รีวิว Infinix ZERO 40 5G ที่กลับมาสานต่อความสำเร็จอีกครั้งหลังการเปิดตัวรุ่นก่อนหน้าไปเมื่อปีที่แล้ว โดยรุ่นใหม่ล่าสุดนี้ก็ได้มีการอัพเกรดในส่วนของตัวกล้อง Ultrawide ให้ดีขึ้น มีความจุมากขึ้นพร้อมกับฟีเจอร์ผสานแรมที่เล่นได้ไหลลื่นไม่มีสะดุด ที่สำคัญก็คือการถ่ายวิดีโอสำหรับสาย Vlog ที่เน้นมาให้แบบจัดเต็ม สามารถถ่ายด้วยกล้องหน้า-หลังได้ถึงระดับ 4K 60fps รุ่นแรกในกลุ่มมือถือระดับกลางราคาไม่เกิน 15,000 บาท อีกทั้งยังมีกันสั่น ProStable และสามารถใช้งานร่วมกับ GoPro ได้ด้วย ไปดูกันว่ารายละเอียดสเปคและส่วนอื่นๆ มีอะไรน่าสนใจบ้าง
- การถ่ายภาพและวิดีโอ
- ดีไซน์ตัวเครื่อง
- ชิปประมวลผล แบตเตอรี่และการชาร์จ
- การใช้งานทั่วไปและการเล่นเกม
- ราคา โปรโมชั่นและช่องทางจำหน่าย
- สรุปการรีวิว
สเปค Infinix ZERO 40 5G
- ขนาดและน้ำหนัก:
- 164.31 x 74.47 x 7.9 มม. / 195 กรัม
- หน้าจอ: หน้าจอ 3D-Curved Flexible AMOLED ความละเอียด FHD+ (1080 × 2436) กว้าง 6.78 นิ้ว
- Refresh Rate 144Hz
- สว่างสูงสุด 1,300 nits/ PWM Dimming 2304Hz
- 100% DCI P3
- Corning Gorilla Glass 5
- ชิปประมวลผล: MediaTek Dimensity 8200 Ultimate (4nm)
- GPU: Mali-G610 MC6
- RAM: 12GB (LPDDR5x)/ Extend RAM 24GB
- ROM: 512GB (UFS 3.1)
- microSD: –
- กล้องหลัง 3 ตัวความละเอียด
- เลนส์หลัก 108MP (𝑓/1.75)/ OIS/ PDAF/ ISOCELL HM6
- เลนส์ Ultra-Wide 50MP (𝑓/2.0)/ กว้าง 120 องศา
- เลนส์ Macro 2MP (𝑓/2.4)
- วิดีโอ 4K@60fps กันสั่น ProStable (OIS+EIS)
- กล้องหน้าความละเอียด: 50MP (𝑓/2.45)/ ISOCELL JN1/ PDAF/ Dual Flash/ วิดีโอ 4K@60fps ทำงานร่วมกับ GoPro ได้
- การเชื่อมต่อ: 5G, Wi-Fi 6E, BT, NFC, GPS, OTG, USB-C 2.0
- ซิม: Dual Nano SIM
- ระบบเสียง: ลำโพงคู่ Sound by JBL
- เซ็นเซอร์: สแกนลายนิ้วมือใต้จอ, G-Sensor, Compass, Gyroscope, Light Sensor, Proximity, Z-Axis Motor, IR
- กันน้ำกันฝุ่น: IP54
- ระบบปฏิบัติการ: XOS 14.5 พื้นฐาน Android 14
- แบตเตอรี่: 5,000 mAh/ ชาร์จไว 45W Super Charge/ 20W Wireless Charge
- ราคา: 14,999 บาท
รีวิว Infinix ZERO 40 5G เก็บทุกโมเมนต์ที่เป็นคุณ
การถ่ายภาพและวิดีโอ
ขอเริ่มต้นการรีวิว Infinix ZERO 40 5G กันด้วยจุดเด่นของรุ่นนี้กันก่อนเลย นั่นก็คือตัวกล้องหน้าและกล้องหลัง ที่ประกอบไปด้วยกล้องหลังความละเอียด 108MP (𝑓/1.75) มีเซ็นเซอร์ ISOCELL HM6 ขนาด 1/1.67” พร้อมกันสั่น OIS และกล้อง Ultra-Wide ที่ได้อัพเกรดขึ้นมาเป็นความละเอียด 50MP (𝑓/2.0) ถ่ายมุมกว้างได้ 120 องศา กับกล้องมาโคร 2MP (𝑓/2.4) ถ่ายได้ใกล้ภายในระยะ 10 ซม. ส่วนกล้องหน้านั้นมาพร้อมกับความละเอียด 50MP (𝑓/2.45) มีเซ็นเซอร์ ISOCELL JN1 ขนาด 1/2.76” โดยมีแฟลชคู่ที่กล้องหน้าด้วย
สำหรับการถ่ายภาพนั้นกล้องหลังจะสามารถซูมได้ 3 เท่า โดยมีให้เลือกคือ 0.6x, 1x และ 3x สำหรับการจัดระยะภาพถ่ายทั้งแบบ Ultra-Wide หรือจัดระยะซูมเข้าไป 3 เท่าในโหมดปกติ ส่วนการถ่ายรูปพอร์ตเทรตจะมีให้เลือกซูม 1x และ 2x ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอได้อย่างเป็นธรรมชาติ แค่หยิบขึ้นมาถ่ายและจัดระยะก็ถ่ายได้สวยเลย ส่วนกล้องหน้าสำหรับเซลฟี่เลือกระยะใกล้หรือไกลได้ ถ้าถ่ายเซลฟี่แบบพอร์ตเทรตจะมีฟิลเตอร์แต่งหน้าให้เลือกด้วย รวมไปถึงการถ่ายภาพมาโครที่ถ่ายออกมาในระยะไม่เกิน 10 ซม. ก็ทำได้ดีเลยทีเดียว
จากการที่ได้ทดลองถ่ายทั้งกลางวันและกลางคืนกับการซูมหลายๆ ระยะรุ่นนี้ก็ถ่ายออกมาได้คมชัดแบบไม่โอเวอร์เกินไป การดึงแสงสำหรับถ่ายตอนกลางคืนก็ทำออกมาได้สวยสมจริง จากการที่ลองถ่ายในที่แสงน้อย ก็สามารถดึงแสงออกมาทำให้รูปภาพสว่างมากขึ้นโดยยังเก็บรายละเอียดไว้ได้ครบ นอกมีโหมดกลางคืนแล้ว ก็ยังมีฟีเจอร์ถ่ายแบบเปิดรับแสงนานให้เลือกทั้งถ่ายดาว, ถนน, สายน้ำ และอื่นๆ เป็นลูกเล่นที่ช่วยให้การถ่ายสนุกมากขึ้น
อีกจุดเด่นที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือการถ่ายวิดีโอทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง ที่ทำขึ้นมาเอาใจสาย Vlog โดยเฉพาะเลย ที่สามารถทำความละเอียดสูงสุดได้ถึง 4K ที่ 60fps ซึ่งในมือถือระดับกลางอย่าง Infinix ZERO 40 5G รุ่นนี้ก็ถือว่าเป็นรุ่นแรกที่ทำได้เลยก็ว่าได้ โดยการถ่ายวิดีโอนั้นนอกจากจะได้ความคมชัดแล้วก็ยังมีกันสั่นแบบ ProStable (OIS+EIS) ที่ทำให้การถ่าย Vlog นั้นง่ายขึ้นมากๆ ไม่ว่าจะถ่ายขณะท่องเที่ยวหรือถ่ายแบบ Extreme ก็ยังเก็บฟุตเทจออกมาได้นิ่งๆ
ที่น่าสนใจก็คือมี Vlog Mode ที่สามารถสร้าง Vlog ได้ง่ายๆ ด้วย AI แค่เลือกเทมเพลทตามสไตล์ของตัวเองและกดถ่ายก็สร้าง Vlog ของตัวเองได้แล้วง่ายๆ หรือจะถ่ายแล้วนำไปตัดต่อเองก็ได้เหมือนกัน นอกจากนี้ยังสามารถถ่ายร่วมกับกล้อง GoPro ได้ด้วย เพียงกดเชื่อมต่อด้วย Bluetooth ก็ถ่ายพร้อมกับ GoPro Mode ได้เลยเหมือนมีหน้าจอมอนิเตอร์ถ่ายเก็บฟุตเทจได้ง่ายและสะดวกมากขึ้นนั่นเอง
ดีไซน์พรีเมียมบางเบา
สำหรับดีไซน์ของ Infinix ZERO 40 5G รุ่นนี้จะมีความเบาบางแต่ก็ถือจับได้สะดวกกระชับเข้ากับมือ โดยมีขนาดตัวเครื่องบางเพียง 7.9 มม. และมีน้ำหนักเพียง 195 กรัมเท่านั้น จากการที่ได้ลองถือเล่นเกมก็ไม่ได้รู้สึกหนักหรือเมื่อยข้อมือเวลาถือนานๆ ส่วนทางด้านหลังของโมดูลกล้องหลังรุ่นนี้ดีไซน์ออกมาตามเทรนด์ ที่เป็นวงแหวนขนาดใหญ่ตรงกลางตัวเครื่องให้ความรู้สึกพรีเมียมมากขึ้น สามารถกันละอองน้ำและฝุ่นที่ระดับ IP54
ตัวฝาหลังของ Infinix ZERO 40 5G จะเป็นแบบโค้งมีการทำสีตัดสลับพร้อมสลักชื่อซีรีส์ของรุ่น ZERO ที่ด้านหลัง มีสีให้เลือกทั้งหมด 3 สีคือสีดำ (Rock Black), สีม่วง (Violet Garden) และสีไทเทเนียม (Moving Titanium) ออกแบบร่วมกับ WGSN ทำให้ได้เฉดสีตามเทรนด์ในปี 2025 ออกมาอย่างสวยงาม ซึ่งสีที่ทางทีมงานได้มารีวิวนี้เป็นสีม่วง (Violet Garden) โดยฝาหลังเป็นแบบผิวด้านทำให้หยิบจับได้โดยไม่มีรอยนิ้วมือติด ซึ่งในกล่องมีทั้งเคสและฟิล์มมาให้ด้วย
ทางด้านตำแหน่งของปุ่ม Power และปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงจะอยู่ทางด้านซ้ายของตัวเครื่องทั้งหมด ด้านขวาไม่มีปุ่มอะไรทั้งสิ้น ส่วนด้านบนมีไมโครโฟนกับช่องลำโพงพร้อมสลัก Sound by JBL เพื่อบ่งบอกถึงคุณภาพของเสียง ด้านล่างมีทั้งไมโครโฟน, ช่องลำโพงและช่องสำหรับใส่ซิมเป็นแบบ Dual Nano SIM พร้อมพอร์ตชาร์จแบบ USB Type-C ซึ่งความดังของเสียงกระจายออกมาได้รอบทิศทาง
ในส่วนของหน้าจอรุ่นนี้เป็นหน้าจอโค้ง 3D Curved แบบ Flexible AMOLED มีความละเอียดระดับ FHD+ ขนาดกว้าง 6.78 นิ้วขอบจอบางด้วยอัตราส่วน 93.4% ต่อตัวเครื่อง รองรับ Refresh Rate 144Hz ปรับได้เองตั้งแต่ 60-144Hz หรือตั้งค่าให้ปรับอัตโนมัติก็ได้ ให้สีสันสวยสมจริงและสามารถทำความสว่างได้สูงสุดถึง 1,300Hz ใช้งานกลางแจ้งได้สบายๆ นอกจากนี้ยังมีการหรี่แสงลงมาได้ที่ระดับ 2304Hz PWM Dimming กับฟีเจอร์ถนอมสายตาที่รับรองโดย TUV Rheinland และปกป้องหน้าจอด้วย Corning Gorilla Glass 5
ชิปประมวลผล แบตเตอรี่และการชาร์จ
มาดูที่ด้านประสิทธิภาพของ Infinix ZERO 40 5G กันบ้างที่รุ่นนี้ก็ได้ใช้ชิป Dimensity 8200 Ultimate Octa-Core แบบ 4 นาโนเมตร มาพร้อมหน่วยความจำ RAM 12GB ขยายแรมเพิ่มได้ด้วยฟีเจอร์ Extend RAM เพิ่มได้เท่าตัวเป็น 24GB กับความจุที่สูงถึง 512GB ทำงานบนระบบ XOS 14.5 พื้นฐาน Android 14 ที่รองรับการอัพเดทได้เวอร์ชั่นได้ถึง Android 16 และแพทช์ความปลอดภัยนาน 3 ปี
นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งวิตเจ็ตบนหน้าจอ และตัวไอคอนได้ตามที่ชอบได้ รวมไปถึง ธีม และวอลเปเปอร์ที่มีเครื่องมือช่วยสร้างวอลเปเปอร์ด้วย AI โดยการสร้างจากภาพหรือจากข้อความที่เราป้อนเข้าไปเองก็ได้ ซึ่งการทำงานร่วมกับ AI นี้จะมีทั้งตัวช่วยอย่าง AI Assistant ที่ทำงานร่วมกับ ChatGPT, มี AI ช่วยลบคนหรือวัตถุออกจากรูป, AI ช่วยสร้าง Vlog และอื่นๆ
สำหรับความจุแบตเตอรี่ของ Infinix ZERO 40 5G นั้นมีความจุมาให้ที่ 5,000 mAh เท่ากับรุ่นก่อนหน้า สามารถเล่นได้ตลอดเต็มวันแน่นอน จากการทดสอบที่นำไปถ่ายรูปและใช้งานทั่วไปตลอดทั้งวันก็ยังลดไม่เกิน 60% และทดสอบด้วยการเล่นเกมต่อเนื่องนาน 2 ชั่วโมงแบตก็ลดลงไปไม่ถึง 40% ด้วยซ้ำ นอกจากแบตอึดแล้วยังเล่นได้ต่อเนื่องโดยตัวเครื่องไม่ร้อนมากนัก ส่วนการชาร์จนั้นสามารถชาร์จไวได้สูงสุด 45W แบบมีสาย และไร้สายได้สูงสุด 20W จากการทดสอบชาร์จแบต 10-100% ใช้เวลาไม่เกิน 1.30 ชั่วโมงก็เต็มแล้ว
การใช้งานทั่วไปและการเล่นเกม
สำหรับการรีวิว Infinix ZERO 40 5G ในเรื่องของการใช้งานทั่วไปนั้นตัวเครื่องมีความเร็ว ใช้งานหลาแอพสลับไปมาก็ไม่มีความหน่วง หน้าจอเล่นได้ไหลลื่นไม่ว่าจะใช้งานทั่วไปอย่างเข่นการไถหน้าจอดูบน Facebook, TikTok หรือ IG จากการปรับ Refresh Rate ไว้สุดที่ 144Hz ก็ไม่มีจุดไหนที่สะดุดหรือว่าหน่วงเลยเช่นกัน ในด้านการพกพาสามารถใส่กระเป๋าและหยิบจับได้สะดวก ซึ่งตอนที่นำไปถ่ายรูปหรือเล่นเกมนั้นไม่ได้ใส่เคส ก็สามารถถือได้นานโดยไม่เมื่อย เพราะน้ำหนักตัวเครื่องที่ไม่ได้หนักมากนัก บวกกับความบางและส่วนโค้งของฝาหลังที่ถือมือเดียว หรือว่าถือแนวนอนสองมือก็เข้ามือได้พอดี
ส่วนการเล่นเกมบน Infinix ZERO 40 5G จากการทดสอบด้วยเกมฮิตทั้ง PUBG Mobile และ RoV นั้นสามารถปรับกราฟิกสุดพร้อมกับเฟรมเรท 60fps ได้เลยโดยที่เล่นได้ต่อเนื่องไม่มีสะดุด ซึ่งการทดสอบเล่นเกมที่เล่นไปต่อเนื่องมากกว่า 2 ชั่วโมงติดๆ กันตัวเครื่องก็ไม่ได้ร้อนมาก มีอุ่นๆ นิดหน่อยแต่ไม่ถึงกับเครื่องร้อนแน่นอน นอกจากนี้ก็ยังมีฟีเจอร์ที่ช่วยจัดการกับประสิทธิภาพการเล่นเกมได้อีก พร้อมทั้งการเชื่อมต่อ WiFi ที่รวดเร็วลดการดีเลย์ไปได้ถึง 20% เรียกได้ว่าไม่มีผิดหวังถ้าจะเอาไว้เล่นเกมด้วย
ราคา โปรโมชั่นและช่องทางจำหน่าย
Infinix ZERO 40 5G รุ่นใหม่ล่าสุดนี้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการทั้งหมด 3 สีได้แก่สีดำ (Rock Black), สีม่วง (Violet Garden) และสีไทเทเนียม (Moving Titanium) ตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2024 เป็นต้นไป โดยช่วงทางการจำหน่ายนั้น จะจำหน่ายช่องทางออนไลน์เพียงอย่างเดียว สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee, Lazada, และ TikTok Shop ของ Infinix Thailand
ราคา Infinix ZERO 40 5G
- รุ่น RAM 12GB + ROM 512GB: ราคา 14,999 บาท
โปรโมชั่น
- เมื่อซื้อ Infinix Zero 40 5G รับฟรีไมค์ Wireless Lavalier Microphone มูลค่า 999 บาท เฉพาะช่องทางออนไลน์เท่านั้น
สรุปการรีวิว
จากการรีวิว Infinix ZERO 40 5G จากการที่ทีมงาน Specphone ได้ทดลองใช้งานทั้งเล่นเกม หรือว่าใช้งานทั่วไปรุ่นนี้ทำออกมาได้ดีเลย ถึงแม้ว่าจะไม่ซีรีส์ที่เอาไว้เล่นเกมโดยเฉพาะ แต่ด้วยสเปคชิปและฟีเจอร์การจัดการต่างๆ ก็ทำให้การเล่นเกมนั้นมีประสิทธิภาพทั้งภาพและเสียง รวมไปถึงเรื่องของแบตเตอรี่ที่ต้องบอกว่าใช้งานได้ตลอดทั้งวันจริงๆ ถึงหมดก็ชาร์จกลับมาเต็มได้ในเวลาไม่นาน ส่วนที่ประทับใจสำหรับการทดลองนำมารีวิวก็คือเรื่องของกล้องที่เป็นจุดเด่นของรุ่นนี้นี่แหละ ทั้งถ่ายตอนกลางวันหรือกลางคืนก็สามารถถ่ายได้คมชัด มีตัวเลือกและลูกเล่นให้ถ่ายได้สนุกโดยเฉพาะการเล่นกับแสง
แน่นอนว่าการถ่ายวิดีโอก็ดงามเช่นกันทั้งกล้องหน้าและหลัง เพราะถ่ายออกมาได้อย่างคมชัดในระดับ 4K Vlog 60fps พร้อมฟีเจอร์ที่สามารถสร้าง Vlog เองได้เลยง่ายๆ หรือถ้าจะนำไปตัดต่ออีกทีก็ยังคงความคมชัดเอาไว้ได้อยู่เหมือนเดิม ส่วนตัวคิดว่าเหมาะมากๆ สำหรับนักเรียนหรือวัยรุ่นที่ชอบถ่ายวิดีโอทำ Vlog หรือทำคลิปสั้นๆ ลง Social Media ในราคาที่ไม่สูงมากนัก เพราะรุ่นนี้เปิดตัวออกมาเพียง 14,999 บาท และด้วยราคาพร้อมสเปคกล้องขนาดนี้ถ้าเทียบกับรุ่นอื่นๆ ในราคาใกล้เคียงกันก็ถือว่าเป็นรุ่นที่คุ้มและน่าใช้งานมากเลยทีเดียว ใครที่สนใจ Infinix ZERO 40 5G รุ่นนี้ก็สามารถสั่งซื้อได้ที่ช่องทางออนไลน์ของ Infinix ทั้งบน Shopee, Lazada, และ TikTok Shop