ปกติแล้ว พวกอุปกรณ์ fitness tracker มักจะมาในรูปแบบของสายรัดข้อมือ เช่นพวก Jawbone UP เป็นต้น เนื่องจากสะดวกต่อการใส่ใช้งาน ยิ่งใครที่ใส่นาฬิกาข้อมืออยู่แล้วก็ยิ่งสบายเข้าไปใหญ่ แต่ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา Jawbone ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ชิ้นใหม่ออกมา นั่นคือ?Jawbone UP Move?ที่เป็นอุปกรณ์ตรวจจับกิจกรรมในชีวิตประจำวันหน้าตาที่แปลกไปกว่าเดิม เพราะมันมีลักษณะเหมือนเม็ดกระดุมซะมากกว่า แต่เห็นแบบนี้ อยากบอกว่ามันก็ทำงานได้ไม่แพ้พวกสายรัดข้อมือเลยล่ะ
สำหรับตัวของ Jawbone UP Move จะมีขนาดเพียงแค่ประมาณถ่านเม็ดกระดุม ซึ่งใหญ่กว่านิ้วหัวแม่มือเล็กน้อยเท่านั้นเอง วัสดุภายนอกหลักๆ ก็จะเป็นพลาสติก ส่วนข้อมูลที่น่าสนใจของ UP Move ก็มีดังนี้
- สามารถตรวจนับก้าวเดิน การออกกำลังกาย ระยะทาง แคลอรี่ที่เผาผลาญได้ รวมถึงสามารถตรวจจับการนอนได้ว่าหลับดีขนาดไหน
- ต้องใช้งานร่วมกับแอพ UP ของ Jawbone เอง (มีทั้งใน iOS และ Android)
- เชื่อมต่อกับมือถือผ่านทาง Bluetooth 4.0 BLE
- ใช้พลังงานจากถ่านเม็ดกระดุม (CR2032) หนึ่งก้อน ใช้งานได้นาน 6 เดือน โดยไม่ต้องชาร์จแบตเตอรี่
- มีเซ็นเซอร์ accelerometer แบบ 3 แกน พร้อมเทคโนโลยี MotionX ในการจับการเคลื่อนไหว
- กันละอองน้ำได้ (แนะนำว่าอย่านำไปจุ่มน้ำ จะดีที่สุด)
- มีหน้าจอ LED แสดงสถานะการเดิน การนอน?และแสดงเวลาปัจจุบันได้
- ขนาดอุปกรณ์ 27.64 x 27.64 x 9.75 มิลลิเมตร หนัก 6.8 กรัม
- ใส่ได้ 2 แบบทั้งแบบคลิปกับเสื้อและใส่กับสายรัดข้อมือ
- ราคา 2,590 บาท
โดยตัว Jawbone UP Move จะมีให้เลือกซื้อกันทั้งหมด 5 สีคือสีเงิน (Slate), สีแดง (Ruby), สีม่วงองุ่น, สีน้ำเงิน และสีดำ สำหรับตัวที่ทางเราได้รับมาก็จะเป็นสีน้ำเงินนะครับ แต่ยังไม่แน่ชัดเหมือนกันว่าที่จะมาขายในไทยจะมีสีอะไรเข้ามาบ้างเหมือนกัน
ส่วนด้านหลังของ Jawbone UP Move ก็จะเป็นฝาปิดที่ต้องใช้การหมุนเกลียวเพื่อเปิดออกมา ภายในก็จะมีแค่ถ่านนาฬิกาอยู่ 1 ก้อนเท่านั้นเอง จะเปลี่ยนถ่านก็เปิดฝาออกมา โดยถ่าน 1 ก้อนก็จะใช้งาน UP Move ได้ราวๆ 6 เดือน เรียกว่าใส่ถ่านทีก็ใช้กันจนลืมได้เลย
ทีนี้มาดูเวลาใช้งานจริงกันบ้าง ในชุดที่วางจำหน่ายจริง จะมี UP Move Clip ที่เป็นตัวหนีบสีขาวๆ แถมมาให้ด้วย การใช้งานก็แค่ใส่ UP Move เข้าไปในช่องใส่ของตัวคลิป จากนั้นก็เอาไปหนีบกับเสื้อผ้า เช่นอาจจะหนีบไว้กับกระเป๋ากางเกง สายกระเป๋าสะพาย หรือตรงไหนก็ได้ตามแต่สะดวกเลย ตัวหนีบนั้น เท่าที่ผมลองใช้ในระหว่างรีวิวก็พบว่ามันแข็งแรงมากๆ สามารถหนีบกับเสื้อผ้าได้แบบสบายๆ ไม่ต้องกลัวหลุด แม้ว่าจะใส่ไปวิ่ง เดิน ออกกำลังกายก็รับรองว่าไม่หลุดหล่นหายง่ายๆ แน่นอน
แต่ถ้าใครไม่อยากใช้งาน Jawbone UP Move แบบหนีบ ก็มีอุปกรณ์เสริมคือสายรัดข้อมือแบบสายนาฬิกา วัสดุก็เป็นยาง TPU นั่นเอง โค้งงอได้ง่าย โดนน้ำได้สบายๆ เมื่อประกอบเข้าชุดไปแล้ว ก็สามารถใช้งานเจ้า Jawbone UP Move เหมือนเป็นนาฬิกาข้อมือได้เลย แต่การล็อกสายจะค่อนข้างลำบากหน่อย เพราะต้องบิดสายแล้วกดตัวก้านพลาสติกเข้าไปในช่อง แต่น่าเสียดายคือเจ้าสายรัดแบบนาฬิกาข้อมือนี้ จำเป็นจะต้องหาซื้อเพิ่มนะครับ ไม่ได้แถมมาให้ในกล่อง แต่สำหรับเมืองไทยจะมีแถมสายสีดำให้ฟรี 1 เส้นด้วยนะ
สำหรับการใช้งาน Jawbone UP Move นั้น จะมีด้วยกัน 4 รูปแบบหลักๆ ครับ ได้แก่
ดูความคืบหน้า (progress) ของจำนวนก้าวเดิน เทียบกับเป้าที่ตั้งไว้
การจะเปิดดูก็ให้กดลงไปบนตัว UP Move 1 ครั้ง ก็จะมีไฟสีส้มแสดงสัญลักษณ์เป็นรูปคนเดินอยู่ด้านบน และมีขีดไฟ LED ติดขึ้นมาตรงบริเวณรอบๆ ตัวเรือน โดยขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์เทียบกับเป้าหมายที่เราตั้ง ถ้าสมมติว่าเดินได้เกินเป้าที่ตั้งไว้ ไฟก็จะวิ่งวนรอบตัวเรือนเลย?ส่วนถ้าจะดูความคืบหน้าของระยะเวลาการนอน ก็ให้กดตัว UP Move สามครั้งติดกันกันโดยไม่ต้องกดค้าง ก็สามารถดูได้แล้ว
ดูความคืบหน้า (progress) ของการนอน เทียบกับเป้าที่ตั้งไว้
ลักษณะก็จะคล้ายๆ กับแบบแรกครับ แต่เป็นการแสดงระยะเวลาการนอนหลับของเราแทน สำหรับการสลับระหว่างโหมดนับก้าวเดินกับโหมดนอนหลับ ก็แค่กดตัว UP Move ค้างไว้ซักพัก ก็จะมีไฟแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนโหมดแล้ว
จับเวลา
เมื่อต้องการออกกำลังกายให้กด UP Move สองครั้งโดยครั้งที่สองให้กดค้างไว้นิดหน่อย เพื่อระบุช่วงเวลาที่เราออกกำลังกายว่าช่วงนี้ออกกำลังกายประเภทไหน ใช้พลังงานกี่แคลอรี
นาฬิกาบอกเวลา
นับว่าเป็นการปรับปรุงจาก Jawbone UP รุ่นก่อนๆ ที่ไม่สามารถบอกเวลาได้ในระดับหนึ่งครับ ซึ่งเราสามารถดูเวลาจากใน UP Move โดยกดลงไปบนตัวเรือนสองครั้งติดๆ กัน (ไม่ต้องกดค้าง) ไฟ LED สีน้ำเงินก็จะวิ่งอยู่ตรงบริเวณขอบๆ รอบแรกคือหลักชั่วโมง และไฟรอบหลังจะเป็นหลักนาทีแบบคร่าวๆ ซึ่งตำแหน่งของไฟก็จะอยู่ในแนวเดียวกับนาฬิกาแบบเข็มเลย ก็ต้องอาศัยการคะเนมุมก้นซักหน่อยล่ะนะ ส่วนเวลาที่ออกมาก็จะประมาณได้คร่าวๆ ในหลัก 5 นาที เช่น 9:00 / 9:05 / 9:10 เป็นต้น
ภาพข้างบนนี้ก็เป็นภาพชิ้นส่วนภายในของ Jawbone UP Move จากเว็บไซต์ของ Jawbone เองนะครับ ดูแล้วจะเห็นว่าแผงวงจรภายในมีขนาดเล็กและบางมาก เผลอๆ แบตเตอรี่ยังจะหนากว่าด้วยซ้ำไป
ที่น่าสนใจก็คือคำว่า MotionX ที่เป็นเทคโนโลยีตรวจจับความเคลื่อนไหวของผู้ใช้ ซึ่งเป็นหัวใจหลักสำหรับการทำงานของ Jawbone UP Move เลย โดยตัวของ MotionX คือเป็นเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของผู้ใช้ และส่วนซอฟต์แวร์และการคำนวณจะเป็นทางของ Jawbone เอง เพื่อให้ระบบสามารถทำงานได้อย่างเที่ยงตรงและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ส่วนวิธีเริ่มใช้งาน Jawbone UP Move ในการซิงค์กับมือถือนั้น ขั้นแรกก็ให้ดาวน์โหลดแอพ UP ของ Jawbone จากใน App Store (iOS) หรือ Play Store (Android) จากนั้นก็เปิดแอพขึ้นมา แล้วกด Add a New UP เพื่อทำการเชื่อมต่อเข้ากับ UP Move
ซึ่งแอพมันก็จะบอกขั้นตอนให้เราทีละขั้นเลย ว่าต้องทำอย่างไรบ้างในการเชื่อมต่อ ไล่ตั้งแต่ใส่แบตเตอรี่, กดปุ่มเปิดเครื่อง, กดปุ่มอีกครั้งเพื่อจับคู่ จากนั้นรอซักพัก ก็เป็นอันเสร็จพิธีละครับ สามารถใช้งานมือถือของเราคู่กับ Jawbone UP Move ได้เลย
ซึ่งในหน้าจอหลักของแอพ UP จะเป็นการโชว์ความคืบหน้า (progress) ของแต่ละวัน แบ่งเป็นกราฟ 3 แท่ง คือกราฟระยะเวลาการนอน, จำนวนก้าวเดิน และกราฟคะแนนอาหารที่เรารับประทานไป
อีกหนึ่งระบบที่น่าสนใจและหาในแบรนด์อื่นไม่ได้ก็คือ Smart Coach (กรอบข้อความใต้กราฟ) ที่จะคอยให้คำแนะนำผู้ใช้งานตามรูปแบบการใช้ชีวิต, อายุ, เพศ เฉพาะสำหรับผู้ใช้แต่ละคนในด้านการดูแลสุขภาพ เช่นการเดิน การนอน การรับประทานอาหาร ก็นับว่าเป็นผู้ช่วยดูแลสุขภาพได้ดีระดับหนึ่งเลย ถ้าทำตามได้ รับรองมีผอมและสุขภาพดีแน่นอน
ส่วนการเพิ่มเมนูอาหารที่รับประทานนั้น ก็ทำได้ง่ายๆ ครับ เพียงแค่กดปุ่ม + ที่ด้านล่างสุด แล้วกดที่ปุ่มสีเขียวรูปส้อมกับมีด จากนั้นก็เพิ่มข้อมูลอาหารเข้าไปได้เลย สำหรับการเพิ่มอาหารนั้น เราสามารถสแกนบาร์โค้ดของบรรจุภัณฑ์อาหารนั้นได้เลย เช่น จากบนฉลากข้างขวดนม ข้างซองอาหาร เป็นต้น แต่หลักๆ แล้วยังไม่เจอข้อมูลของอาหารในไทยมากนัก จึงต้องเปลี่ยนไปใช้การกรอกชื่อหรือประเภทของอาหาร แล้วประเมินปริมาณกับแคลอรี่ด้วยตนเอง ซึ่งถ้าเป็นอาหารที่มีฉลากข้อมูลโภชนาการอยู่แล้วก็ไม่ยากครับ สามารถกรอกได้เอง เพิ่มรูปด้วยการถ่ายรูปเข้าไปได้ด้วย แต่ถ้าเป็นการใส่ข้อมูลอาหารแบบคร่าวๆ เช่น ข้าวสวย ก็ให้เราใส่ปริมาณที่ทานเข้าไปได้เลย ในตัวของแอพจะมีฐานข้อมูลปริมาณสารอาหารบางส่วนอยู่แล้ว ก็ช่วยในการประเมินสารอาหารที่ได้รับเข้าไปได้
จากนั้นแอพก็จะประเมินว่าอาหารที่เราทานไปวันนี้ เหมาะสมต่อสุขภาพขนาดไหน โดยออกมาเป็นคะแนนเต็ม 10 ก็แน่นอนครับ ว่าคะแนนยิ่งสูงยิ่งดี
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับรีวิว Jawbone UP Move เซ็นเซอร์วัดการเคลื่อนไหวแบบ fitness sensor ที่กำลังเป็นอุปกรณ์ยอดฮิตในปัจจุบัน ด้วยจุดเด่นคือตัวชิ้นที่มีขนาดเล็ก ฟีเจอร์ต่างๆ ก็แทบจะครบถ้วนไม่แพ้กลุ่มของ Jawbone UP ที่เป็นสายรัดข้อมือโดยตรงเลย นับว่าเป็นอุปกรณ์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพตัวเอง ด้วยการตรวจนับก้าวเดิน คุณภาพการนอน และที่สำคัญก็คือส่วนของแอพพลิเคชันที่ออกแบบมาให้ใช้งานร่วมกัน เพราะตัวมันเองมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ส่งเสริมการใช้งานอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงกราฟข้อมูลที่ได้จากเซ็นเซอร์ UP Move การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของการเคลื่อนไหวการนอนและการกินว่ามีผลต่อกันอย่างไร รวมถึงยังมีฟีเจอร์ Smart Coach ที่ช่วยให้ข้อมูลแนะนำเพื่อการรักษาสุขภาพอีก ถ้าอยากได้อุปกรณ์ที่เครื่องเดียวครบ ก็จัดไปเลยครับ กับ Jawbone UP Move ในราคา 2,590 บาทเท่านั้น !!
ข้อดี
- ตัวเครื่องขนาดเล็ก พกพาง่าย
- ฟีเจอร์ครบถ้วนแทบไม่แพ้รุ่นที่เป็นสายรัดข้อมือ
- แบตเตอรี่ก้อนเดียว ใช้งานได้นาน 6 เดือน ไม่ต้องชาร์จไฟ
- สามารถดูเวลาได้ ดูความคืบหน้าจากเป้าที่ตั้งไว้ได้โดยไม่ต้องเปิดแอพ
- มีระบบ Smart Coach
- ราคาย่อมเยา
ข้อสังเกต
- แม้ตัวหนีบจะหนีบได้แน่น แต่ก็ต้องระวัง อาจลืมได้ว่าใส่อยู่
- ตัวสายนาฬิกาต้องซื้อเพิ่ม (ยกเว้นในไทย ที่มีแถมสายให้ 1 เส้นด้วย)
- สั่นเตือนไม่ได้