สำหรับชื่อของ BenQ หลายๆ ท่านอาจจะพอคุ้นเคยกันมาบ้างในอดีต เพราะเคยเข้ามาร่วมวงตลาดสินค้าเพื่อผู้ใช้งานระดับทั่วไปอยู่บ้างเหมือนกัน ทั้งในส่วนของมือถือ สมาร์ทโฟน โน้ตบุ๊ก จอมอนิเตอร์ แต่ช่วงหลังๆ ก็เงียบหายไปพอสมควร แต่ไปเน้นในตลาดของเครื่องโปรเจกเตอร์ เน้นขายในระดับองค์กรซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจากในงานเปิดตัว ทาง BenQ เองก็ได้ขยายไลน์ตลาดของตนเองออกไปอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในวงการเพื่อสุขภาพ แต่ตนเองก็ยังคงรับผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ให้กับผลิตภัณฑ์ของแบรนด์อื่นๆ อยู่เช่นเดิม ซึ่งก็ถือเป็นการสั่งสมประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์มากขึ้น และกลับมาเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนในชื่อแบรนด์ของตนเองอีกครั้ง แน่นอนว่าต้องมาพร้อมกับเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพที่เป็นจุดเด่นของตน และนี่ก็คือผลผลิตรุ่นแรกที่เข้ามาในไทยครับ กับ ?BenQ F5?มือถือในสไตล์คุ้มๆ ซึ่งในรีวิวฉบับนี้ก็จะมาดูกันว่า BenQ พร้อมขนาดไหน เริ่มที่สเปคกันก่อนเลย
สเปค BenQ F5
- ชิปประมวลผล Snapdragon 400 (MSM8926) quad-core ความเร็ว 1.2 GHz ชิปกราฟิก Adreno 305
- แรม 2 GB
- หน้าจอ IPS ขนาด 5 นิ้ว ความละเอียด 1280 x 720 HD
- มาพร้อมเทคโนโลยีตัดแสงสีฟ้า
- รอม 16 GB รองรับ MicroSD
- กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์จาก Sony
- กล้องหน้า 2 ล้านพิกเซล
- ใช้ได้ 1 ซิม รองรับ 3G ทุกเครือข่าย ใช้งาน 4G LTE ในไทยได้
- Android 4.4.2
- แบตเตอรี่ 2,520 mAh
- หนักแค่ 135 กรัม
- เริ่มวางจำหน่ายในเดือนกันยายน
- ราคา 8,490 บาท
- สเปค BenQ F5 เต็มๆ
เห็นจากสเปค ต้องบอกว่า BenQ F5 มากับหลายๆ จุดที่จัดว่าคุ้มค่าทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นแรมที่ได้มาเต็มๆ 2 GB หน้าจอ 5 นิ้ว HD กล้องความละเอียดสูง แบตเตอรี่ 2,520 mAh ที่จัดว่าใกล้เคียงกับเครื่องรุ่นท็อปๆ และที่สำคัญเลยคือมันสามารถใช้งาน 4G LTE ในไทยได้ด้วย นับว่าเป็นมือถือรุ่นที่ใช้งาน 4G ได้ในราคาไม่สูงมากนัก จากที่ปกติมักจะใช้ได้ในเครื่องราคาเกินหมื่นซะเป็นส่วนใหญ่ ส่วนอีกจุดที่น่าสนใจก็คือมันมาพร้อมเทคโนโลยีตัดแสงสีฟ้าจากหน้าจอ ซึ่งจะขอยกเอาไว้ไปอธิบายตรงส่วนของฟีเจอร์เด่นใน BenQ F5 ก็แล้วกันนะครับ เอาเป็นว่าทราบกันคร่าวๆ ไปก่อนแล้วกันว่ามี
สำหรับสเปคและราคา BenQ F5 ต้องบอกว่ามาชนกับ Zenfone 5 LTE เต็มๆ เลยครับ หน้าจอก็เท่ากัน ชิปก็ตัวเดียวกัน แต่ BenQ F5 จะได้เปรียบก็ตรงที่กล้องหลังความละเอียดสูงกว่า แบตเตอรี่ความจุสูงกว่า ตัวเครื่องที่เพรียวบางและเบากว่าอยู่เล็กน้อย กับราคาที่เพิ่มขึ้นมา 500 บาท ดูแล้วก็เป็นจุดที่ทำให้ตัดสินใจยากอยู่ไม่น้อยทีเดียว
Design
เรื่องของดีไซน์นั้น ดูจะไม่ใช่จุดเด่นของ BenQ F5 ซักเท่าไรครับ เพราะหน้าตานั้นดูผ่านๆ ก็แทบไม่ต่างจากสมาร์ทโฟนในปัจจุบันซักเท่าไร อาจจะมีจุดตัดขึ้นมาบ้างก็ตรงช่วงลำโพง, เลนส์กล้องหลังและลำโพงด้านหลังที่เลือกใช้สีแดงเข้ามาสร้างความโดดเด่น ดังนั้นเรื่องความสวย BenQ F5 ก็อาจจะเป็นรองรุ่นอื่นๆ อยู่บ้างพอสมควร แต่เมื่อได้จับเครื่องจริงแล้ว พบว่าค่อนข้างน่าประทับใจเลยทีเดียวในเรื่องความบางเบาของตัวเครื่องซึ่งทำออกมาได้ดีมาก ด้วยน้ำหนักแค่ 135 กรัม แต่ได้เครื่องจอใหญ่ขนาด 5 นิ้ว งานประกอบโดยรวมจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดีทีเดียว กดเครื่องแล้วไม่ยุบ ไม่ยวบ โครงสร้างตัวเครื่องก็แข็งแรงใช้ได้ นับว่าการกลับมาครั้งนี้ของ BenQ ทำได้น่าประทับใจล่ะ
หน้าจอก็เป็นอีกจุดที่ BenQ ทำออกมาได้ดี สมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตพาเนลหน้าจอ ที่ตนเองก็รับผลิตให้กับหลายๆ แบรนด์อยู่ ทำให้หน้าจอของ BenQ F5 ออกมาคมชัดกำลังพอดีๆ ในระดับ HD ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่าเป็นระดับความคมชัดที่โอเคที่สุดสำหรับสมาร์ทโฟนแล้ว เพราะมันให้ความคมชัดในระดับที่พอดีกับระยะความห่างระหว่างสายตากับจอเครื่องเวลาใช้งานจริง ภาพที่เห็นจากจอก็ออกมาเนียนสวยงาม ส่วนเรื่องของสีสันนั้นจะค่อนข้างซีดไปซักหน่อย ได้เรื่องความสบายตาในการใช้งาน แต่คนที่ชอบจอสีสันสดใสอาจจะไม่ค่อยถูกใจกันนัก?ยังดีที่มาพร้อมฟีเจอร์ Double tap to wake ที่สามารถแตะหน้าจอสองครั้งติดๆ กันเพื่อเปิดหน้าจอได้ ลักษณะเดียวกับในสมาร์ทโฟนรุ่นไฮเอนด์หลายๆ รุ่น ก็จัดว่าเป็นฟีเจอร์ที่มีประโยชน์และใช้งานได้จริงครับ เท่าที่เปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ทั้งวัน แบตเตอรี่ก็ยังใช้งานได้ปกติ ไม่ได้ลดฮวบฮาบแต่อย่างใด
สำหรับปุ่มกดด้านล่างทั้งสามปุ่มก็จะเหมือนมือถือ Android ทั่วไปคือมีปุ่มย้อนกลับ ปุ่มโฮม (กดค้างเป็นการเรียก Google Now) และปุ่มดูแอพที่ใช้งานล่าสุด โดยที่ใต้ปุ่มจะมีไฟ LED ให้แสงสว่างอยู่ ซึ่งก็พอมองเห็นได้สะดวก โดยไฟที่ปุ่มจะติดอยู่ตลอดเวลาที่หน้าจอเปิดอยู่ เลยไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการกดปุ่มซักเท่าไร
ฝาหลังของ BenQ F5 เลือกใช้เป็นพลาสติกเนื้อแข็งพอสมควร ที่ผิวเคลือบให้มีลักษณะคล้ายกับซอฟท์ทัช แต่อาจจะแข็งๆ กว่าเล็กน้อย เป็นรอยนิ้วมือค่อนข้างง่าย แต่ยังดีที่เช็ดออกได้ไม่ยากเท่าไร มีโลโก้ให้เห็นชัดเจนเลยทั้งแบรนด์ BenQ และโลโก้ 4G LTE แสดงให้เห็นชัดเจนเลยว่า BenQ F5 รองรับการใช้งาน 4G LTE สำหรับการแกะฝาหลังก็ไม่ยากครับ ที่ด้านข้างตัวเครื่องทั้งฝั่งซ้ายและขวาจะมีช่องให้ใช้เล็บแงะฝาหลังออกมาได้เลย
เมื่อเปิดออกมาก็จะพบกับเครื่องในบางส่วนของ BenQ F5 โดยมีช่องใส่ไมโครซิมอยู่ฝั่งขวา และช่องใส่ MicroSD อยู่ฝั่งซ้าย ส่วนแถบสีเงินตรงกลางนั้นคือส่วนของแบตเตอรี่ครับ น่าเสียดายตรงที่มันไม่สามารถถอดออกมาได้ด้วยวิธีตามปกติ
ขอบข้างเครื่องก็ใช้วัสดุเป็นพลาสติกเช่นเดียวกัน โดยใช้การวางพอร์ตและปุ่มต่างๆ ดังนี้ ปุ่ม Power อยู่ด้านบนตัวเครื่องใกล้ๆ กับช่องเสียบแจ็คหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรตามปกติ, ปุ่มเพิ่ม/ลดเสียงอยู่ด้านขวาในบริเวณที่หัวแม่มือกดได้สะดวก, ช่อง Micro USB อยู่ด้านล่างของเครื่อง รวมๆ แล้วจะขัดใจก็ตรงปุ่ม Power ที่วางไว้ด้านบนนี่ล่ะครับ เนื่องด้วยจอขนาด 5 นิ้ว มันน่าจะเหมาะกับการใช้นิ้วหัวแม่มือขวา (ในกรณีใช้มือขวาถือเครื่อง) กดมากกว่า แต่เอาจริงๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่มาก เพราะเราสามารถแตะที่จอสองครั้งเพื่อเปิดหน้าจอได้เหมือนกัน (แต่ก็ยังต้องกด power เพื่อปิดจออยู่ดี)
สำหรับใครที่ยังห่วงเรื่องการรับประกันและการซื้อหาว่าจะทำได้อย่างไร ที่ไหนบ้าง จุดนี้ BenQ ประเทศไทยก็เตรียมไว้รองรับแล้วครับ โดยจะมีการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายโดยร่วมมือกับ Ingram Micro ผู้เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าไอทีรายใหญ่ในไทยกับทาง Lazada ผู้เป็นตัวแทนจำหน่ายในฝั่งออนไลน์ จึงน่าจะทำให้สามารถหาซื้อมือถือ BenQ ได้ไม่ยากนัก ส่วนการรับประกัน ก็สามารถนำเครื่องไปเข้าศูนย์ของ Ingram Micro หรือจะนำไปส่งร้านที่ซื้อมาเพื่อให้ร้านส่งศูนย์ให้อีกทีก็ได้ ที่น่าสนใจอีกอย่างคือนโยบายการรับประกันครับ ในเบื้องต้นแล้ว BenQ จะรับประกันตัวเครื่องและอุปกรณ์ในกล่องให้ 1 ปี ส่วนแบตเตอรี่ประกันให้ 6 เดือน และถ้าพบว่าปัญหาที่เกิดเป็นปัญหาความผิดพลาดของตัวเครื่อง (defective unit) ทาง BenQ ก็พร้อมเปลี่ยนเครื่องใหม่ให้ทันที คงต้องรอหลังวางจำหน่ายกันอีกทีครับ คงได้พิสูจน์กัน
สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่อง BenQ F5 ก็จะมีอะแดปเตอร์, สาย Micro USB, หูฟังและฟิล์มกันรอยมาให้ 1 ชุด ด้านล่างนี้ก็เป็นแกลเลอรี่รวมภาพถ่ายตัวเครื่อง BenQ F5 ครับ มาชมกันได้เลย
Software
ระบบปฏิบัติการของ BenQ F5 ก็ใช้เป็น Android 4.4.2 ที่เลือกใช้อินเตอร์เฟสแบบปกติของ Android เลย แต่มีเปลี่ยนไอคอนไปเป็นตามธีมของ BenQ เอง ซึ่งส่วนตัวดูแล้วไม่ค่อยทันสมัยซักเท่าไร เหมือนกับอินเตอร์เฟซมือถือของเมื่อ 2-3 ปีก่อนเลย ตรงจุดนี้ก็หวังว่า BenQ จะปรับปรุงแก้ไขในอนาคตนะครับ แต่สำหรับใน BenQ F5 นี้คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะสามารถเลือกหา launcher หาธีมอื่นมาใช้งานได้แบบไม่ยากนัก ชอบธีมไหนก็เลือกใช้ได้เลยตามสะดวก อ้อ…สามารถฟังวิทยุ FM ได้ด้วยนะ
สำหรับพื้นที่รอมที่เหลือให้ใช้งานก็อยู่ที่ราวๆ 12.6 GB จากทั้งหมด 16 GB ก็เพียงพอสำหรับการลงแอพลงเกมทั่วไป สามารถย้ายแอพบางส่วนไปลงใน MicroSD ได้ ส่วนการกินแรมของเครื่องจัดว่าน่าพอใจมาก จากที่มีทั้งหมด 2 GB เท่าที่ลงและใช้งานแอพทั่วไป พบว่าเหลือแรมอีกประมาณ 1 GB เต็มๆ จุดนี้ถือว่ารอม BenQ F5 ทำได้ดีเลยครับ ไม่กินทรัพยากรเครื่องเท่าไร แอพที่ติดมาในเครื่องก็ให้มาแบบเท่าที่คิดว่าผู้ใช้ทั่วไปจะใช้งาน เช่น Adobe Reader, Avast Antivirus, ES File Explorer, WPS Office, Clean Master และ Whatsapp รวมไปถึงแอพของ BenQ เอง เช่น QissMusic สำหรับฟังเพลง, Qmemo สำหรับจดบันทึก,? QMoney สำหรับบันทึกการใช้จ่าย เป็นต้น
ที่แถบ Quick Settings ก็ได้รับการตั้งค่าให้มีปุ่มปรับการทำงานของหลายๆ ฟีเจอร์ เช่นสามารถปรับการทำงานของฟีเจอร์ตัดแสงสีฟ้าที่จอได้เลย สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานของเน็ตเวิร์ก (2G/3G/อัตโนมัติ) ทั้งยังมีปุ่มให้รีสตาร์ทหรือปิดเครื่องได้ด้วย ถ้าคิดว่าเยอะไป จะเอาออกก็ได้เช่นกันครับ ถือว่าทำมาให้ปรับแต่งได้พอสมควร
อีกหนึ่งฟีเจอร์ของรอมที่น่าสนใจก็คือ Smart Connectivity ที่ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าการเชื่อมต่อให้สอดคล้องกับการใช้พลังงานได้ เช่นสามารถตั้งค่าให้มือถือตัดการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตออกเมื่อปิดหน้าจอ เพื่อประหยัดพลังงานลงได้ ฟีเจอร์นี้น่าจะเหมาะกับผู้ที่ต้องการใช้งานแบตเตอรี่ให้ยาวนานที่สุดแบบยังจำเป็นต้องต่ออินเตอร์เน็ตอยู่ แต่ถ้าสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปแบบหาปลั๊กเสียบได้สะดวก แนะนำว่าปิดไปก็ได้ครับ เดี๋ยวมีใครทักไลน์มาแล้วเราไม่เห็น อาจซวยได้ (ฮา)
Feature
สำหรับในด้านฟีเจอร์เด่นของ BenQ F5 คงไม่มีจุดไหนเด่นเกินอันนี้แล้วครับ สำหรับฟีเจอร์การตัดแสงสีฟ้าที่หน้าจอ ซึ่งเจ้าแสงสีฟ้านี้ก็มีรายงานทางการแพทย์ให้ข้อมูลว่าเป็นช่วงแสงที่ส่งผลกระทบกับจอประสาทตาได้ในระยะยาว โดยเฉพาะผู้ที่ต้องใช้งานจอภาพนานๆ เพราะแสงสีฟ้าจะปนอยู่ในภาพที่ออกจากจอเป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งอาจจะทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสียได้ในอนาคต ดังนั้นในช่วงที่ผ่านมาเราจึงมักได้เห็นผลิตภัณฑ์หลายๆ ตัวออกมาเพื่อลดแสงสีฟ้าที่ออกมาจากหน้าจอ เช่นฟิล์ม แผ่นกรองแสง แว่นกรองแสง
ส่วนใน BenQ F5 นี้ไม่ต้องไปพึ่งอุปกรณ์อื่นเลย เพราะมันสามารถตัดแสงสีฟ้าได้ในตัวด้วยฟีเจอร์ Low Blue Light ที่สามารถปรับตั้งค่าได้จากแถบ Quick Settings หลักการทำงานของมันก็ไม่มีอะไรมากครับ ดูจากภายนอกแล้วก็เป็นการลดโทนสีฟ้าในจอภาพลง จากในภาพด้านบน ภาพซ้ายคือหน้าจอปกติ ส่วนภาพขวาคือหน้าจอเมื่อเปิดโหมดลดแสงสีฟ้าลงจนสุด จะเห็นว่าโทนสีภาพออกมาต่างกันมาก จากจอของเครื่องจริงที่ปกติจะติดเขียวมานิดๆ กลายเป็นแดงอมเหลืองแทน
ส่วนภาพชุดนี้จะเป็นความแตกต่างระหว่างการใช้งานโหมดลดแสงสีฟ้าในแต่ละระดับครับไล่มาจากบนซ้ายคือปิด บนขวาเปิดระดับ 1 ล่างซ้ายเปิดระดับ 2 และล่างขวาคือเปิดระดับสูงสุด สังเกตที่ไอคอนตรงส่วนสีขาว จะเห็นความแตกต่างของโทนสีอย่างชัดเจน ซึ่งถ้ามาดูภาพจริง จะพบว่าจอเหลืองกว่าที่เห็นในภาพเสียอีก
เท่าที่รีวิว BenQ F5 มา ส่วนตัวผมมองว่าโหมดตัดแสงสีฟ้าก็ใช้งานได้จริงในระดับหนึ่งครับ ที่เวิร์คสุดก็คงเป็นการใช้ในเวลาที่ต้องอ่านข้อมูลจากหน้าจอนานๆ ซึ่งเลือกใช้ที่ระดับ 1 ก็พอแล้ว จะได้จอที่เหลืองกำลังพอดีๆ ช่วยให้อ่านได้โดยที่ไม่ล้าสายตามากนัก คล้ายกับกระดาษเหลืองที่นิยมใช้ทำเป็นหนังสือนั่นเอง แต่แน่นอนว่าตอนที่ใช้ช่วงแรกๆ อาจจะไม่ชินเท่าไร อาจจะต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่บ้าง สำหรับในการใช้งานปกติ ส่วนตัวผมปิดโหมดแล้วใช้จอธรรมดาๆ นี่ล่ะครับ เพราะบางทีเวลาเปิดดูหน้าฟีดใน Facebook แล้วเจอภาพสีแปลกๆ มันก็ไม่ใช่อะเนอะ เอาเป็นว่าใช้โหมดให้ถูกกับงานก็แล้วกัน มันมีข้อดีอยู่ครับ
Camera
เรื่องกล้องก็นับเป็นอีกหนึ่งข้อที่น่าสนใจของ BenQ F5 เลย ด้วยฮาร์ดแวร์ที่จัดเต็มด้วยชุดเซ็นเซอร์จาก Sony จึงคาดหวังได้ว่าน่าจะทำให้สามารถถ่ายภาพได้ดีทั้งสภาพแสงปกติและสภาพแสงน้อย จุดนี้จึงไม่ค่อยน่าเป็นห่วงเท่าไร ส่วนด้านของซอฟต์แวร์กล้องนั้น ก็ไม่น้อยหน้าคู่แข่งเลยทีเดียว สามารถปรับตั้งค่ากล้องได้หลากหลาย ทั้งส่วนของความละเอียด ซีนโหมด ค่าความไวแสง (ISO) ปรับ white balance ตามสภาพแวดล้อม เป็นต้น สังเกตว่าเมนูที่ขึ้นมาที่หน้าแอพกล้องจะดูเยอะๆ ล้นๆ ไปหน่อย ใช้ช่วงแรกอาจจะงงๆ แต่เอาเข้าจริงไม่มีอะไรมากครับ ตรงที่เป็นแถบไอคอนเล็กๆ นั้นคือค่าต่างๆ ที่เราตั้งเอาไว้อยู่ ซึ่งตามปกติในมือถือเครื่องอื่นมักจะซ่อนเอาไว้ แต่ใน BenQ F5 เครื่องนี้โชว์ออกมาหมด มันก็เลยดูเยอะๆ เท่านั้นเอง ส่วนของกล้องหน้านั้นเสียดายที่ไม่มีโหมดบิวตี้ตามสมัยนิยม ดังนั้นสาวๆ (หรือหนุ่มๆ ก็ด้วย) คงต้องหาแอพแต่งภาพกันเองล่ะนะ
ส่วนใครที่คิดว่าเวลาถ่ายภาพ ไม่สะดวกที่จะใช้มือ ก็สามารถตั้งค่าให้กล้องถ่ายอัตโนมัติเมื่อเราส่งเสียงได้ เช่นการพูดคำว่า ชีสสสส กล้องก็จะถ่ายให้อัตโนมัติ แต่ต้องไปเปิดโหมด Sound ที่ปุ่มไอคอนขวาบนก่อนนะ สำหรับโหมดต่างๆ ที่สามารถถ่ายได้ก็เช่น HDR, พาโนรามา, ถ่ายรัว, ถ่ายแบบนับเวลาถอยหลัง เป็นต้น ถือว่าลูกเล่นกล้องมีเยอะพอตัว ด้านการถ่ายวิดีโอก็สามารถถ่ายวิดีโอสโลว์โมชัน รวมถึงวิดีโอแบบเร่งเวลา (timelapse) ได้ด้วยนะ
ด้านล่างนี้คือตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังของ BenQ F5 ครับ ชมกันได้เลย
Performance
เรื่องประสิทธิภาพจากแอพเทสคงไม่ใช่ประเด็นที่น่าสนใจซักเท่าไรของ BenQ F5 ครับ เนื่องด้วยสเปคที่ไม่จัดว่าแรง แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งาน อย่างที่กล่าวไปในส่วนของซอฟต์แวร์แล้วว่าแรมมีให้ใช้งานเหลือเฟือ ทำให้การใช้งานจริงระหว่างรีวิวเจ้า BenQ F5 ทำได้อย่างไหลลื่น การเปิดแอพ สลับแอพก็ทำได้คล่องมือ ส่วนตัวคิดว่าไวกว่า LG G3 ที่ใช้งานอยู่ด้วยซ้ำไป ตรงจุดนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้ด้านซอฟต์แวร์ที่ทำออกมาได้ดี กินทรัพยากรต่ำ ทำให้แม้จะซีพียูไม่แรงมาก แต่ก็ทำงานได้ไว การเล่นเกมก็ทำได้พอสมควร แต่เจอเกมใหญ่ๆ หนักเครื่องก็ลำบากอยู่บ้างเหมือนกัน สามารถเล่นเกม Asphalt 8 โดยปรับกราฟิกระดับ High ได้ แต่เฟรมเรตจะไม่ค่อยไหลลื่นเท่าไร แนะนำว่าปรับลงมานิดนึงน่าจะกำลังพอดีๆ
ด้านของแบตเตอรี่ เป็นจุดที่ BenQ F5 ทำได้ดี เนื่องด้วยแบตเตอรี่ที่ให้มาถึง 2,520 mAh ทั้งยังพ่วงมาพร้อมกับสเปคที่ไม่กินพลังงานมากนัก ทำให้สามารถใช้งานแบบเกินวันได้อย่างสบายๆ เท่าที่ผมลองใช้งานมาเต็มๆ 1 วันแบบต่อ 4G/3G ทั้งวัน เล่น Facebook, Twitter, เปิดเว็บ, ฟังเพลง มีเปิดเกมบ้าง ก็สามารถใช้งานตั้งแต่ราวๆ 11 โมงถึงสามทุ่มโดยแบตเหลือประมาณ 34% (อันที่จริงมีแอบเสียบสายต่อคอมเพื่อโอนเพลงอยู่นิดนึง เลขเวลาก็เลยนับไม่เต็มช่วงที่ใช้งานแบตจริงๆ) ส่วนในภาพด้านบนก็เป็นการใช้งานต่อ โดยตั้งเครื่องทิ้งไว้เวลาหลับ แล้วตื่นมาดูตอนเช้า แบตก็ยังเหลืออยู่ 21% ถือว่าอึดเอาเรื่องอยู่ ขนาดว่าต่อ 4G/3G แทบทั้งวันด้วยนะเนี่ย
Overall
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับรีวิว BenQ F5 สมาร์ทโฟนรุ่นแรกของ BenQ ที่กลับมาในไทยหลังจากหายไปหลายปี ต้องถือว่าทำออกมาได้ดีทีเดียว ด้วยทั้งสเปค ราคา งานประกอบอยู่ในเกณฑ์ดีคุ้มค่าคุ้มราคามากๆ กับมือถือจอ 5 นิ้ว HD รองรับ 4G LTE แบตอึดในราคาแค่ 8,490 บาท นับว่าเป็นการเริ่มบุกตลาดได้อย่างน่าสนใจเลย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมือถือแบบคุ้มๆ ซื้อเครื่องเดียวจบทำได้หลายอย่างไม่แพ้เครื่องรุ่นไฮเอนด์ จะติดก็แค่เรื่องช่องทางการวางจำหน่ายที่ในช่วงแรกอาจจะหาซื้อได้ยากซักหน่อย รวมถึงเครื่องเดโมที่อาจจะยังกระจายได้ไม่ทั่วถึงนักตามต่างจังหวัด คงต้องอาศัยเวลาตั้งตัวกันอีกซักพักล่ะครับ เราถึงจะได้เห็นมือถือ BenQ กลับมาในไทยได้เต็มตัว แถมมีข่าวแว่วว่าเร็วๆ นี้จะมีเปิดตัวมือถือรุ่นใหม่เพิ่มเติมเข้ามาอีกด้วย ก็คงต้องรอดูกันต่อไปล่ะนะ
ข้อดี
- งานประกอบดี แน่นหนา ตัวเครื่องบางเบา
- สเปคคุ้มค่า จอสวยกำลังพอดีๆ ใช้งาน 4G LTE ได้ในราคาไม่แรง
- มีเทคโนโลยีตัดแสงสีฟ้าที่จอ ใส่เข้ามาเป็นกิมมิคของเครื่อง
- แบตเตอรี่ใช้งานได้นาน
ข้อสังเกต
- ถอดแบตเตอรี่ไม่ได้
- กล้องถ่ายในที่มีแสงน้อยแล้วภาพสว่างก็จริง แต่ดูฟุ้งๆ ไปหน่อย
- ไอคอนเดิมๆ ไม่ค่อยสวย แต่สามารถเปลี่ยน launcher เปลี่ยนไอคอนได้ตามใจชอบ
เทียบกับรุ่นอื่น
สำหรับคู่แข่งของ BenQ F5 ในช่วงราคาใกล้เคียงกันต่างกันไม่เกิน 1,000 บาทที่น่าสนใจก็ตามตารางด้านบนครับ
ASUS Zenfone 6?(รุ่นราคา 7,990 บาท)
ตัว Zenfone 6 รุ่นนี้จะมีราคาที่ย่อมเยากว่า BenQ F5 เล็กน้อย เนื่องจากเป็นรุ่นที่ปรับมาใช้ชิปประมวลผลเป็น Intel Atom Z2560 ตัวเดียวกับใน Zenfone 5 (เรียกง่ายๆ ว่าดาวน์เกรดลงมานั่นเอง) ในจุดนี้ Zenfone 6 จะได้เปรียบเรื่องหน้าจอที่ใหญ่ถึง 6 นิ้ว แบตเตอรี่ที่ความจุสูงกว่าพอสมควร กล้องหน้ากล้องหลังที่ความละเอียดและฟีเจอร์พอๆ กัน นับว่าเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อในหลายๆ ด้านเลย แต่ก็มาในขนาดตัวเครื่องที่ใหญ่กว่า หนักกว่า ใครที่อยากได้มือถือแบบพกพาง่ายๆ คงจะไม่สะดวกพก Zenfone 6 ซักเท่าไหร่ล่ะนะ
ASUS Zenfone 5 LTE
เพิ่งเปิดตัวและวางจำหน่ายเลยทีเดียวสำหรับ Zenfone 5 รุ่นรองรับ 4G LTE เรื่องสเปคต้องบอกว่าเป็นตัวเดียวกันเป๊ะๆ เป็นคู่แข่งที่ชนกันในตลาดตรงๆ เลยก็ว่าได้ แต่ BenQ F5 จะได้เปรียบเรื่องแบตเตอรี่ที่มากกว่ากันอยู่นิดนึง ตัวเครื่องที่บางเบากว่า กล้องหลังก็ความละเอียดสูงกว่า ที่เหลือก็แค่เรื่องดีไซน์ อันนี้ก็แล้วแต่คนชอบเลยครับ
i-mobile IQ 6.8 DTV
สเปครวมๆ ความแรงก็ไม่ต่างจาก BenQ F5 มากนัก กล้องอาจจะมีตัวเลขความละเอียดมากกว่า แต่ก็มาจากการอัพพิกเซลด้วยซอฟต์แวร์ แต่ i-mobile ตัวนี้จะเด่นในเรื่องที่มันสามารถรับชมทีวีดิจิตอลได้ในตัวโดยไม่ต้องใช้อินเตอร์เน็ต ซึ่งนับว่าเป็นฟีเจอร์เด็ดของ i-mobile เลยก็ว่าได้ ถ้าใครไม่ซีเรียสเรื่อง 4G LTE หรืออยากได้มือถือดูทึวึได้ (และแถวที่พักมีสัญญาณ) i-mobile IQ 6.8 DTV ก็น่าสนอยู่เหมือนกัน ราคาย่อมเยากว่า แต่เวลาซื้อต้องเจาะจงเลือกหน่อยนะครับ เพราะจะมีแบ่งเป็นสองรุ่นย่อยคือรุ่นรองรับ 3G 850/2100 กับ 3G 900/2100 ถ้าใช้ dtac, True-H, CAT ก็เลือกตัวแรกไปเลย ใช้ 3G ได้ทุกที่แน่นอน
OPPO Find 5 mini
แม้เรื่องหน้าจอจะด้อยกว่า แต่ OPPO Find 5 mini ก็ชดเชยมาด้วยฟีเจอร์ลูกเล่นของรอมที่ให้มาเยอะมากไม่แพ้รุ่นใหญ่ เรื่องกล้องก็มีโหมด beauty ให้ถ่ายรูปกันออกมาสวยฟรุ้งฟริ้งถูกใจสาวๆ ได้ไม่ยาก น่าจะเหมาะกับสาวๆ หรือผู้ที่ต้องการเล่นฟีเจอร์ ลูกเล่นต่างๆ ครับ