่หูฟังแถมมาให้ในแพคเกจ (หูฟังยี่ห้ออื่น บางรุ่นเขาก็ไม่ให้มาเหมือนกัน) แต่เราก็สามารถใส่คล้องคอได้โดยที่ไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหาแต่อย่างใด และด้วยน้ำหนักที่ค่อนข้างเบา (สำหรับ Full Size) การพก Kingston Hyper X Cloud Core จึงเป็นเรื่องง่ายไปเลย แต่จะดีกว่านี้ ถ้า Kingston Hyper X Cloud Core สามารถพับตัวหูได้อ่ะนะ
ภาพรวม
สรุปกันสั้นๆ Kingston Hyper X Cloud Core กับราคาค่าตัวพันกว่าบาท (ราคายังไม่ไฟนอล) เอาเป็นว่าถ้าราคาเปิดมาไม่เกิน 2,500 บาท ผมว่าคุ้มค่าเลยทีเดียว ทั้งในเรื่องของวัสดุ หรือแนวเสียงที่สามารถฟังเพลงได้เพลินๆ ฟังได้นานโดยที่ไม่ล้า จะใส่ดูหนังก็ยิ่งแจ่ม หรือจะใช้เล่นเกมนี่ยิ่งเหมาะเลย ใส่เล่นเกมมือถือนี่รู้สึกได้ถึงความต่างระหว่างตอนที่ให้เสียงออกทางลำโพงกับตอนใส่หูฟังเลยครับ ได้อรรถรสกว่ากันเยอะ
ส่วนวิดีโอพรีวิวแกะกล่องในสไตล์น้องแอ๋ม ก็คลิกชมกันได้เลย