ถ้าพูดถึงอุปกรณ์สวมใส่พวก wearable gadget ในปัจจุบันนี้เราก็จะนึกถึงพวกสายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพกันซะเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ประเภทที่เราเห็นในตลาดมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งหนึ่งในแบรนด์ที่บุกเบิกตลาดมาตั้งแต่แรกก็คือ Jawbone ที่ผสมผสานทั้งความสามารถในการเป็นฟิตเนสแทร็กกิ้ง เข้ากับดีไซน์ ทำให้หน้าตาของ Jawbone UP ที่ผ่านๆ มา เช่นใน UP รุ่นแรก, UP24 รวมถึง UP Move ทำออกมาได้น่าใช้งาน สามารถใส่เป็นเครื่องประดับได้แบบเก๋ๆ
และในตอนนี้ก็มีรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาขายในไทยแล้วครับ ซึ่งทางเราก็ได้รับมารีวิวกันก่อนเช่นเคย กับ Jawbone UP2 สายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพ ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็คือ UP24 ที่อัพเกรดหน้าตาขึ้นมา ผสมผสานกับการใช้งานแบบไร้สายเหมือน UP Move นั่นเอง เรียกว่าออกแบบมาให้ใช้งานได้สะดวกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเราจะมาดูกันครับว่ามันสะดวกขึ้นยังไงบ้าง มาชมกันเลย
สำหรับสินค้าในตระกูล UP ของ Jawbone รุ่นใหม่ๆ ทีมีขายอยู่ในตลาดขณะนี้ จะเน้นไปที่ 3 ตัวข้างบนเลย ได้แก่ UP Move ที่เราเคยรีวิวไปแล้ว ต่อมาก็คือ UP2 ในรีวิวนี้ และปิดท้ายด้วย UP3 ที่จะเข้ามาขายในอีกไม่นานนี้ด้วยครับ ถ้าดูจากภาพข้างบน ก็จะเห็นความแตกต่างด้านฟีเจอร์แบบคร่าวๆ อยู่แล้ว เช่น
- UP2 กับ UP Move มีฟีเจอร์เหมือนกัน ต่างกันที่หน้าตา ลักษณะการสวมใส่ โดย UP2 จะเป็นสายรัดข้อมือ ส่วน UP Move จะเป็นเม็ดสำหรับกลัดติดกับเสื้อผ้า หรือจะใส่เป็นสายรัดข้อมือก็ได้ แต่ต้องหาสายรัดข้อมือมาใช้ด้วย (ชุดที่ขายในไทย มีแถมให้ 1 เส้น)
- UP2 มีแบตเตอรี่ในตัว มีพอร์ตสำหรับชาร์จไฟ ส่วน UP Move จะใช้เป็นถ่าน CR2032 เม็ดแบนๆ ทำให้ไม่ต้องชาร์จไฟ
- UP3 ก็คือ UP2 ที่อัพเกรดขึ้นไปอีก มีเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นหัวใจด้วย
ทีนี้มาดูฟีเจอร์และข้อมูลที่น่าสนใจของ Jawbone UP2 กันหน่อยครับ
- ขนาดตัวสายรัด 220 x 11.5 x 3.0 ถึง 8.5 มิลลิเมตร หนัก 25 กรัม
- มีขนาดเดียว สามารถใส่ได้กับช่วงข้อมือ 140 – 190 มิลลิเมตร
- สายทำมาจากซิลิโคน TPU เกรดทางการแพทย์ ป้องกันการแพ้ของผิวหนัง ตัวเรือนภายในทำมาจากอลูมิเนียมอะโนไดซ์ มีส่วนผสมของนิกเกิลต่ำกว่า 0.5%
- แบตเตอรี่ Li-ion ความจุ 38 mAh ใช้งานได้อย่างต่ำ 7 วัน มีจุดชาร์จแบบขั้วแม่เหล็ก ชาร์จจนเต็มใน 60 นาที
- กันละอองน้ำ กันฝุ่นได้ แต่ไม่ควรใส่ว่ายน้ำหรือแช่น้ำนานๆ รวมถึงไม่ควรใส่ใช้งานในที่สภาวะอุณหภูมิไม่ปกติ เช่นห้องซาวน่า ใส่อบไอน้ำ แช่น้ำร้อน
- เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านทาง Bluetooth 4.0 BLE
- มีเซ็นเซอร์วัดความเร่งแบบ 3 แกน (3-axis)
- เปลี่ยนโหมดการทำงานด้วยการแตะตัวเรือน
- มีระบบ Smart Coach ช่วยให้ข้อมูล คำแนะนำเพื่อการรักษาสุขภาพ
- มีให้เลือก 2 สีคือสีดำ กับสีเงิน-ขาว
มาต่อกันที่ดีไซน์ หน้าตา และการใช้งาน Jawbone UP2 กัน
หน้าตาของ Jawbone UP2 ก็เหมือนสายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพปกติครับ ตัดหน้าจอออก ทำให้ตัวเรือนออกมาบาง ไม่ใหญ่เทอะทะจนเกินไป ด้านบนก็จะมีลวดลายเป็น texture ให้ความรู้สึกแตกต่างจากตัวเรือนในส่วนอื่นที่ทำออกมาค่อนข้างเรียบ ซึ่งด้านบนนี้จะเป็นส่วนที่มีไฟ LED แสดงสถานะโหมดการทำงานของตัว UP2 อยู่ โดยสามารถเปิดให้ไฟติดขึ้นมาได้ด้วยการแตะลงไปสองครั้งติดๆ กัน ลักษณะเหมือนเราดับเบิลคลิกปุ่มเม้าส์ครับ จากนั้นไฟก็จะติดขึ้นมา ถ้าอยู่ในโหมดนับก้าวเดิน ตรวจจับการเคลื่อนไหวทั่วไป ก็จะเป็นไฟสีส้มรูปคนวิ่ง ส่วนถ้าอยู่ในโหมดตรวจวัดคุณภาพการนอนหลับ ก็จะขึ้นเป็นไฟสีฟ้ารูปเสี้ยววงพระจันทร์ปรากฏขึ้นมา
ส่วนเรื่องของการสลับเปลี่ยนโหมดนั้นก็ทำได้ไม่ยาก เพียงแค่กดแตะสองครั้งให้ไฟแสดงโหมดปรากฏขึ้นมา แล้วก็แตะค้างไว้ซักสองวินาที จนตัวเรือนสั่น จนไฟสลับไปกระพริบที่อีกโหมดเท่านั้นเอง แต่จะพิเศษหน่อยตรงการเปลี่ยนโหมดจากโหมด sleep มาเป็นโหมด active คือตัว UP2 จะเปลี่ยนโหมดให้อัตโนมัติ ถ้าหากเราเปิดใช้โหมด sleep อยู่ แล้ว UP2 นับว่าเราเดินไปแล้ว 250 ก้าว ระบบก็จะเปลี่ยนมาเป็นโหมด active สำหรับตรวจจับการเคลื่อนไหวให้อัตโนมัติทันที
ตัวเรือนของ Jawbone UP2 ไม่หนามากครับ เผลอๆ จะบางกว่านาฬิกาข้อมือซะอีก ตอนใส่นี่บอกเลยว่าเบามาก จนเหมือนว่าแทบไม่ได้ใส่อะไรอยู่เลย
ตัวสายเป็น TPU ผิวเนียน ถ้าใช้ไปนานๆ ก็มีรอยขูดขีดอยู่บ้างเหมือนกัน ส่วนตัวล็อกนั้นจะใช้เป็นอลูมิเนียมช่วยล็อกแบบขัดกันไว้ ซึ่งก็ล็อกได้แน่นพอสมควร แต่ถ้าเรามี activity เยอะๆ ขยับแขนบ่อยๆ ตัวล็อกก็จะเลื่อนออกมาอยู่เหมือนกัน ต้องคอยดันกลับเข้าไปให้ลงล็อก เพราะไม่อย่างนั้นสายอาจเลื่อนหลุดได้เหมือนกัน แต่ก็ยากอยู่ครับ โดยรวมแล้วจัดว่าล็อกได้แน่นอยู่
ส่วนตัวล็อกที่มีคำว่า Jawbone อยู่นั้น จะใช้เป็นตัวปรับขนาดข้อมือตามแขนของผู้ใช้ ซึ่งช่วงปรับก็จัดว่าทำได้กว้างมากๆ ทำให้ใช้ได้แทบทุกคนเลย
เมื่อพลิกมาดูด้านใน ก็จะพบกับพอร์ตสำหรับชาร์จแบตเตอรี่ครับ โดยมันใช้เป็นขั้วทองเหลืองที่มีแม่เหล็กสำหรับดูดติดกับสายชาร์จด้วย
หน้าตาของสายชาร์จก็เป็นแบบนี้เลย ด้านหนึ่งเป็น USB อีกด้านก็เป็นขั้วทองเหลืองที่มีแม่เหล็กช่วยดูดติดกับ UP2 โดยสามารถประกบชาร์จได้ด้านเดียวเท่านั้น ถ้าประกบเข้าไปผิดด้าน ขั้วแม่เหล็กจะผลักออกจากกัน ทำให้ขั้วทองเหลืองไม่สัมผัสกัน และไม่สามารถชาร์จได้ ส่วนเวลาชาร์จ จะมีไฟ LED ติดให้เห็นด้วยว่ากำลังชาร์จอยู่
นอกจากจะมีส่วนของสายรัด Jawbone UP2 แล้ว ตัวของแอพ UP เองก็สำคัญด้วยเช่นกันครับ ฟีเจอร์หลักๆ ก็เหมือนกับ Jawbone UP, UP24 และ UP Move เลย
ก่อนจะมาดูตัวแอพเต็มๆ มีข้อสังเกตเรื่องแอพพลิเคชันที่ใช้งานร่วมกับ UP2 อยู่เหมือนกัน เพราะถ้าลองหาจากใน App Store และ Play Store แล้ว จะพบว่ามีแอพชื่อ UP อยู่สองตัว ซึ่งก็แน่นอนครับว่าทั้งสองตัวนี้มีความแตกต่างกัน ถ้าต้องการโหลดมาใช้งานคู่กับ UP2 ให้โหลดแอพที่มีไอคอนเป็นสีม่วงเท่านั้น ตัวเดียวจบเลย ส่วนตัวไอคอนสีฟ้าจะใช้งานคู่กับ UP รุ่นเก่า เช่น UP, UP24 และ UP Move นะครับ
เมื่อเปิดแอพขึ้นมาครั้งแรก ก็จัดการจับคู่ UP2 เข้ากับสมาร์ทโฟนและแอพ UP กันก่อนเลยครับ พร้อมๆ กับการกรอกข้อมูลส่วนตัว เช่นพวกน้ำหนัก ส่วนสูง วันเดือนปีเกิด ส่วนถ้าใครที่เคยใช้งาน UP มาก่อนแล้ว มีบัญชีผู้ใช้งานของ Jawbone อยู่แล้ว ก็สามารถล็อกอินแล้วใช้ข้อมูลเดิมต่อได้เลย ไม่ต้องมานั่งกรอกข้อมูลใหม่ให้เสียเวลา
หน้าจอหลักของแอพ UP หลังเราเริ่มใช้งานแล้ว ก็จะเป็นแบบในภาพซ้ายสุดครับ คือเป็นกราฟแสดงข้อมูลหลัก 3 อย่าง ได้แก่ระยะเวลาการนอนหลับ, จำนวนก้าวเดิน และคะแนน/แคลอรี่ของอาหารที่ทานไปแล้วในวันนี้ พร้อมทั้งมีคำแนะนำด้านสุขภาพที่น่าสนใจ และสอดคล้องกับการดำเนินชีวิตประจำวันของเราด้วย
ถ้าต้องการเพิ่มข้อมูลอื่นๆ เข้าไป ก็ให้กดปุ่ม + ด้านล่าง โดยจะมีปุ่มขึ้นมาให้กดด้วยกัน 5 ปุ่ม ได้แก่
- สีส้ม เป็นปุ่มสำหรับเพิ่มข้อมูลการออกกำลังกายหรือกิจกรรมที่เรามีการ active เยอะๆ แบบระบุระยะเวลา เช่น การวิ่ง การปั่นจักรยาน การยกน้ำหนัก การว่ายน้ำ เป็นต้น
- สีเหลือง เป็นการเพิ่มอารมณ์เข้าไป เช่น อารมณ์ดี เฉยๆ หรือรู้สึกเหนื่อย ก็สามารถใส่ข้อมูลเข้าไปได้เลย
- สีเขียวอ่อน เป็นการเพิ่มข้อมูลอาหารที่รับประทานไปแล้ว
- สีฟ้าอ่อน เป็นการเพิ่มข้อมูลน้ำหนักของผู้ใช้
- สีม่วง เป็นการเพิ่มข้อมูลการนอนหลับ นอกเหนือจากระยะเวลาการนอนหลับปกติ
ส่วนภาพที่สามก็เป็นข้อมูลการเดินแบบละเอียด ซึ่งสามารถเข้ามาดูได้ด้วยการจิ้มไปที่กราฟสีส้มในหน้าแรก โดยจะมีข้อมูลน่าสนใจหลายตัวทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น จำนวนก้าวเดิน ระยะทางที่เดินไปทั้งหมดในวันนั้น จำนวนก้าวเดินเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์กับเป้าหมายที่ตั้งไว้ ปริมาณแคลอรี่ทั้งหมดที่เผาผลาญได้ เป็นต้น ซึ่งข้อมูลพวกนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่อยากดูแลรักษาสุขภาพตัวเองเป็นอย่างดีแน่ๆ
ส่วนภาพสุดท้ายก็เป็นข้อมูลการนอนแบบละเอียดครับ หลักๆ แล้วก็จะบอกว่าเราหลับลึก หลับธรรมดานานขนาดไหน เป็นต้น ก็ช่วยให้เราสามารถประเมินคุณภาพการนอนหลับของเราได้ ว่าหลับสนิทขนาดไหน จะได้ไปปรับปรุงการนอน สภาพแวดล้อม เพื่อให้เราสามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่มากขึ้น
ส่วนอื่นๆ ของแอพก็น่าสนใจอยู่เหมือนกันครับ ถ้าปาดหน้าจอจากขอบขวาเข้ามา ก็จะพบกับเมนูสั่งงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเมนู Sleep mode ที่ใช้สำหรับเปลี่ยนโหมดจากจับการเคลื่อนไหว มาเป็นวัดคุณภาพการนอนหลับแทน แบบไม่ต้องกดเปลี่ยนโหมดที่ตัว UP2 รวมถึงยังมีเมนูสำหรับการจับเวลาตอนทำกิจกรรม (Stopwatch) เมนูสำหรับตั้งปลุก (Smart Alarm) ที่สามารถตั้งค่าให้ UP2 สั่นปลุกแบบเบาๆ ล่วงหน้าก่อนถึงเวลาปลุกจริงได้ เพื่อทำให้เราตื่นขึ้นมาแบบสดชื่นที่สุด ผิดกับการปลุกแบบปกติที่หลังจากตื่นมาเรามักจะงัวเงีย เพราะถือว่าเป็นการปลุกขึ้นมาจากการหลับลึกนั่นเอง ทีนี้เราก็ตื่นขึ้นมาได้แบบไม่ง่วงเพลียละครับ (ถ้านอนมากพอนะ)
เมนูต่อมาก็คือ Idle Alert ที่ใช้สำหรับให้ UP2 ช่วยสั่นเตือนไม่ให้เรานั่งอยู่กับที่นานๆ ซึ่งจะได้ผลดีกับกลุ่มพนักงานออฟฟิศนี่ล่ะครับ เพราะการนั่งทำงานกับที่นานๆ มันไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ ตัว UP2 จึงมีฟีเจอร์นี้คอยเตือนให้เราเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง เช่นลุกขึ้นเดิน ขยับแขนขยับขาซะหน่อย ซึ่งก็สามารถตั้งได้ว่าจะให้ตรวจจับเป็นรอบละกี่นาทีที่ไม่มีการขยับร่างกาย รวมถึงสามารถตั้งค่าได้ว่าจะให้ตรวจจับเฉพาะช่วงเวลาไหนบ้าง อันนี้หลักๆ แล้วก็เป็นช่วงเวลาทำงานเลย ค่าเริ่มต้นจะอยู่ที่ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ต่อมา เมนู Activity Alert อันนี้เป็นเมนูสำหรับตั้งค่าให้แอพ UP คอยขึ้นตัวแจ้งเตือนว่าเราเดินครบแล้วกี่ก้าว เช่น ให้เตือนเมื่อเดินครบ 2,000 ก้าว เป็นต้น สุดท้ายคือเมนู Reminders ที่คอยแจ้งเตือนเมื่อถึงกำหนดเวลาที่ต้องการ เช่น ตั้งค่าให้เตือนเมื่อถึงเวลากินยา ถึงเวลานอน โดยจะมีป๊อปอัพแจ้งเตือนทั้งบนมือถือ และตัว UP2 ก็จะสั่นด้วย
ด้านของการตั้งเป้าหมายในแต่ละวัน ทั้งจำนวนก้าวเดิน ระยะเวลานอน และน้ำหนักที่จะลดลงมาก็ทำได้ง่ายครับ เพียงแค่ปาดหน้าจอจากริมซ้ายเข้ามา แล้วเลือกเมนู Goals ก็สามารถเลื่อนปุ่มแล้วตั้งเป้าไปได้เลย เมื่อเลือกเสร็จแล้วก็จะมีคำแนะนำขึ้นมาด้านล่างด้วย ว่าถ้าหากทำตามเป้า จะสามารถทำน้ำหนักมาได้ตามน้ำหนักที่ต้องการ (จะลด จะเพิ่ม หรือจะรักษาน้ำหนัก ก็ตั้งเป้าได้เหมือนกัน) จะต้องใช้เวลากี่สัปดาห์ ซึ่งก็ช่วยได้ดีเลยทีเดียว อย่างน้อยเราก็มีเป้าหมายที่ต้องทำให้ได้ จะได้เป็นแรงจูงใจในการรักษาสุขภาพนั่นเอง
อีกหนึ่งโหมดที่ผมว่าน่าสนใจในแอพพลิเคชัน UP ของ Jawbone ก็คือโหมด Duels ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานดูแลสุขภาพแข่งกับเพื่อน ซึ่งน่าจะช่วยได้มากในกรณีที่อยากลดน้ำหนัก เพราะยิ่งสร้างแรงบันดาลใจให้อยากเอาชนะเพื่อนให้ได้ โดยการดูเอลนี้จะเปิดให้เราเลือกเพื่อนที่ใช้ UP ด้วยกันมา 1 คน จากนั้นก็เลือกระยะเวลาที่จะแข่ง ซึ่งมีให้เลือกทั้ง 1 วัน, 3 วัน หรือจะยาวสุดเป็น 1 สัปดาห์ก็ได้ โดยการแข่งก็ไม่มีอะไรครับ เป็นการวัดจำนวนก้าวเดินว่าใครจะเดินมากกว่ากันเท่านั้นเอง แต่ก็ถือว่าเป็นการแข่งขันที่ดีนะ ช่วยสร้างแรงกระตุ้นให้อยากเดินให้มากกว่าเพื่อน ซึ่งยิ่งเดินมาก ก็ยิ่งดีต่อสุขภาพขึ้นด้วยนั่นเอง (แต่อย่าหักโหมนะ)
ปิดท้ายด้วยเรื่องของแอพพลิเคชันเสริม ที่สามารถทำงานร่วมกับ Jawbone UP2 และแอพพลิเรชัน UP ได้ อันนี้บอกเลยว่ามีเยอะจริงๆ เพิ่มจากช่วงแรกที่ UP เปิดตัวที่มีอยู่ไม่มาก ตอนนี้กลายเป็นว่ามันมีเยอะจนเลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียว ซึ่งก็มีหลายกลุ่มมาก ทั้งกลุ่มของแอพฟิตเนส แอพที่ใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ (เช่น Nest) แอพช่วยให้คำแนะนำในการออกกำลังกาย แอพดูแลเรื่องอาหาร เรียกว่าครบถ้วนรอบด้านจริงๆ ถ้าดูจากจำนวนแอพ และสภาพแวดล้อม ความพร้อมต่างๆ ก็คงบอกได้เลยว่าผลิตภัณฑ์กลุ่มฟิตเนสแทร็กกิ้งของ Jawbone มีอะไรให้เล่น ให้ใช้งานเยอะจริงๆ ไม่ต้องกลัวเหงาเลยครับ แอพเยอะ คนใช้เพียบ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีแอพรองรับเยอะถึงขนาดนี้แน่ๆ
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ Jawbone UP2 ผลิตภัณฑ์กลุ่มสายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพ รุ่นใหม่ล่าสุดที่จะเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทย บอกเลยว่าคุณสมบัติต่างๆ ไม่แพ้รุ่นที่ออกมาก่อนหน้านี้เลย แต่มีการตีบวกเพิ่มลงไปในเรื่องของความกะทัดรัด ด้วยตัวเส้นที่เล็กและเบาลง ทำให้สามารถสวมใส่ได้แบบไม่เกะกะหรือรำคาญ ใส่เป็นเครื่องประดับก็ดูมีสไตล์ การเชื่อมต่อเพื่อซิงค์ข้อมูลกับสมาร์ทโฟนก็สะดวกดี เพราะใช้ผ่าน Bluetooth 4.0 BLE ซึ่งกินไฟน้อยทั้งฝั่งมือถือและฝั่งของ UP2 เองด้วย โดยตัวแบตเตอรี่ของ UP2 เองนั้น เท่าที่ผมลองใช้งาน ก็สามารถใช้ได้เป็นสัปดาห์อยู่เหมือนกันครับ ทางที่ดีก็ใช้งานซักสัปดาห์ ก็หยิบสายชาร์จมาเสียบชาร์จกับคอมซักทีนึง แค่นั้นเอง จะติดก็ตรงที่ไม่มีจอ และไม่สามารถดูเวลาที่ตัว Jawbone UP2 ได้เท่านั้นเอง แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นใหญ่อะไร เพราะตัว UP2 เองก็เน้นไปที่การเป็นฟิตเนสแทร็กกิ้งแบบใช้งานได้นานๆ มากกว่า
เอาเป็นว่าใครที่สนใจตัว Jawbone UP2 ก็เตรียมหาซื้อกันได้เลยครับ ที่ iStudio, .Life, Jaymart, Power Buy, Power Mall, Gizman และ Health Choice ในราคา 4,990 บาท