ด้วยการพัฒนาอย่างรวดเร็วของวงการสมาร์ทโฟน ทำให้ผู้ใช้อย่างเราๆ ได้รับความสะดวกสบายกับการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือการใช้งานมือถือแทนอุปกรณ์หลายๆ อย่างที่คุ้นเคย ตัวอย่างเช่น ความนิยมในการจดบันทึกข้อมูลลงในสมาร์ทโฟน ซึ่งเข้ามาแทนที่ปากกาและสมุดจดได้ค่อนข้างดี แต่หลายๆ ท่านก็อาจจะยังไม่ค่อยถนัดนัก อาจจะเพราะคุ้นเคยกับการใช้ปากกาแล้วเขียนจดลงไปจริงๆ ซะมากกว่า แต่บางทีก็ไม่ได้ต้องการซื้อสมาร์ทโฟนราคาสูงนักเพื่อที่จะเอามาใช้จดบันทึก ซึ่งบอกเลยครับ ว่าความต้องการของคุณมันลงตัวกับมือถือที่ทางเรามีมารีวิวให้ชมในครั้งนี้พอดิบพอดี กับเจ้า Infinix NOTE4 Pro นี่เอง !!
ขอเกริ่นเกี่ยวกับแบรนด์ Infinix ซักนิดนึงนะครับ เพราะอาจจะไม่คุ้นหูคุ้นตากันซักเท่าไหร่ โดยตัวแบรนด์ Infinix ในตอนนี้ก็มีมากกว่า 22 ประเทศแล้ว สำหรับในไทยเราก็เพิ่งมีเข้ามาทำตลาดแบบจริงจังอย่างเป็นทางการก็กับรุ่น NOTE4 Pro ในรีวิวครั้งนี้นี่แหละครับ
สเปค Infinix NOTE4 Pro
- ชิปประมวลผล MediaTek MT6753 มี 8 คอร์ ความเร็ว 1.3 GHz มาพร้อมชิปกราฟิก Mali-T720 MP3
- แรม 3 GB
- รอม 32 GB มีสล็อตแยกสำหรับการเพิ่มเมมด้วย MicroSD (สูงสุด 128 GB) ทำให้สามารถใส่ 2 ซิมและใส่ MicroSD ได้ด้วย
- หน้าจอ IPS ขนาด 5.7 นิ้วจาก Sharp ความละเอียดระดับ Full HD (1920 x 1080)
- กล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ออโต้โฟกัส มีแฟลช LED
- กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มีแฟลช LED
- Android 7.0 ครอบทับมาด้วยอินเตอร์เฟส XOS ของ Infinix เอง
- มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ปุ่มโฮม
- มาพร้อมเคส Smart cover และปากกา Xpen (ต้องใช้คู่กันด้วย)
- ใช้ซิมแบบไมโครซิม 2 ช่อง (ซิมหลักเป็น 4G/3G อีกซิมจะเป็น 2G)
- แบตเตอรี่ 4500 mAh รองรับการชาร์จเร็วแบบ Xcharge ของ Infinix เอง
- รองรับ GPS, A-GPS, WiFi 802.11a/b/g/n, Bluetooth 4.2, วิทยุ FM, Gyroscope
- ราคา 7,990 บาท
เมื่อดูจากสเปคและราคาแล้ว ก็บอกว่า Infinix มีจุดที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยครับ ด้วยหน้าจอที่ขนาดใหญ่ถึง 5.7 นิ้ว Full HD แบตความจุสูง รองรับการชาร์จไว สามารถใส่ 2 ซิม แล้วยังใส่เมมได้โดยแบบที่ไม่ต้องตัดใจเลือกอันใดอันหนึ่ง ที่สำคัญคือมีปากกามาให้ใช้งานได้จริงด้วย ส่วนสเปคอื่นๆ อย่างพวกแรม รอม ฟังก์ชันเสริมอย่างพวกการเชื่อมต่อไร้สาย เซ็นเซอร์ต่างๆ ก็ให้มาครบครันสำหรับการใช้งานทั่วไปดี จะติดก็แค่ตรงชิปประมวลผลและชิปกราฟิกที่อาจจะเบาไปหน่อยสำหรับการเล่นเกมหนัก ๆ แต่ถ้าคุณต้องการแค่เอามือถือมาใช้งานทั่วไป เล่นโซเชียล คุย LINE จดบันทึกงาน รับรองว่าหายห่วง
ก่อนจะไปชมรีวิว Infinix NOTE4 Pro แบบเต็มๆ เชื่อว่าเมื่อดูจากสเปคและราคา คงมีหลายท่านสนใจกันบ้างแน่นอน ถ้าหากอยากจะซื้อหามาใช้งาน ตอนนี้สามารถสั่งซื้อจากหน้าเว็บไซต์ Lazada ได้เท่านั้นครับ เหมือนว่าจะมีโปรโมชัน หากจอแตก เปลี่ยนเครื่องฟรี 1 ครั้งด้วยนะ ส่วนศูนย์บริการจะมีอยู่ที่อาคาร ณ นคร แถวถนนแจ้งวัฒนะ (ดูแผนที่)
*บทความ Advertorial*
ข้อดี
ข้อสังเกต
บทสรุป
BEST PRICE & FUNCTION
Design
สำหรับสัมผัสแรกที่ได้จับ Infinix NOTE4 Pro ก็รู้สึกว่าวัสดุ งานประกอบตัวเครื่องทำออกมาได้ดี มีความแน่นหนา การเก็บขอบมุมก็ทำได้สวยงาม ไม่มีส่วนที่คมจนบาดมือ ทำให้แม้ว่าตัวเครื่องจะมีขนาดใหญ่ แต่ก็ยังสามารถจับถือได้แบบไม่ลำบากนัก จัดว่าเป็นมือถือราคาจับต้องได้ ที่ทำบอดี้ออกมาได้ดีเลยทีเดียว
Infinix NOTE4 Pro เป็นมือถือที่ได้รับการออกแบบมาให้มีหน้าตาในรูปแบบพิมพ์นิยมสำหรับสมาร์ทโฟนในยุคปัจจุบัน โดยด้านหน้าก็จะเป็นกระจกหน้าจอเกือบทั้งชิ้น มีเว้นขอบบนขอบล่าง โดยขอบบนจะเป็นตำแหน่งของกล้องหน้า แฟลช LED ลำโพงสนทนา และก็เซ็นเซอร์ต่างๆ ได้แก่ เซ็นเซอร์วัดแสง วัดระยะห่าง รวมถึงยังมีไฟ LED แจ้งเตือนอยู่ทางมุมขวาบนอีกด้วย
ส่วนขอบล่างของจอก็จะเป็นตำแหน่งของปุ่มสั่งงานต่างๆ ตรงกลางเป็นปุ่มโฮมซึ่งมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ด้วย ซึ่งสามารถใช้ปลดล็อคหน้าจอได้ด้วยการแตะนิ้วลงบนปุ่มเหมือนกับสมาร์ทโฟนทั่วๆ ไปเลย แต่ถ้าเป็นด้านฟังก์ชันของการใช้งานเป็นปุ่มโฮมนั้น จะต้องกดปุ่มลงไปนะครับ ไม่ได้เป็นปุ่มแบบสัมผัสอย่างที่หลายท่านคุ้นเคยกัน ก็อาจจะทำให้คนที่ชินกับสมาร์ทโฟนในช่วง 1-2 ปีหลังนี้อาจจะต้องปรับตัวกันซักเล็กน้อย เนื่องจากส่วนใหญ่จะเปลี่ยนไปใช้ปุ่มโฮมแบบสัมผัสกันแล้วนั่นเอง
สำหรับปุ่มเรียกดูแอปล่าสุด (Recent apps) จะอยู่ที่จุดสีขาวเล็กๆ ทางฝั่งซ้ายของปุ่มโฮม ส่วนจุดขาวทางขวาก็จะเป็นปุ่มย้อนกลับ ตัวปุ่มไม่มีไฟส่องสว่าง การแตะที่ปุ่มเพื่อสั่งงานก็ต้องแตะให้ตรงกับจุดขาวเท่านั้นด้วย ช่วงแรกๆ อาจพบปัญหากดปุ่มไม่โดนอยู่บ้างเหมือนกันครับ
พลิกมาดูด้านหลังของ Infinix NOTE4 Pro แล้วก็จะพบจุดที่เด่นๆ อยู่ 3 ส่วน หนึ่งคือกล้องหลังที่มีความนูนขึ้นมาจากฝาหลังเล็กน้อย มีแฟลช LED 2 สีอยู่ด้านข้าง ช่วยทำให้ภาพถ่ายที่ใช้แฟลชดูมีสีสันเป็นธรรมชาติมากขึ้น อันดับสองก็คือโลโก้ Infinix ตรงเกือบกลางตัวเครื่อง และส่วนที่สามคือกลุ่มด้านล่างสุดที่เป็นข้อมูลของตัวเครื่อง ตั้งแต่ชื่อรุ่น ชื่อโมเดล ประเทศที่ผลิต และโลโก้มาตรฐานการรับรองเล็กๆ น้อยๆ
วัสดุของฝาหลังก็ใช้เป็นอลูมิเนียมที่ผ่านการทำสี เคลือบผิวมาเป็นอย่างดี ดูด้วยสายตาและสัมผัสแล้วรู้สึกได้เลยว่าเนื้อละเอียดดีมากๆ ไม่ลื่นมือมากนัก เมื่อเทียบกับมือถือรุ่นอื่นๆ ที่เลือกใช้วัสดุและผิวสัมผัสที่คล้ายคลึงกัน ส่วนขอบข้างซ้ายขวาถูกออกแบบให้มีความโค้งมน ทำให้เวลาถือ เครื่องจะกระชับกับอุ้งมือพอดี การตัดขอบไม่คมจนบาดมือ ทั้งนี้ ฝาหลัง Infinix NOTE4 Pro ไม่สามารถแกะออกได้นะครับ เท่ากับไม่สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ด้วยตนเองด้วยเช่นกัน
ส่วนตรงขอบบนและล่างของฝาหลัง จะสังเกตเห็นแนวเส้นที่มีสีทองแชมเปญขุ่นๆ อยู่ ตรงส่วนนั้นคือเป็นบริเวณของเสาอากาศรับสัญญาณของเครื่อง ซึ่งต่างจากหลายๆ แบรนด์ที่นิยมใช้เป็นเส้นพาดลงไปตรงๆ ดื้อๆ บนฝาหลังเลย ทำให้ดีไซน์ของฝาหลัง NOTE4 Pro ดูโปร่งและโล่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ตามข้อมูลจำเพาะของตัวเครื่อง Infinix NOTE4 Pro มีน้ำหนักอยู่ที่ 200 กรัม จัดว่าอยู่ในระดับที่มากกว่ามือถือรุ่นอื่นๆ ที่จอใหญ่ใกล้เคียงกันอยู่เล็กน้อย ซึ่งก็แลกกันกับการที่คุณได้แบตเตอรี่ในเครื่องมาถึง 4500 mAh เลยทีเดียว เทียบแบบขำๆ ก็คือตัวเลขความจุแบตเยอะกว่า iPhone 8 ถึงสองเท่าครึ่งเลยนะ !!
ส่วนด้านข้างก็มีจุดที่พิเศษกว่ามือถือรุ่นอื่นๆ ด้วยครับ มาชมกันเลย
ไล่ดูข้อมูลกันทีละฝั่ง ดังนี้
- ด้านขวา: ถาดใส่ MicroSD / แผงปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง / ปุ่ม Power
- ด้านบน: ช่องเสียบแจ็คหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
- ด้านซ้าย: ถาดใส่ไมโครซิม (ได้สูงสุด 2 ซิม) / ขั้วต่อสำหรับใช้งานกับ Smart cover ที่แถมมาในกล่อง
- ด้านล่าง: ช่องรับเสียงของไมค์สนทนา / ช่องชาร์จไฟแบบ Micro USB / ช่องลำโพง
ที่น่าสนใจก็คือตรงขั้วต่อที่เป็นวงกลม 3 จุด ข้างในมีขั้วทองเหลืองอยู่นี่แหละครับ มันถูกออกแบบมาสำหรับใช้งานร่วมกับเคสแบบ Smart cover ที่แถมมาในกล่อง ซึ่งเดี๋ยวจะพูดถึงกันอีกทีในส่วนของฟีเจอร์ ว่ามันใช้ทำอะไรได้บ้าง
ส่วนอุปกรณ์ที่แถมมาในกล่องก็จะมี อะแดปเตอร์ชาร์จไฟ สายชาร์จ Micro USB หูฟัง เคสแบบ Smart cover ฟิล์มกันรอยหน้าจอ เอกสารคู่มือ ที่น่าสนใจก็คือชุดอุปกรณ์ชาร์จไฟครับ เนื่องจาก Infinix NOTE4 Pro มาพร้อมระบบการชาร์จเร็วที่ใช้ชื่อว่า Xcharge 4.0 ที่ Infinix คิดค้นขึ้นมา และเป็นจุดเด่นของมือถือจาก Infinix มาโดยตลอด (ข้อมูลจากหน้าเว็บ)
โดยเจ้ามาตรฐาน Xcharge 4.0 นี้ ถูกออกแบบมาสำหรับ NOTE4 Pro เพื่อให้ชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ความจุสูงถึง 4500 mAh ได้อย่างรวดเร็วโดยใช้แรงดันไฟ (V) ต่ำ ซึ่งตัวอะแดปเตอร์นี้ได้รับการผลิตมาให้จ่ายไฟได้สูงสุด 5V 5A ซึ่งน่าจะเป็นชุดชาร์จที่จ่ายไฟมากสุดเป็นอันดับต้นๆ ของสมาร์ทโฟนในยุคนี้เลยทีเดียว โดยในเว็บ Infinix ลงข้อมูลไว้ว่าสามารถใช้คุยโทรศัพท์ได้นานถึง 250 นาที จากการชาร์จเพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้น หรือถ้าชาร์จไว้ราวๆ 30 นาที ก็ได้แบตที่เพียงพอกับการใช้งานทั่วไปใน 1 วันแล้ว ส่วนในด้านความปลอดภัย ตัวระบบการชาร์จจะถูกควบคุมทั้งจากชิปในตัวมือถือ และชิปในอะแดปเตอร์ เพื่อให้การชาร์จทำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับความปลอดภัย ส่วนของตัวสายก็ดูเหมือนจะมีพินพิเศษเพิ่มเข้ามาที่ฝั่งของ Micro USB ซึ่งจะคล้ายๆ กับระบบ VOOC Flash Charge ของทาง OPPO ที่ใช้หัว Micro USB แต่มีพินพิเศษเพิ่มเข้ามา แต่ทั้งนี้ ก็สามารถใช้สายชาร์จธรรมดาทั่วไปได้เหมือนกันครับ แต่ไฟอาจจะเข้าช้ากว่าปกติหน่อย
Software
Infinix NOTE4 Pro มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 7.0 Nougat ตั้งแต่แกะกล่อง ครอบทับมาด้วย XOS ที่เป็นอินเตอร์เฟสของทาง Infinix เอง ทำให้หน้าตาโดยรวมดูมีสีสันที่แตกต่างไปจาก Pure Android เล็กน้อย แต่รูปแบบการใช้งานยังคงมีความเป็น Android อยู่เต็มที่ ทำให้ผู้ที่คุ้นเคย Android จากแบรนด์อื่นๆ มาก่อนสามารถใช้งานต่อได้แบบไม่ต้องเรียนรู้ใหม่มากนัก ในระบบมีแอปที่ติดมาให้มากพอสมควร อย่างของตัว XOS เองก็จะมีแอปรวมมาให้อยู่ในโฟลเดอร์ “ครอบครัว XOS” เช่น
- คู่มือผู้ใช้
- XAccount สำหรับลงทะเบียนสร้างบัญชี XOS เพื่อเก็บคะแนน Xgold จากการร่วมกิจกรรมในแอป และลุ้นรับรางวัลจาก Xclub ของ Infinix เอง (สำหรับในไทย น่าจะต้องดูอีกซักพักว่าจะมีรางวัลอะไรมาให้แลกหรือเปล่า)
- XCloud สำหรับสำรองและเรียกคือข้อมูลแบบเดียวกับ iCloud โดยข้อมูลที่สามารถเก็บได้ก็เช่น รายชื่อผู้ติดต่อ ข้อความ บันทึกการโทร สถานีวิทยุที่ชื่นชอบ สมุดจด เป็นต้น
- XHide สำหรับใช้ซ่อนแอป
- XManager สำหรับใช้จัดการระบบ เคลียร์ไฟล์ขยะ
- XSecurity ใช้สำหรับล็อคแอป และจัดการสิทธิ์อนุญาตต่างๆ
ส่วนพื้นที่ของรอม จากที่ให้มา 32 GB เปิดเครื่องมา พบว่าพื้นที่ถูกใช้ไปราวๆ 9 GB
Feature
มาถึงการรีวิวส่วนสำคัญแล้วครับ เพราะตัวของ Infinix NOTE4 Pro มันมาพร้อมลูกเล่นเยอะจริงๆ เริ่มแรกจากส่วนของเคสฝาพับ Smart cover และปากกา Xpen ก่อนเลย ซึ่งมันต้องมาด้วยกันครับ
หน้าตาของเคสฝาพับที่แถมมาในกล่องก็จะเป็นแบบฝาพับเหมือนหนังสือเลย ด้านนอกเป็นผ้าสีทองแชมเปญคล้ายๆ กับตัวเครื่อง มีแถบพลาสติกสีดำโปร่งแสงเป็นรูปสามเหลี่ยมอยู่ทางฝั่งขวาของฝาพับ ซึ่งตรงนี้เมื่อใช้งานกับตัวเครื่องก็จะกลายเป็นหน้าจอที่แสดงข้อมูลการแจ้งเตือนนิดๆ หน่อยๆ ส่วนตรงสันด้านบนจะเป็นช่องเสียบปากกา Xpen ครับ เท่ากับว่าถ้าต้องการใช้ปากกา Xpen ก็ต้องใช้ร่วมกับเคสฝาพับ Smart cover แบบที่แถมมาในกล่องเท่านั้น
ซึ่งอีกสาเหตุที่จำเป็นต้องใช้เคสฝาพับที่แถมมาในกล่องเท่านั้น ก็เนื่องจากตัวปากกา Xpen จะอาศัยพลังงานจากการชาร์จไฟจากมือถือ ผ่านขั้วทองเหลืองด้านข้างตัวเครื่อง ต่อมายังเคส และก็จ่ายไฟเข้ามาที่ปากกา Xpen ตรงจุดทองเหลืองทั้ง 3 จุดที่ปากกาตามภาพด้านบนนี่เองครับ สังเกตว่าที่ฝั่งในของเคสจะมีขั้วทองเหลืองอยู่ 3 จุดเหมือนกันเลย ซึ่งการเสียบปากกาในช่องเพื่อชาร์จ 20 วินาที จะสามารถใช้งานปากกาต่อเนื่องได้ถึง 40 นาทีด้วยกัน โดยนอกเหนือจากใช้ชาร์จไฟให้ปากกาแล้ว ยังใช้ในการส่งข้อมูลให้ระบบด้วยว่าตอนนี้ปากกาถูกดึงออกมา หรือถูกเก็บอยู่ในช่องเรียบร้อยแล้วครับ ก็นับว่าเป็นระบบที่แมนนวลแบบตรงๆ ไม่ต้องใช้กลไกในการตรวจจับอะไรมากนัก
ที่ตัวปากกาก็จะมีปุ่มกดฝังอยู่ตรงบริเวณที่นิ้วหัวแม่มือกดลงไปได้พอดี ซึ่งปุ่มนี้ฟังก์ชันหลักของมันในแอปจดบันทึกที่ติดมากับตัวเครื่องก็คือ การเปลี่ยนจากหัวที่ใช้เขียนมาเป็นหัวยางลบ โดยต้องกดค้างไว้ระหว่างใช้งานด้วย
สำหรับในภาพด้านบน เป็นภาพจากฟังก์ชันการจดบันทึกแบบ screen-off ถ้าจะเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือเป็นฟังก์ชันที่เหมือนในมือถือซีรีส์ Note ของ SS ครับ คือหากหน้าจอปิดอยู่ สามารถดึงปากกาออกมาแล้วเขียนบนหน้าจอได้ทันที ทำให้การจดบันทึกทำได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องปลดล็อกหน้าจอแล้วเปิดแอปก่อน
ส่วนด้านบนนี้เป็นฟังก์ชัน Note ตามปกติของเครื่องครับ สามารถจดบันทึก วาดรูปได้แบบค่อนข้างอิสระ สามารถเลือกสีปากกา เลือกรูปแบบหัวแปรงที่ต้องการได้ค่อนข้างหลากหลาย
หากผู้ใช้เปิดใช้งานเครื่องตามปกติ ปลดล็อกหน้าจอพร้อมใช้งานอยู่ แล้วดึงปากกาออกมา ก็จะมีหน้าจอ XNote ตามภาพแรกทางด้านบนปรากฏขึ้นมา ซึ่งจะเป็นทางลัดสำหรับเข้าใช้งานแอปต่างๆ ที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้งานปากกา ได้แก่
- Note: แอปสำหรับจดบันทึก วาดรูป (ตามภาพก่อนหน้านี้)
- Memo: จะเป็นเหมือนกระดาษ post-it สีเหลืองปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ ทำให้สามารถจดบันทึกแบบเตือนความจำทิ้งไว้บนจอได้
- เลือกอย่างสมาร์ท: ใช้สำหรับแคปหน้าจอแบบเลือกบางส่วน ซึ่งสามารถเลือกได้ทั้งแบบกรอบสี่เหลี่ยมปกติ เลือกเป็นวงกลม เลือกส่วนที่ต้องการแคปแบบอิสระตามการวาดของผู้ใช้ หรือจะแคปหน้าจอแบบยาวๆ ก็ได้เช่นกัน
- เขียนหน้าจอ: ระบบจะแคปหน้าจอปัจจุบันไว้ แล้วให้ผู้ใช้เขียนบนภาพที่แคปหน้าจอได้ทันที
รวมๆ แล้วก็นับว่าเป็นกลุ่มของฟีเจอร์ที่เหมาะกับการใช้งานร่วมกับปากกาจริงๆ ซึ่งหากใครที่เคยใช้มือถือรุ่นที่มีฟีเจอร์เหล่านี้อยู่ ก็น่าจะคุ้นเคยกันดี ส่วนเรื่องการใช้งานจริง ทั้งความเร็ว ความแม่นยำ ความลื่นไหลในการเขียน การออกแรงกด จัดว่าอยู่ในระดับกลางๆ ครับ โดยอาจจะเทียบกับ SS รุ่น Note ทั้งหลายได้ไม่เต็มที่นัก แต่ก็ต้องบอกว่า Infinix NOTE4 Pro + Xpen นั้นดีกว่ามือถือปกติที่ไปหาปากกาสไตลัสแบบไม่แพงมากมาใช้งานแน่นอน
โดยปัจจัยหนึ่งที่ผมทดสอบแล้วค่อนข้างประทับใจเลยก็คือ สามารถเขียนในขณะที่วางสันมือบนจอได้ ซึ่งตรงจุดนี้มักจะพบได้กับในมือถือรุ่นที่ออกแบบมาสำหรับการใช้งานในรูปแบบนี้เท่านั้น (และราคาก็แพงกว่า 7,990 บาทด้วย) ทำให้ต่อให้ไม่ว่าจะเป็นมือถือรุ่นไหนก็ตาม + ปากกาสไตลัสอื่นๆ ก็ใช้งานได้ไม่สะดวกเท่าแบบนี้แน่นอน
กลับมาต่อที่หน้าจอล็อกสกรีนเมื่อใช้ร่วมกับเคสฝาพับ Smart cover ครับ โดยหน้าจอที่ติดขึ้นมาหลังจากพับฝาปิดไป จะมีเพียงส่วนที่เป็นรูปสามเหลี่ยมตรงตำแหน่งกับบนฝาพับเท่านั้น ซึ่งข้อมูลที่แสดงขึ้นมาก็จะมีนาฬิกา การแจ้งเตือนในรูปแบบไอคอนของแอปนั้นๆ และก็ทางลัดสำหรับใช้งาน 2 ฟังก์ชัน ได้แก่ การควบคุมการเล่นเพลง ซึ่งสามารถเรียกได้โดยใช้นิ้วลากสามเหลี่ยมสีฟ้าที่มีรูปโน้ตเพลงมาตรงกลางตามแนวเส้นกรอบ โดยลากผ่านบนช่องโปร่งแสงของฝาพับ ส่วนอีกด้านหนึ่งจะเป็นไฟฉาย ซึ่งจากที่ผมใช้งานและพกพา ก็พบปัญหาว่ามันลากเปิดไฟฉายจากแฟลชหลังอยู่บ่อยๆ
แต่ทั้งนี้ก็มีทางป้องกันอยู่ครับ เพราะว่าส่วนที่แสดงบนหน้าจอเป็นสามเหลี่ยมแบบนี้ จะมีขึ้นมาหลังจากเพิ่งปิดฝาพับลงไป ผ่านไปซักพักหน้าจอทั้งหมดก็จะดับไปเอง หรือจะเร่งให้ดับเร็วขึ้นอีกก็ด้วยการกดปุ่ม Power ลงไปอีกครั้งในขณะที่ปิดฝาพับอยู่ก็ได้เช่นกัน
ปิดท้ายการรีวิวฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ Inifinix NOTE4 Pro ด้วยส่วนของซอฟต์แวร์ที่ติดมาในเครื่อง ซึ่งยังมีบางส่วนที่อาจจะโดนใจกันบ้างแน่ๆ เริ่มด้วยฟีเจอร์ Multi Account ที่ทำให้เราสามารถล็อกอินแอปในเครื่องได้มากกว่า 1 บัญชี หลักการก็ง่ายๆ ครับ คือการโคลนแอปที่เราต้องการขึ้นมาอีกตัว จากนั้นก็ใช้งานได้เลย ทีเด็ดคือสามารถใช้กับแอปอะไรก็ได้ในเครื่อง จะเป็นการล็อกอิน LINE มากกว่า 1 บัญชี หรือจะ Facebook IG ก็ทำได้เลย
ต่อมาก็เป็นส่วนช่วยจัดการเครื่อง ที่มีสามารถช่วยดูแลจัดการระบบและแอปต่างๆ ได้ ทั้งช่วยเคลียร์แรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และการจัดการพลังงาน เพื่อให้สามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานขึ้น
รูปที่สามก็คือหนึ่งในฟีเจอร์ที่ติดมากับเครื่องเลย นั่นคือการแช่แข็งแอปไว้ไม่ให้ทำงาน ไม่ว่าจะทั้งแบบเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เหมาะสำหรับแอปที่ติดมากับเครื่องแต่ไม่ได้ใช้งาน หรือจะเป็นแอปที่ผู้ใช้เลือกติดตั้งเอง แล้วไม่ค่อยได้ใช้ แต่ก็ยังไม่อยากลบออกจากเครื่อง ซึ่งก็จับแช่แข็งลงในโฟลเดอร์นี้ได้เลยครับ มันจะทำให้แอปที่ผู้ใช้ใส่ไว้ไม่ทำงานเลย จนกว่าจะยกเลิกการแช่แข็งมัน
รูปที่สี่ก็เป็นตัวอย่างของการสั่งงานที่น่าจะมีประโยชน์ เช่น การแคปหน้าจอโดยการรูด 3 นิ้วจากส่วนบนของหน้าจอลงมา เป็นต้น
Camera
กล้องถ่ายภาพของ Infinix NOTE4 Pro ก็อยู่ในกลุ่มกล้องมือถือระดับกลางๆ ครับ ใช้ถ่ายกลางวันทั่วไปพอไหว แต่ถ้าเจอสภาพแสงยากๆ เช่น การถ่ายย้อนแสง ก็อาจจะได้ภาพที่ไม่แจ่มเท่ากับมือถือรุ่นราคาช่วงหมื่นต้นๆ ที่แข่งกันในด้านคุณภาพของกล้องกันแบบสุดๆ
แต่ทั้งนี้ ตัว NOTE4 Pro เองก็ให้ลูกเล่นของกล้องมาไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างโหมดกล้องก็ให้พื้นฐานมาครบๆ เลย ไม่ว่าจะโหมดออโต้ โหมดแมนนวล (ในเครื่องใช้ภาษาไทยว่าโหมดวิชาชีพ) โหมดพาโนรามา โหมด HDR รวมถึงยังมีโหมด PIP ที่ให้ผู้ใช้ถ่ายภาพทั้งกล้องหลังและกล้องหน้าพร้อมกัน ในภาพเดียวกันได้ด้วย
ด้านบนนี้ก็เป็นตัวอย่างของโหมดแมนนวลที่ให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าต่างๆ ก่อนถ่ายภาพได้เองดุจกล้อง DSLR ครับ โดยค่าที่สามารถปรับได้ก็อย่างเช่น ค่า ISO ความเร็วชัตเตอร์ ค่า white balance การชดเชยแสง ระยะโฟกัส รูปแบบการวัดแสง เป็นต้น ซึ่งเอาจริงๆ แล้ว ผมว่าปรับได้ละเอียดกว่ามือถือราคาแพงๆ ซะด้วยซ้ำไป
สำหรับการเข้าถึงเมนูการตั้งค่าและการเปลี่ยนโหมดถ่ายภาพของ Infinix NOTE4 Pro นั้น จะใช้การปาดหน้าจอแอปกล้อง โดยถ้าปาดจอจากฝั่งซ้ายไปขวา ก็จะเปลี่ยนมาเป็นหน้าจอเลือกโหมดกล้อง ในทางกลับกันหากปาดจากขวาไปซ้าย ก็จะเป็นหน้าจอการตั้งค่าแอปกล้อง ซึ่งก็จะมีเมนูการเปิด/ปิดลายน้ำที่จะใส่มาในมุมซ้ายล่างของภาพด้วย (ตัวอย่างลายน้ำ ชมได้จากภาพตัวอย่าง)
ส่วนตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง ก็คลิกชมได้จากในแกลเลอรี่ด้านล่างนี้เลย
Performance
ฝั่งของผลการทดสอบประสิทธิภาพ ก็อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ช่วงแนะนำสเปคว่า Infinix NOTE4 Pro นั้นให้สเปคมาแบบพอดีๆ สำหรับการใช้งาน ชิปประมวลผลที่ใช้เป็น MediaTek MT6753 มีคอร์ประมวลผลถึง 8 คอร์ แต่ก็เป็นชิปประมวลผลที่มีอายุในตลาดมานานพอสมควรแล้ว อาจทำให้การเล่นเกมที่ต้องใช้พลังหนักๆ ไม่ราบรื่นนัก ซึ่งเมื่อทดสอบประสิทธิภาพ ก็ให้ผลทดสอบออกมาอยู่ในระดับกลาง ๆ นอกจากนี้ผมลองทดสอบด้วยเกม Lineage 2 ผลก็คือตัวเกมมีสะดุดเป็นช่วงๆ ดังนั้น NOTE4 Pro อาจจะไม่ตอบโจทย์คอเกมแบบฮาร์ดคอร์เท่าไหร่นัก
แต่ถ้าสำหรับคนที่อยากได้มือถือมาใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน ใช้จดบันทึก จดไอเดีย เล่นเน็ต แชท เล่นเกมเบาๆ หรือไม่ได้เล่นเกมอยู่แล้ว และต้องการมือถือที่ใช้งานได้แบบไม่ต้องกังวลว่าแบตจะหมดเร็ว บอกเลยว่า Infinix NOTE4 Pro ตอบโจทย์ได้ลงตัวเลยครับ ด้วยหน้าจอที่ใหญ่เต็มตาถึง 5.7 นิ้ว แรม 3 GB ก็เพียงพอกับการที่ต้องสลับแอปไปมา รองรับ 2 ซิมแถมยังใส่เมมเพิ่มได้อีก ซึ่งในตลาดมีมือถือที่ใส่ได้แบบนี้อยู่แค่ไม่กี่รุ่นเท่านั้น
ส่วนด้านของแบตเตอรี่ 4500 mAh นั้น สำหรับการใช้งานทั่วไป เล่น Facebook, LINE, ถ่ายรูป, จดบันทึกเล็กน้อย, คุยโทรศัพท์ ต่อ 4G ตลอดเวลา อันนี้ผมสามารถใช้งานได้กว่า 2 วันเลยทีเดียว ส่วนถ้าลองให้ปล่อยบอทในเกม Lineage 2 ก็สามารถเปิดติดต่อกันตั้งแต่แบต 100% จนเหลือประมาณ 10% ในเวลาราวๆ 4 ชั่วโมง 20 นาที แล้วก็ปิดเกม ปล่อยเครื่องไว้ตั้งแต่ประมาณตีหนึ่งมาถึงเช้าของอีกวัน แบตก็ยังเหลืออยู่ 8%
พอเริ่มชาร์จไฟด้วยอะแดปเตอร์ Xcharge และสายชาร์จที่แถมมากับเครื่อง แล้วลองเช็คปริมาณแบตเป็นช่วงๆ ได้ผลออกมาดังนี้ครับ
เมื่อดูจากข้อมูลแล้ว ยอมรับเลยครับว่าระบบ Xcharge มันชาร์จไฟเข้า Infinix NOTE4 Pro ที่แบต 4500 mAh ได้เร็วมากๆ จากแบตแค่ 8% สามารถชาร์จจนเต็มได้ในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาทีเท่านั้น และจากที่โฆษณาไว้ว่า ชาร์จเพียง 30 นาที ก็สามารถใช้งานทั่วไปได้ 1 วันแบบสบายๆ ก็ไม่น่าจะเกินจริงซักเท่าไร เมื่อดูจากตารางพบว่าในระยะเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง แบตเตอรี่ก็มีไฟเพิ่มขึ้นมาถึง 50% แล้ว ตีเป็นเลขปริมาณแบตเตอรี่ก็ราวๆ 2250 mAh ซึ่งถ้าใช้งานแบบทั่วไป ไม่ได้เล่นเครื่องตลอดเวลา ก็น่าจะพออยู่จนหมดวันได้อย่างที่โฆษณาเหมือนกัน
ดังนั้น เรื่องความจุแบตเตอรี่ และการชาร์จเร็วแบบ Xcharge ก็น่าจะเป็น 2 จุดขายหลักของ Infinix NOTE4 Pro ได้แบบสบายๆ นับว่าเป็นหนึ่งในทางเลือกของมือถือแบตอึดที่ทำได้จริง แถมยังให้อุปกรณ์มาให้เหมาะกับการใช้งานอย่างครบถ้วนด้วย ต่างจากมือถือในตลาดบางรุ่นที่ให้แบตมาเยอะ แต่ดันไม่รองรับการชาร์จเร็วซะอย่างนั้น