Close Menu
    Facebook X (Twitter) YouTube TikTok
    SpecPhone
    • ข่าวล่าสุด
    • รีวิว
    • ค้นหามือถือ
    • วิดีโอ
    • บทความ
    • ติดต่อเรา
    Facebook YouTube TikTok X (Twitter)
    SpecPhone
    Home»iOS Platform»รีวิว iPad mini 6 | คุ้มมั้ย ถ้าจะอัพเกรดมาจากรุ่นเก่า
    iOS Platform

    รีวิว iPad mini 6 | คุ้มมั้ย ถ้าจะอัพเกรดมาจากรุ่นเก่า

    ZeroSystemBy ZeroSystem8 พฤศจิกายน 2021Updated:8 พฤศจิกายน 2021
    Facebook Twitter Pinterest LinkedIn Tumblr Email
    Share
    Facebook Twitter LinkedIn Pinterest Email

    นอกเหนือจากการเปิดตัว iPhone 13 series แล้ว อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวมาพร้อมกัน และดูจะได้รับความสนใจมากกว่าเสียด้วยซ้ำก็คือ iPad mini 6 ที่เปิดตัวมาเพื่อทดแทนรุ่นก่อนหน้าที่อยู่ในตลาดมาแล้วกว่า 2 ปีครึ่ง ด้วยการปรับเปลี่ยนดีไซน์ เปลี่ยนพอร์ตเชื่อมต่อ รวมถึงยังอัพเกรดชิปเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดอีกด้วย ในบทความนี้เราจะมารีวิว iPad mini 6 รุ่น Wi-Fi ให้ชมกันครับ ว่าจะน่าใช้งานขนาดไหน น่าอัพเกรดเครื่องมั้ย ในมุมมองของคนที่ใช้งาน iPad mini 5 อยู่

    รีวิว iPad mini 6

    โดยนอกเหนือจากตัวเครื่องแล้ว ก็จะมีเคส Smart Folio จาก Apple ที่ออกแบบมาเพื่อ mini 6 โดยเฉพาะ และก็ Apple Pencil 2 ด้วยนะครับ เรียกว่าเป็นชุดที่ครบสำหรับคนต้องการใช้งานผลิตภัณฑ์จาก Apple ล้วน ๆ เลย


    สเปค iPad mini 6 (รุ่น Wi-Fi)

    • ชิป A15 Bionic (6 คอร์ พร้อม GPU 5 คอร์ และ Neural Engine 16 คอร์)
    • แรม 4 GB
    • พื้นที่เก็บข้อมูลมีให้เลือกสองแบบคือ 64 และ 256 GB
    • หน้าจอ LED Liquid Retina ขนาด 8.3″ ความละเอียด 2266 x 1488 60Hz
      • รองรับขอบเขตการแสดงสีที่ระดับ P3 รองรับ True Tone
      • ความสว่างหน้าจอสูงสุด 500 nits (ไม่รองรับ HDR)
      • รองรับ Apple Pencil 2
    • กล้องหลัง 12MP f/1.8 มาพร้อมแฟลช LED แบบ True Tone
      • ถ่ายวิดีโอได้สูงสุดระดับ 4K 60fps
    • กล้องหน้า 12MP f/2.4 รองรับ Center Stage
    • มี Touch ID ที่ปุ่ม Power
    • ลำโพงคู่สเตอริโอ ไม่มีช่อง 3.5 มม.
    • รองรับ Wi-Fi 6 HT80
      • ส่วนรุ่น Wi-Fi + Cellular จะรองรับ 5G ในไทยด้วย
    • ชาร์จผ่านพอร์ต USB-C รองรับการแสดงภาพผ่าน DisplayPort ด้วย
    • แบตเตอรี่ 19.3 Wh (5,124 mAh)
    • น้ำหนักรุ่น Wi-Fi = 293 กรัม รุ่น Wi-Fi+Cellular = 297 กรัม
    • มีให้เลือก 4 สีคือ เทา ชมพู ม่วง สตาร์ไลท์
    • ราคาศูนย์ไทยเริ่มที่ 17,900 บาท

    ด้านสเปคของ iPad mini 6 ก็เรียกว่าจัดเต็มอยู่พอสมควรครับ เริ่มจากชิปประมวลผลที่ขยับจาก A12 Bionic ในรุ่นก่อนหน้ามาเป็น A15 Bionic ที่เป็นชิปรุ่นเดียวกับใน iPhone 13 ประจำปีนี้เลย ส่วนหน้าจอก็ปรับให้มีขนาดใหญ่ขึ้น แต่ที่ฮือฮาที่สุดคงหนีไม่พ้นการนำ Touch ID มาใส่ที่ปุ่ม Power เพื่อให้สามารถปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีปุ่มโฮมแบบวงกลมอีกต่อไป อีกเรื่องก็คือการเปลี่ยนพอร์ตชาร์จจาก Lightning มาเป็น USB-C เหมือนกับใน iPad Pro และ iPad Air รุ่นล่าสุดแล้ว ซึ่งน่าจะทำให้สะดวกกับการใช้งานของหลาย ๆ ท่านที่มีสาย หรืออุปกรณ์ที่เป็น USB-C กันอยู่แล้วได้เป็นอย่างดี

    แต่ก็จะมีประเด็นเรื่องของราคาที่ขยับสูงขึ้นจากเดิมพอตัว อย่างในรุ่นความจุ 64GB ที่ขยับจาก 13,900 บาทในรุ่น 5 มาเป็น 17,900 บาทในรุ่น 6 ซึ่งแทบจะใกล้มาชนกับ iPad Air 4 แล้ว แต่ก็จะได้ในเรื่องของฮาร์ดแวร์ที่สดใหม่กว่า ขนาดที่พกพาสะดวกกว่า อย่างไรก็ตาม ก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานและการพกพาของแต่ละท่านนะครับ ว่าถนัดแบบไหนมากกว่ากัน


    ตัวเครื่อง

    ก็ต้องเรียกว่าเป็นไปตามคาดอยู่เหมือนกันครับ สำหรับดีไซน์ของ iPad mini 6 ที่เดินตามรอยของรุ่นก่อนหน้าอย่างซีรีส์ iPad Pro และ iPad Air ที่เป็นขอบแบบตัดเหลี่ยม กรอบจอมุมมน จะมองว่าเป็น iPad Air 4 ร่างย่อส่วนก็ว่าได้

    ขอบจอทั้ง 4 ด้านส่วนที่เป็นสีดำมีความกว้างที่เสมอกันทั้งหมด ซึ่งความกว้างของขอบจอนี้ก็จัดว่ากำลังเหมาะสำหรับการวางนิ้วเวลาจับเครื่อง ทำให้สามารถใช้ในการอ่าน ebook หรือใช้จดบันทึกด้วย Apple Pencil 2 ได้อย่างสบาย ๆ ไม่มีปัญหาเรื่องการจับขอบจอ รวมถึงยังทำให้สามารถควบคุมเกมได้สะดวกด้วย

    คุณภาพของหน้าจอแสดงผล ก็ถือว่าทำได้ดีในระดับของจอ IPS LED คือได้สีสันที่สดใส แต่ไม่จัดจ้านจนเกินธรรมชาติ มุมมองภาพกว้าง ความสว่างก็อยู่ในระดับที่พอใช้งานกลางแจ้งได้ ส่วนขนาดจอที่ให้มา 8.3″ นั้นก็ลงตัวมาก ๆ สำหรับการถือด้วยมือข้างเดียว จนใช้ดูหนัง เล่นโซเชียล อ่านหนังสือ ไปจนถึงทำงานแก้ไขเอกสาร ทำงานผ่านเว็บได้อยู่เหมือนกัน แต่ขนาดของตัวอักษรก็จะเล็กนิดนึง เมื่อเทียบกับ iPad รุ่นใหญ่กว่า

    หนึ่งในฟังก์ชันที่เพิ่มขึ้นมาของจอ iPad mini 6 เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าก็คือ Quick Note ที่เราสามารถหยิบ Apple Pencil 2 มาวาดบนหน้าจอขณะที่ยังดับอยู่ เพื่อจดบันทึก หรือวาดรูปได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องปลดล็อกแล้วเข้าไปที่แอป Notes ก่อน เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน โดยเฉพาะในตอนที่เกิดไอเดียขึ้นมา แล้วต้องการจดแบบด่วน ๆ ได้ทันที

    อีกจุดที่น่าสนใจก็คือจอจะรองรับการแตะจอสองครั้งติดกันเพื่อเปิดหน้าจอขึ้นมาแล้ว (Tap to wake) ซึ่งก่อนหน้านี้ สำหรับกลุ่ม iPad จะมีให้ใช้ในเฉพาะ iPad Pro 11″ ทุกรุ่น iPad Pro 12.9″ รุ่น 3 ขึ้นไป และก็ใน iPad Air 4 เท่านั้น

    แต่ถ้าจับมาเทียบกับ iPad mini 5 ก็ต้องบอกว่าจอของ iPad mini 6 นั้นใหญ่ขึ้นจริง ๆ โดยที่ขนาดตัวเครื่องนั้นเล็กลงกว่าเดิมซะอีก ทั้งนี้ก็เนื่องจากการตัดปุ่มโฮมแบบ Touch ID ในรุ่นเก่าออก ทำให้ได้พื้นที่จอมากขึ้น ส่วนคุณภาพ สีสัน ความสว่าง ส่วนตัวผมว่าไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ถ้าใครชินกับ iPad mini 5 อยู่แล้ว การเปลี่ยนมาใช้ 6 ก็จะได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นมาอีกนิดนึงครับ เพราะตัวเครื่องจะกะทัดรัดขึ้น แต่ได้พื้นที่แสดงภาพที่กว้างขวางกว่าเดิม

    เปิดมาด้านหลังของ iPad mini 6 ก็จะเป็นอลูมิเนียมทั้งแผ่น มีกล้องหลังขนาดใหญ่พร้อมแฟลช LED อยู่ตรงมุมซ้ายบน ซึ่งนับเป็น iPad รุ่นที่สองที่มีแฟลชกล้องหลังมาให้ ถัดมาจากซีรีส์ iPad Pro

    สำหรับเครื่องที่ทางเราได้รับมารีวิวในครั้งนี้จะเป็น iPad mini 6 สีสตาร์ไลท์ ซึ่งถ้าให้จัดกลุ่มสีแบบง่าย ๆ ก็คือเป็นสีทองแบบอ่อน ๆ ครับ ซึ่งในบางมุม บางสภาพแสงจะดูเป็นสีเทาโลหะที่อมเหลืองเล็กน้อย แต่ถ้าอยู่ในที่มีแสงกำลังดี ก็จะออกเป็นสีทองอ่อน ๆ ได้เลย

    เทียบขนาดของกล้องหลังระหว่างรุ่น 6 และ 5 จะเห็นว่ามันต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แถมยังมีความนูนขึ้นมาจากฝาหลังอีกด้วย ส่วนในแง่ของความหนาเชิงตัวเลข ตัวเครื่องของ iPad mini 6 จะอยู่ที่ 6.3 มม. ส่วนรุ่น 5 จะอยู่ที่ 6.1 มม. ซึ่งแทบจะสัมผัสความต่างได้ยาก ถ้าไม่จับมาถ่ายรูปเทียบกันจริง ๆ

    พลิกมาดูด้านข้างเครื่องกันบ้าง เริ่มจากด้านบนก่อนครับ ไล่จากซ้ายก็จะเป็นแถบปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง ที่จะมีกิมมิคในการใช้งานด้วย ถัดมาเป็นช่องลำโพง แล้วก็มีปุ่ม Power ที่มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Touch ID ติดตั้งมาให้ด้วย ซึ่งรูปร่างของปุ่มก็จะมีขนาดที่กำลังพอดีสำหรับการทาบนิ้วเพื่อสแกนลายนิ้วมือ

    ประสิทธิภาพ ความแม่นยำและความเร็วของการสแกนนิ้วก็อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของระบบ Touch ID ครับ ในการจะปลดล็อกหน้าจอก็ต้องกดปุ่มลงไปก่อน 1 ครั้ง จากนั้นก็ทาบนิ้วค้างไว้ซักนิดนึงจึงจะสามารถปลดล็อกได้ โดยสามารถเพิ่มลายนิ้วมือเข้าไปในระบบได้สูงสุด 5 นิ้ว

    อีกจุดที่น่าสนใจอย่างที่เกริ่นไปข้างต้นก็คือแถบของปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง ที่ Apple ใส่ลูกเล่นเพิ่มเข้าไปให้สามารถสลับหน้าที่กันตามรูปแบบของการแสดงผลบนจอได้ ไม่ว่าจะพลิกหมุนจอไปมุมใด ระบบจะล็อกไว้เสมอว่าปุ่มที่อยู่ฝั่งซ้ายมือ หรือปุ่มที่อยู่ด้านล่างจะเป็นการลดเสียง ส่วนปุ่มที่อยู่ฝั่งขวามือ หรือปุ่มที่อยู่ด้านบนของอีกปุ่มนึง จะใช้ในการเพิ่มระดับเสียง

    อย่างในภาพด้านบน จะเห็นว่าไม่ว่าจะหมุนจอไปแบบใด ระบบก็ปรับรูปแบบการทำงานของแต่ละปุ่มให้อยู่ในลักษณะเดียวกันเสมอ ช่วยลดความสับสนในระหว่างการใช้งาน สำหรับคนที่ต้องพลิกจอแนวตั้ง-แนวนอนบ่อย ๆ จนบางทีก็กดปุ่มเพิ่ม/ลดเสียงสลับกัน หรืออาจต้องตั้งสตินิดนึงว่าปุ่มไหนคือปุ่มอะไรบ้าง ซึ่งใน iPad mini 6 นี้ก็ไม่ต้องลำบากแล้วครับ ใช้คลำเอาก็ได้ คลำเจอปุ่มไหนอยู่ขวาหรืออยู่บนตามทิศทางของเครื่อง ปุ่มนั้นก็ใช้เพิ่มเสียง ส่วนอีกปุ่มก็หน้าที่ตรงข้ามกัน แค่นั้นเลย

    ด้านล่างก็มีช่องลำโพง และก็ช่อง USB-C ที่รองรับการเชื่อมต่อมาตรฐาน USB 3.1 Gen 1 และยังรองรับการต่อจอด้วยอะแดปเตอร์ผ่านโปรโตคอล DisplayPort ด้วย

    ซึ่งการเปลี่ยนมาใช้ USB-C แทน Lightning ทำให้การใช้งานอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ นั้นง่ายขึ้นมา เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่าอุปกรณ์ USB-C นั้นเข้าถึงได้ง่ายกว่าอุปกรณ์ที่ใช้ Lightning มาก ทั้งในแง่ของความหลากหลาย จำนวนในท้องตลาดและราคา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดสุดก็คือ flashdrive ครับ ตอนนี้คือสามารถใช้งาน flashdrive ที่เป็น USB-C ทั่วไปในท้องตลาดได้เลย ซึ่งสะดวกมาก ๆ

    ฝั่งซ้ายนั้นมาแบบโล่ง ๆ

    ส่วนฝั่งขวา หลัก ๆ เลยก็จะมีแถบแม่เหล็กสำหรับใช้งานคู่กับ Apple Pencil 2 ที่ไว้ใช้ทั้งการพกพา และใช้ชาร์จไฟให้กับตัวปากกาได้แบบง่าย ๆ ส่วนในรุ่น Wi-Fi + Cellular ก็จะมีถาดใส่ซิมอยู่ทางฝั่งนี้ด้วย

    สำหรับการยึด Apple Pencil 2 กับตัวเครื่องตรงแถบแม่เหล็กนั้นก็ทำออกมาได้ดี คือไม่แน่นและไม่อ่อนเกินไป สามารถดึงออกมาได้ง่าย แต่ก็มีแรงดูดมากพอที่จะยกทั้งเครื่องขึ้นมาได้ แม้จะจับแค่ตัวปากกาก็ตาม เมื่อจับที่ตรงกลาง บริเวณแถบแม่เหล็กพอดี

    ด้านของอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องก็จัดว่าครบตามสไตล์ของ iPad ครับ คือมีให้มาทั้งสายชาร์จแบบ USB-C สองฝั่ง และก็อะแดปเตอร์ชาร์จแบบ USB-C เช่นกัน โดยเป็นอะแดปเตอร์ที่จ่ายไฟได้สูงสุด 20W นอกจากนี้ในกล่องก็จะมีเอกสารคู่มือ การรับประกัน และก็สติกเกอร์โลโก้ Apple มาให้ด้วย 2 ดวง


    เคส Smart Folio สำหรับ iPad mini 6 โดยเฉพาะ

    อุปกรณ์เสริมที่ Apple ออกมาพร้อมกับ iPad mini 6 ก็คือเคส Smart Folio รุ่นใหม่ที่เป็นแบบ snap on ติดเข้ากับตัวเครื่องโดยอาศัยแรงดึงดูดของแม่เหล็กอ่อน ๆ ซึ่งคุณสมบัติก็ยังเหมือนเดิมครับ คือปกป้องบอดี้ ใช้ยกตัวเครื่องขึ้นมาให้ใช้งานง่ายขึ้น และก็ใช้ในการเปิด/ปิดหน้าจอตามการใช้ฝาพับเคสด้วย สนนราคาหน้าเว็บ Apple ที่ 2,590 บาท มีให้เลือก 5 สี

    สำหรับเคส Smart Folio ที่ทางเราได้รับมาพร้อมกับ iPad mini 6 ก็จะเป็นสีขาวที่ขาวสะอาดมาก ๆ ผิวนอกเป็นซิลิโคนแบบซอฟต์ทัชให้สัมผัสเนียนมือ มีการเว้นช่องว่างให้เฉพาะตรงกล้องหลังเท่านั้น ส่วนด้านในเป็นผิวกำมะหยี่สั้น ๆ โดยฝาหน้าจะสามารถพับได้ 3 ท่อน

    การติดตั้งก็ง่ายมากครับ เพียงแค่ประกบเข้าไปกับตัวเครื่องให้ถูกด้าน แม่เหล็กก็จะดูดติดให้เอง ซึ่งก็แน่นหนามากจนไม่สามารถหลุดได้ง่าย ๆ แน่นอน แต่ทั้งนี้ เคส Smart Folio จะไม่ครอบคลุมส่วนของขอบเครื่อง 3 ด้านนะครับ ทำให้ดูลักษณะคล้ายกับเป็นปกหนังสือเลย

    ตรงบริเวณกล้องหลัง เมื่อใส่เคสแล้วจะกลายเป็นว่าขอบกระจกปิดหน้าเลนส์กล้องจะอยู่ลึกเข้าไปจากผิวเคสเล็กน้อย ก็เป็นการช่วยป้องกันการขูดขีดเมื่อวางเครื่องได้ประมาณหนึ่ง

    ส่วนการพับฝาเคสเพื่อตั้งเครื่องจะทำได้ 2 แบบ คือแบบยกจอขึ้นมาประมาณ 60 องศา กับ 10 องศาที่เป็นการยกขึ้นจากพื้นเล็กน้อย


    การใช้งานต่าง ๆ

    แต่เดิมนั้น iPad mini เป็นแท็บเล็ตที่มีขนาดกำลังเหมาะสำหรับใช้ในการอ่าน ebook ไปจนถึงใช้ในการจดบันทึก วาดรูป แบบที่ผู้ใช้ต้องการความคล่องตัวในการพกพามาก ๆ เพราะสามารถหยิบใส่กระเป๋าได้ง่าย และใช้งานมือเดียวได้สะดวก แม้ว่า iPad mini 6 จะมีหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นก็ตาม แต่มิติของตัวเครื่องเองนั้นกลับไม่ได้ขยายจากรุ่นก่อนหน้ามากนัก ทำให้จุดเด่นในด้านการพกพานั้นยังมีอยู่

    แต่สำหรับในด้านการรับชมคอนเทนต์ประเภทต่าง ๆ บนจอนั้นกลับทำได้ดีขึ้น ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ทำให้การอ่านหนังสือก็ทำได้สะดวก จะใช้จดโน้ต หรือใช้วาดรูปก็ได้พื้นที่ทำงานมากขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่ยังสามารถถือมือเดียวได้สบาย

    อีกงานที่ผมทำบน iPad mini 5 เป็นประจำก็คือการแต่งรูปจากกล้อง mirrorless ครับ โดยจะเป็นการดึงภาพถ่ายที่เป็นไฟล์ RAW จาก SD card มาเก็บในเครื่อง แล้วแต่งรูปด้วยแอป Lightroom ซึ่งขั้นต่ำก็จะมีรอบละ 30 รูปขึ้นไป จากนั้นจึง export ออกเป็น JPG โดยมีการใส่ sharpen เพิ่มเล็กน้อย และใส่ลายน้ำในทุกรูป ขนาดของแต่ละภาพก็ตาม original เลย ซึ่งที่ผ่านมาก็ทำบน iPad mini 5 ได้อย่างราบรื่น เพราะประสิทธิภาพของชิป A12 Bionic นั้นยังเหลือเฟือมาก ๆ การปรับแต่งภาพก็สะดวก สามารถใช้ Apple Pencil ในการลากตัวปรับแต่ง ใช้วาดบรัช แถมบางทียังทำงานเร็วกว่าบนคอมด้วยซ้ำ

    พอเป็น iPad mini 6 ต้องบอกว่าผมได้รับประสบการณ์การทำงานที่ดีขึ้นไปอีกขั้นเลย ด้วยพลังของชิป A15 Bionic ที่ทำให้การเรนเดอร์ การจัดการกับไฟล์รูปทำได้เร็วขึ้น ซึ่งผมได้ทดสอบกับแต่ละเครื่องที่มีในมือตอนนี้ โดยเป็นการทำภาพไฟล์ RAW จำนวน 67 ภาพตามกระบวนการข้างต้น เวลาที่แต่ละเครื่องใช้ตั้งแต่กระบวนการประมวลผลภาพ การเรนเดอร์ไปจนเสร็จ (มีป๊อปอัพแสดงขึ้นมาว่าต้องการแชร์ไปแบบใด) เรียงลำดับดังนี้

    1. iPhone 13 Pro ใช้เวลา 2:47 นาที
    2. iPad mini 6 ใช้เวลา 2:56 นาที
    3. iPhone 11 ใช้เวลา 4:08 นาที
    4. iPad mini 5 ใช้เวลา 4:55 นาที

    ถ้าเทียบในกลุ่มข้างต้นกันเอง ต้องบอกว่า iPad mini 6 ทำได้เร็วขึ้นรุ่นก่อนหน้าถึง 60% เลยทีเดียว ส่วนที่จะช้ากว่า iPhone 13 Pro เล็กน้อยนั้นก็ไม่ใช่ปัญหาครับ ถือว่าอยู่ในระดับเดียวกันอยู่ เพราะใช้ชิป A15 Bionic เหมือนกัน แต่ฝั่งของ iPad mini 6 นั้นถูกปรับแต่งให้มีความเร็วต่ำกว่า iPhone 13 เล็กน้อยนั่นเอง

    FYI: ทำงานแบบเดียวกันบนเครื่อง PC (Ryzen 5 2600 + GTX 1070 + SSD NVMe 1TB + RAM 32GB) ใช้เวลาประมาณ​ 1:12 นาที


    อีกงานที่น่าสนใจก็คือการลอง export วิดีโอด้วยแอป iMovie เวอร์ชันล่าสุดบน App Store โดยเป็นการนำหลายวิดีโอและภาพถ่ายมาใส่รวมกันบน timeline จากนั้นก็ใส่ฟิลเตอร์ภาพทั้งคลิป เพิ่มเสียงเอฟเฟกต์ และเสียงเพลงเบื้องหลังเข้าไป ได้วิดีโอความยาว 4:36 ตั้งค่าการ export เป็น 4k 60fps HDR จับเวลาเฉพาะตอน converting (แปลงและเข้ารหัสไฟล์) ก่อนที่จะขึ้นป๊อปอัพให้เลือกว่าจะส่ง AirDrop ไปที่เครื่องไหน

    ผลที่ได้นั้นผิดคาดไปซักหน่อยครับ

    1. iPhone 13 Pro ใช้เวลา 5:49 นาที
    2. iPad mini 6 และ iPhone 11 ใช้เวลา 5:50 นาที
    3. iPad mini ใช้เวลา 5:51 นาที

    ซึ่งวินาทีที่ต่างกันแค่ 1-2 วินาทีนี้ อาจจะมาจากความคลาดเคลื่อนของการกดปุ่มหยุดเวลาก็ได้ ดังนั้นจะมองว่าแต่ละเครื่องใช้เวลาเท่ากันก็ว่าได้ครับ สำหรับตรงนี้ก็ยังไม่ใจว่าเกิดจากสาเหตุใด อาจจะมาจากตัวของแอป iMovie ที่มีการจำกัดการใช้พลังประมวลผลไว้ในระดับนึง ทำให้แต่ละเครื่องมีสมรรถนะในการทำงานที่เร็วพอ ๆ กันก็ได้ แต่ที่แน่ ๆ คือการพรีวิวแต่ละช็อตบน iPad mini 6 นั้นทำได้แบบแทบจะไม่มีสะดุดเลย

    ในการเล่นเกม ก็ต้องยอมรับว่า iPad mini ยังเป็นแท็บเล็ตขนาดเล็กที่เล่นเกมได้ดีมาก ๆ อยู่เช่นเคย ด้วยหน้าจอที่ใหญ่กำลังดี แต่ก็ไม่หนักเกินเมื่อถือเล่นเกมนาน ๆ แบตที่อึด แถมสเปคยังแรงกระฉูดอีก ส่วนตำแหน่งของพวกปุ่มกดบนหน้าจอในเกมต่าง ๆ ก็ไม่มีปัญหาครับ ด้วยการที่มีขอบจอกั้นอยู่ ทำให้ค่อนข้างยากที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของมือจะไปแตะปุ่มโดยบังเอิญ


    กล้องที่ดีขึ้น

    แม้ว่าจะมาพร้อมกล้องหลังตัวเดียว แต่ Apple ก็อัพเกรดกล้องให้มีคุณภาพดีขึ้น จาก 8MP f/2.4 ให้เป็น 12MP f/1.8 ส่งผลให้ภาพมีความละเอียดมากขึ้น เก็บแสงสว่างในภาพได้ดีกว่าเดิม นอกจากนี้ยังมีแฟลชมาให้ด้วย ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการถ่ายภาพให้สามารถสร้างสรรค์ออกมาได้หลากหลายมากขึ้น

    ในขณะที่กล้องหน้า FaceTime HD นั้นก็ใช้เป็นเลนส์อัลตร้าไวด์ที่มุมรับภาพกว้าง มาพร้อมฟีเจอร์ Center Stage ที่ระบบจะช่วยปรับภาพ ให้ตัวผู้ใช้งานอยู่ตรงกลางของเฟรมขณะที่วิดีโอคอลอยู่เสมอ โดยมีทั้งการแพนภาพ และซูมเข้า/ออก ซึ่งจะต้องอาศัยการรับภาพได้กว้างของเลนส์อัลตร้าไวด์ครับ โดยตอนนี้ รุ่นที่สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้ก็จะมีแค่ iPad Pro รุ่นปัจจุบันทั้งสองขนาด iPad 9 และก็ iPad mini 6 เท่านั้น ซึ่งเท่าที่ผมลองแล้ว สามารถใช้กับการวิดีโอคอลบนแอปอื่นได้ด้วย เช่นใน Facebook Messenger เป็นต้น

    อีกคุณสมบัติที่มีเพิ่มเข้ามาก็คือมีปุ่มกดสลับการซูม 1x กับ 2x มาให้แล้ว ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการถ่ายรูปมากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังคงเป็นการซูมดิจิทัลอยู่นะครับ โดยยังซูมได้สูงสุด 5 เท่าเหมือนกับในรุ่นก่อนหน้าเลย

    ภาพถ่ายที่ได้จากกล้องหลังของ iPad mini 6 นั้นก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเมื่อเทียบในกลุ่มแท็บเล็ตด้วยกัน ภาพจะเน้นที่ความคมชัด สีสันเป็นธรรมชาติ ค่อนข้างตรงกับที่มองเห็นจริง ซึ่งเป็นสไตล์ภาพที่ Apple เลือกใช้มาตลาดอยู่แล้ว แต่ปีนี้ดูเหมือนจะเน้นความคมขึ้นไปอีก ซึ่งกับใน iPhone 13 Pro ก็เป็นครับ

    การถ่ายภาพในที่มีแสงดี ๆ ถ่ายกลางแจ้งนี่สบายมาก การเก็บรายละเอียดทำได้ดี ด้วยความสามารถของระบบ HDR อัจฉริยะ 3

    ถ้าเป็นที่มีแสงน้อยลงมานิดนึง แต่เป็นแสงที่มีสีอมเหลืองหน่อย เช่นในห้าง ตัวระบบเองก็ทำการจัดการเรื่อง white balance ได้ดี แม้ว่าจะมีส่วนที่เป็นแสงภายนอกส่องเข้ามาตรงกระจกที่ให้สีโทนฟ้าอยู่ในเฟรมด้วยก็ตาม ซึ่งภาพตรงส่วนด้านบนก็จะอมฟ้านิดนึง แต่ในจุดอื่น ๆ ของภาพนั้นดูเป็นธรรมชาติดี ไม่ได้ดูว่าสีเพี้ยนอะไร

    ต่อกันกับในบริเวณที่แสงน้อยอย่างลานจอดรถของห้างบ้าง ก็ถือว่าทำได้โอเค ใช้เก็บภาพในแบบที่นำไปดูต่อภายหลังได้เลย ส่วนที่เป็นป้ายไฟก็จะ over นิดนึง แต่พอจะไปปรับภายหลังให้มองเห็นรายละเอียดบนป้ายได้อยู่

    ส่วนด้านล่างนี้ก็เป็นแกลเลอรี่ภาพจากกล้องของ iPad mini 6 นะครับ คลิกชมแต่ละภาพได้เลย


    ประสิทธิภาพ และการเล่นเกม

    iPad mini 6 มาพร้อมกับ iOS 15 ซึ่งในรีวิวนี้จะเป็นรุ่นความจุ 256GB นะครับ เมื่อเปิดขึ้นมาครั้งแรกจะเหลือให้ใช้งานได้อีกราว 245 GB

    ตัวของ Touch ID ก็ยังเหมือนเดิม คือสามารถเพิ่มลายนิ้วมือได้สูงสุด 5 นิ้ว โดยสามารถใช้ในการปลดล็อกหน้าจอ ยืนยันตัวตนในการซื้อแอป ซื้อคอนเทนต์ต่าง ๆ ไปจนถึงใช้ในการยืนยันตัวตนแทนการกรอกรหัสผ่านบริการได้ด้วย (ในกรณีที่บันทึกรหัสผ่านไว้ใน iCloud Keychain)

    ส่วนเมนู Apple Pencil ก็จะต่างจากใน iPad mini 5 ที่รองรับ Pencil รุ่นแรกอยู่ในบางจุด ซึ่งก็มาจากความสามารถของรุ่น 2 ที่มากขึ้นนั่นเอง เช่น สามารถตั้งค่าได้ว่าจะให้ทำงานอย่างไร เมื่อ double tap ที่ใกล้ปลายปากกา เช่น อาจจะใช้ในการสลับระหว่างเครื่องมือที่ใช้อยู่ในแอปกับยางลบ หรือจะใช้ในการแสดงถาดสีออกมาก็ได้ ไปจนถึงสามารถปิดฟังก์ชันนี้ไปเลยก็ได้เหมือนกัน ส่วนเมนูอื่น ๆ ก็เหมือนเดิมครับ

    แต่สิ่งที่จะสะดวกขึ้นกว่าเดิมแน่นอนก็คือการชาร์จไฟให้กับ Apple Pencil 2 เพราะแค่แปะไว้ตรงตำแหน่งแถบแม่เหล็กข้างเครื่อง มันก็เป็นการชาร์จแล้ว ต่างจากในรุ่นแรกที่ต้องถอดฝาที่หัวปากกาออก แล้วนำไปเสียบกับขั้ว Lightning เท่านั้นจึงจะสามารถชาร์จได้

    ทดสอบความแรงของชิป A15 Bionic ดู ก็เป็นไปตามคาดครับ คือยึดหัวตารางได้สบาย แซงกลุ่ม iPhone 12 series ได้ทุกตัว โดยเฉพาะงาน multi-core ที่ทิ้งห่างร่วม 400 คะแนน แต่ก็ยังได้คะแนนต่ำกว่ารุ่นใหม่ในปีเดียวกันอย่าง iPhone 13 Pro อยู่นิดหน่อยเท่านั้น

    ส่วนคะแนน AnTuTu ก็ทำไปได้ประมาณ 800,000 คะแนนนิด ๆ ซึ่งพอเทียบได้กับ iPad Pro 11 รุ่น 4 และ iPhone 13 อยู่เหมือนกัน ดังนั้นถ้าเรื่องความแรงก็หายห่วงครับ ใช้งานไปอีก 3-4 ปียังสบาย ๆ เพราะขนาดชิป A12 Bionic ใน iPad mini 5 ตอนนี้ผมยังรู้สึกว่ามันยังตอบสนองการทำงานได้ดีอยู่เลย

    ด้านของแบตเตอรี่ บอกสั้น ๆ ได้เลยว่าอึดมาก เล่นเกมยาว ๆ ได้สบาย เท่าที่ผมลองเล่นเกมแล้วดูว่าแบตลดไปเท่าไหร่บ้าง ได้ผลตามนี้ครับ ทุกเกมปรับกราฟิกสูงสุดเท่าที่ทำได้ เปิดเสียงผ่านลำโพงในตัวเครื่อง เล่นโดยต่อ Wi-Fi และจอปรับระดับความสว่างอัตโนมัติ

    • Pokemon Unite เล่นไป 12 นาที แบตลด 2%
    • RoV เล่นไป 10 นาที แบตลด 4%
    • PUBG เล่นไป 31 นาที แบตลด 10%
    • Genshin Impact เล่นไป 30 นาที แบตลด 9%

    Genshin Impact สามารถเปิดกราฟิกระดับสูงสุดที่ 60fps เล่นได้แบบสบายมาก ความร้อนระหว่างเล่นก็ไม่สูงนัก แค่อุ่น ๆ มือขึ้นมาเล็กน้อย

    PUBG Mobile ยิ่งสบายครับ จอใหญ่เห็นรายละเอียดชัดมาก ปรับกราฟิกสูงสุดก็ยังให้ภาพที่ไหลลื่นอยู่ จบเกมแบบกินไก่ได้แบบชิล ๆ

    ส่วน Pokemon Unite กับ RoV นั้น ด้วยรูปแบบของเกมที่เป็น MOBA คล้ายกัน แต่แตกต่างด้านรายละเอียดการเล่น ก็สามารถเล่นบนเครื่องนี้ได้แบบสบาย ๆ เฟรมเรตวิ่งอยู่ที่ 57-60 fps ตลอดเวลา ขนาดและตำแหน่งของปุ่มก็สเกลมาได้ดี สามารถกดได้สะดวก แต่สังเกตว่าภาพจะไม่เต็มจอ โดยยังมีขอบดำที่ฝั่งซ้ายขวานิดหน่อย ต่างจากใน Genshin Impact ที่ภาพเต็มจอกว่า ซึ่งก็ต้องรอให้ตัวเกมอัพเดตตามมาภายหลังครับ แต่ในตอนนี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับการเล่นนะ


    สรุปปิดท้ายรีวิว iPad mini 6

    ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สมการรอคอยเลยทีเดียวครับ สำหรับ iPad mini 6 ที่ได้รับการตีบวกขึ้นในหลาย ๆ จุด โดยการนำแนวทางการออกแบบในรุ่นใหญ่มาใส่ในรุ่นเล็ก (ที่หลายอย่างไม่เล็กเลย) ได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มขนาดหน้าจอโดยที่ได้ตัวเครื่องเล็กลงกว่าเดิม อันเกิดจากการย้ายเซ็นเซอร์ Touch ID ไปรวมไว้กับปุ่ม Power รวมถึงการเปลี่ยนมาใช้ USB-C ในการชาร์จและเชื่อมต่ออุปกรณ์อื่น ๆ และการเปลี่ยนมาใช้ Apple Pencil 2 ที่มี UX ในการใช้งานที่ดีกว่ารุ่นแรกมาก ๆๆๆ

    ด้านของประสิทธิภาพเอง ถ้าในแง่ของการใช้งานเบา ๆ ทั่วไป เช่น เล่นเน็ต เล่นโซเชียล หรือใช้เป็นเครื่องอ่าน ebook ใช้เป็นสมุดจดต่าง ๆ ก็ต้องบอกว่ามันให้ประสบการณ์การใช้งานที่ไม่ต่างจาก iPad mini 5 มากนัก อาจจะเนื่องจากชิป A12 Bionic ในรุ่นก่อนหน้านั้นยังมีความแรงที่เพียงพอกับแอปในปัจจุบันอยู่ แต่ถ้าเป็นงานที่เน้นการใช้ประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ อันนี้ถึงจะเห็นความแตกต่างระหว่างรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ได้ชัดเจนที่สุด

    ด้านของกล้องถ่ายรูป แม้ว่าจะไม่มีฟีเจอร์ใหม่เข้ามามากนัก แต่สิ่งที่ปรับเปลี่ยนนั้นก็ส่งผลต่อประสบการณ์การใช้งาน ให้สามารถใช้งานได้ดั่งใจมากขึ้น เช่น ได้ภาพถ่ายที่ความละเอียดสูงขึ้น ได้ภาพที่คุณภาพสูงกว่าเดิม ทำให้สามารถนำไปใช้งานต่อได้สะดวกยิ่งขึ้น ส่วนฟีเจอร์ Center Stage นั้นก็น่าจะถูกใจคนที่ชอบวิดีโอคอลอยู่เหมือนกัน

    แต่แน่นอนว่าสิ่งที่อาจจะทำให้การตัดสินใจซื้อ iPad mini 6 ของหลายท่านนั้นต้องใช้เวลาซักนิดนึง ก็ด้วยเรื่องของราคาครับ เพราะรุ่นเริ่มต้นก็เปิดมาที่ 17,900 บาทแล้ว (ราคาหน้าเว็บ Apple) โดยที่ได้ความจุมาที่ 64 GB ซึ่งก็จะค่อนข้างจำกัดจำเขี่ยนิดนึง อีกทั้งถ้าต้องการซื้อ Apple Pencil 2 อีก ก็บวกไป 4,490 บาทเลย ดังนั้นถ้าใครถือ iPad mini 5 อยู่ แล้วมองว่ามันก็ยังใช้งานได้ดี แบตไม่เสื่อม ตอบโจทย์การใช้ทั่วไปได้สบาย จะถือเครื่องเก่าต่อไปก่อนก็ยังโอเคครับ ไว้รอ iPad mini 7 ก็น่าจะยังไหวนะ (ถ้า Apple ไม่ลากยาวเหมือนตอนรุ่น 4 ที่ทิ้งไปถึง 5 ปีกว่าจะมีรุ่นใหม่ออกมา)

    ส่วนถ้าใครกำลังมองหาแท็บเล็ตเครื่องใหม่ในขนาดกะทัดรัด สเปคแรง เอามาเล่นเกมได้สบาย อยากจ่ายทีเดียวแล้วจบ แทบไม่ต้องกังวลว่าจะหาแอปที่ต้องการไม่ได้ iPad mini รุ่นใหม่ล่าสุดนี้คือตัวเลือกที่น่าสนใจครับ เพราะมันครบเครื่องจริง ๆ ยิ่งถ้าใช้งานกับ Ecosystem ของ Apple เองนั้นยิ่งลงตัวเลย

    Apple iPad mini iPad mini 6 Review
    Share. Facebook Twitter Pinterest LinkedIn Tumblr Email
    ZeroSystem

    Related Posts

    เปรียบเทียบ Samsung Galaxy S25 Edge vs iPhone 17 Air มือถือตัวบางทั้งคู่ ต่างกันแค่ไหนเท่าที่รู้ตอนนี้

    10 พฤษภาคม 2025

    ราคาไอโฟนล่าสุด 2025 ทุกรุ่นทั้งเครื่องเปล่าและติดโปรที่วางขายในตอนนี้ มีรุ่นไหนราคาเท่าไหร่บ้าง อัพเดท พฤษภาคม 2025

    9 พฤษภาคม 2025

    แนะนำ 20 ซีรี่ย์เกาหลีพากย์ไทย Netflix ล่าสุดปี 2025 สนุกๆ ครบทุกแนว มีเรื่องไหนน่าดูบ้าง

    9 พฤษภาคม 2025

    Comments are closed.

    หัวข้อทั้งหมด

    เปรียบเทียบ Samsung Galaxy S25 Edge vs iPhone 17 Air มือถือตัวบางทั้งคู่ ต่างกันแค่ไหนเท่าที่รู้ตอนนี้

    10 พฤษภาคม 2025

    สรุปสเปค Samsung Galaxy S25 Edge มือถือรุ่นบาง พร้อมกล้อง 200MP ก่อนเปิดตัว 13 พ.ค. 2025 นี้

    10 พฤษภาคม 2025

    ราคาไอโฟนล่าสุด 2025 ทุกรุ่นทั้งเครื่องเปล่าและติดโปรที่วางขายในตอนนี้ มีรุ่นไหนราคาเท่าไหร่บ้าง อัพเดท พฤษภาคม 2025

    9 พฤษภาคม 2025

    แนะนำ 20 ซีรี่ย์เกาหลีพากย์ไทย Netflix ล่าสุดปี 2025 สนุกๆ ครบทุกแนว มีเรื่องไหนน่าดูบ้าง

    9 พฤษภาคม 2025

    มือถือรุ่นยอดนิยม

    Honor X7

    Honor X7

    6,299 บาท
    Honor X8

    Honor X8

    7,999 บาท
    Honor X9

    Honor X9

    9,299 บาท
    HTC Desire 22 Pro

    HTC Desire 22 Pro

    0 บาท
    Huawei Nova 10 Pro

    Huawei Nova 10 Pro

    24,990 บาท
    ดูมือถือทั้งหมด
    Facebook YouTube TikTok X (Twitter)

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.

    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

    ยอมรับ
    X