หลังจากที่ ASUS เปิดตัวสมาร์ทโฟนตระกูลใหม่ซึ่งปัจจุบันมาถึงเจเนอเรชั่นที่ 3 แล้ว และเป็นประจำที่ ASUS จะซอยรุ่นย่อยให้แต่ละรุ่นมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งในวันนี้เองเราได้มีโอกาสรีวิว ASUS ZenFone 3 Max โดยชื่อ Max นี้จะมีจุดเด่นที่แบตเตอรี่ที่มีอายุการใช้งานที่นานกว่า ซึ่ง ZenFone 3 Max มากับแบตเตอรี่ที่มีขนาดถึง 4,100 mAh บวกกับหน้าจอที่มีขนาด 5.2 นิ้วทำให้มีอายุการใช้งานในรูปแบบทั่วไปได้ถึง 2 วันโดยไม่ต้องชาร์จแบตเตอรี่ ซึ่งไปดูสเปคเบื้องต้นที่ด้านล่างได้เลย ว่าสเปคระดับนี้ในราคา 5,990 บาทจะคุ้มกับเงินที่จ่ายไปหรือเปล่า
สเปค ASUS ZenFone 3 Max (ZT520TL)
- หน้าจอขนาด 5.2 นิ้วแบบ IPS LCD ที่มีความละเอียด 1280 × 720 พิเซล
- ชิปประมวลผล MediaTek MT6737 CPU Quad Core @1.3 GHz และ GPU Mali-T720 MP2
- แรม 2 GB
- หน่วยความจำภายใน 16 GB (รองรับการใช้งาน Micro SD ได้สูงสุด 32 GB)
- กล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซลพร้อมแฟลช LED
- กล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล
- ระบบปฎิบัติการ Android 6.0
- แบตเตอรี่ความจุ 4,130 mAh
- ราคา 5,990 บาท
- สเปคแบบเต็มของ ASUS ZenFone 3 Max (ZT520TL)
สำหรับสเปคของ ASUS ZenFone 3 Max ถือว่าให้ความคุ้มค่าในราคาที่เหมาะสม ถือว่ากำลังพอดี ไม่ถูกไม่แพงจนเกินไป ซึ่งเป้าหมายของผู้ที่จะซื้อ ASUS ZenFone 3 Max นี้ ก็คงเป็นผู้ใช้งานที่เน้นการใช้งานโทรศัพท์บ่อย และต้องการโทรศัพท์ที่มีแบตเตอรี่ที่เยอะ ๆ เพื่อรองรับการใช้งานที่ครบวัน โดยไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรี่ระหว่างใช้งานซึ่งเชื่อว่า ASUS ZenFone 3 Max จะตอบโจทย์อย่างแน่นอน แต่ทว่าเจ้า ZenFone 3 Max นี้จะมีดีแค่แบตเตอรี่หรือเปล่า สามารถติดตามได้ที่รีวิวด้านล่างได้เลยครับ
จุดเด่น
ข้อสังเกต
บทสรุป
BEST PRICE
Design
การออกแบบของ
ZenFone Gen 3
สวยขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
ต้องบอกก่อนว่าเคยรีวิวสมาร์ทโฟนของ ASUS มาหลายรุ่นซึ่งจะยังคุ้นเคยกับการออกแบบจากเจเนอร์เรชั่นเดิมที่มากับขอบจอที่หนา และมีการนำพลาสติกมาเล่นลวดลายโลหะเป็นวงกลมที่ด้านล่างของตัวเครื่องที่เป็นเอกลักษณ์ของ ASUS เจเนอร์เรชั่นเก่า แต่สำหรับ ASUS ZenFone 3 Max ตัวนี้ถือเป็นตัวที่มีการออกแบบ Gen 3 ที่ได้ลองมารีวิว แค่สัมผัสแรกก็รู้เลยว่าเปลี่ยนไปในทางที่ดีกว่าเดิมมาก ๆ ทั้งการออกแบบ และวัสดุที่ใช้ดูแตกต่างจากรุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับรายละเอียดการออกแบบของ ASUS ZenFone 3 Max มีขนาดของตัวเครื่องอยู่ที่ 149.5 x 73.7 x 8.55 ซึ่งมีความคล้ายกันกับตระกูล ASUS ZenFone 3 เริ่มจากด้านหน้าของตัวเครื่องจะเป็นกระจกทั้งหมด ซึ่งมีการนำกระจกแบบ 2.5 D มาใช้ที่ด้านหน้าของตัวเครื่อง ภายใต้หน้าจอนั้นมีหน้าจอแสดงผลขนาด 5.2 นิ้วอยู่ด้านในซึ่งมีความหนาของขอบหน้าจออยู่ที่ 2.25 มิลลิเมตร และมีอัตราหน้าจออยู่ที่ 75 % จากพื้นที่หน้าจอทั้งหมด ในส่วนด้านบนของตัวเครื่องจะเป็นลำโพงสนทนาสีดำที่ดูกลมกลืนไปกับตัวเครื่อง ซึ่งจะมีกล้องหน้าและเซ็นเซอร์ต่าง ๆ อยู่ด้านซ้ายของลำโพงสนทนา ในส่วนด้านล่างของตัวเครื่องจะเป็นที่อยู่ของโลโก้ ASUS สีเงินที่เป็นจุดเด่นบนหน้าจอ เนื่องจากเมื่อปิดหน้าจอทุกอย่างจะเป็นสีดำยกเว้นโลโก้ที่เป็นสีเงิน ส่วนปุ่มย้อนกลับ ปุ่มโฮม และปุ่ม Multitasking ถูกย้ายไปอยู่ในหน้าจอเป็นที่เรียบร้อย
ในส่วนของด้านหลังมีการออกแบบรูปลักษณ์ให้มีลักษณะโค้งมนด้านข้างเพื่อให้สามารถจับถือได้ง่าย โดยใช้วัสดุโลหะที่ด้านหลังที่เรียบทั้งด้านหลังไม่โค้งเหมือนกับรุ่นที่แล้ว ด้านบนของฝาหลังจะเป็นกล้องและ Dual LED Flash ที่เป็นสี่เหลี่ยมตัดขอบด้วยโลหะสวยงาม ซึ่งจะมีไมค์ตัดเสียงรบกวนที่ด้านบนกล้อง ถัดมาด้านล่างจะเป็นฟีเจอร์สแกนลายนิ้วมือที่เป็นสี่เหลี่ยมที่มีลักษณะเดียวกันกับกล้องหลังเลยทีเดียว ด้านล่างจะเป็นลำโพงหลักโดยจะเป็นสี่เหลี่ยมคาดยาวด้านล่างของฝาหลังตัวเครื่องซึ่งจะมีโลโก้ ASUS อยู่ด้านล่างของลำโพง สำหรับด้านบนของตัวเครื่องจะมีเฉพาะช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ส่วนด้านล่างของตัวเครื่องจะมีช่องเสียบ microUSB และลำโพงใช้สำหรับสนทนาเท่านั้น ในส่วนด้านข้างของตัวเครื่องที่ด้านขวาจะเป็นปุ่มเพิ่มเสียง ลดเสียง และปุ่มพาวเวอร์ ส่วนด้านซ้ายจะเป็นช่องใส่ซิม
สำหรับหน้าจอของ ASUS ZenFone 3 Max จะมากับหน้าจอขนาด 5.2 นิ้ว แบบ IPS LCD ที่มีความละเอียด 1280 × 720 พิกเซล ที่มีความละเอียด 282 DPI และมีความสว่างสูงสุดที่ 450 units ที่แสดงผลในที่มีแสงจ้าได้ดีเยี่ยม มีขอบจอบางอยู่ที่ 2.25 มม. ซึ่งถือว่าบางกว่ารุ่นเดิม ทำให้มีพื้นที่หน้าจอมากขึ้นเป็น 75 % จากพื้นที่ด้านหน้าทั้งหมด และถูกหุ้มด้วยกระจกแบบ 2.5 D ทำให้ด้านหน้ามีความโค้งมนสวยงามกว่ารุ่นเดิมเป็นอย่างมาก
จากการใช้งานจริง พบว่าตัวเครื่องมีน้ำหนักที่เยอะเกินขนาดตัวไปเยอะมาก เป็นเพราะแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษซึ่งก็ต้องยอมรับในจุดนี้ แต่มันก็ไม่ได้หนักมากขนาดนั้นโดยมีน้ำหนักอยู่ที่ 148 กรัม ซึ่งอาจจะเท่ากับสมาร์ทโฟนหน้าจอ 5.5 นิ้วบางตัว หากมองจากตัวเครื่องด้านหน้ารู้สึกว่ามันสวยงามกว่ารุ่นเดิมมาก ๆ ตัวเครื่องด้านหลังเป็นโลหะที่ให้ความรู้สึกแน่นหนา หรูหราไม่ดูก๊องแก๊งพลาสติกเหมือนรุ่นเดิม การจับถือตัวเครื่องขณะใช้งานมือเดียวยังคงได้อยู่เนื่องจากหน้าจอมีขนาดกำลังพอดี โดยรวมในเรื่องของวัสดุของตัวเครื่องถือว่าให้ผ่านครับ สำหรับความละเอียดของหน้าจอที่มีความละเอียด 1280 × 720 บางคนอาจจะคิดว่าหน้าจออาจจะไม่ชัด แต่จากการหน้าจอถือว่าไม่ต่างกันมากจากพวกที่มีหน้าจอ 5.5 นิ้วความละเอียด Full HD เพราะด้วยหน้าจอที่มีขนาด 5.2 นิ้วทำให้มีความหนาแน่นของพิกเซลที่อยู่ในเกณฑ์ที่แสดงภาพที่มีความคมชัดอยู่ สิ่งที่เป็นปัญหาจากการออกแบบของตัวเครื่องก็จะอยู่ที่เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ เนื่องจากเป็นสี่เหลี่ยมที่คล้ายกับเลนส์กล้อง และอยู่ตำแหน่งที่ใกล้เคียงกันเลย ทำให้บางทีหลงไปสแกนลายนิ้วมือที่เลนส์กล้องซะงั้น แต่ใช้งานไปเรื่อย ๆ ก็ชินไปเอง
Software
ASUS ZenFone 3 Max มาพร้อมกับ Android 6.0 ทำงานร่วมกับ ASUS ZenUI 3.0 ที่เป็นเอกลักษณ์ของ ASUS ซึ่งจากการใช้งานในชีวิตประจำวันนั้นฟีเจอร์ ZenMotion นั้นได้ใช้งานบ่อยมาก ตั้งแต่การเปิดหน้าจอและปิดหน้าจอที่สามารถทำได้โดยแตะหน้าจอสองครั้งติดกันแทนการสแกนลายนิ้วมือ หรือจะวาดเป็นตัวอักษรบนหน้าจอเพื่อเข้าสู้แอพพลิเคชั่นที่ตั้งค่าไว้ได้ สำหรับการใช้งานทั่วไปอย่างเล่นโซเชียลมีเดีย ดูหนัง ฟังเพลง ทั่วไป ใช้งานได้อย่างสบาย สลับแอพพลิเคชันได้อย่างรวดเร็วจากแรมที่มีขนาด 2 GB จะทำให้บางครั้ง อาจจะมีการโหลดข้อมูลใหม่อยู่บ้าง ที่สำคัญใน ZenUI 3.0 ในส่วนของ Lock Screen ก็มีการแสดงภาพเป็นเอนิเมชั่นเคลื่อนไหวตามสภาพอากาศที่ดูสวยงาม นอกจากนี้ยังมี Theme Store ให้ดาวน์โหลดเพื่อปรับเปลี่ยนธีมได้อีกหลายร้อยรูปแบบ
Feature
Battery 4,100 mAh ที่ชาร์จให้อุปกรณ์อื่นได้
สำหรับฟีเจอร์ที่ถือเป็นจุดเด่นอย่างแรกของ ZenFone 3 Max ที่ไม่พูดถึงไม่ได้นั่นก็คือแบตเตอรี่ เนื่องจากให้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 4,100 mAh ที่ทาง ASUS เคลมว่าสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องทั้งวันโดยไม่ต้องชาร์จ ชนิดที่ไม่ต้องพก Power Bank เลยทีเดียว โดยทาง ASUS เผยว่าสามารถใช้งานสนทนาแบบ 3G ได้ต่อเนื่องถึง 20 ชั่วโมง เข้าชมเว็บไซต์ด้วยการเชื่อมต่อ Wi-Fi ได้ต่อเนื่อง 18 ชั่วโมง และสามารถฟังเพลงได้ถึง 87 ชั่วโมง และสามารถแสตนด์บายในโหมด 3G ได้ถึง 30 วัน ที่สำคัญ ZenFone 3 Max ยังมากับฟีเจอร์ Reverse Charging ที่สามารถเป็น Power Bank ชาร์จไฟให้กับอุปกรณ์อื่น ๆ ได้ โดยการใช้สาย OTG ที่แถมให้ภายในกล่อง อีกฟีเจอร์หนึ่งคือ Super Saving Mode ที่สามารถเพิ่มเวลาสแตนบายด์ได้อีกถึง 30 ชั่วโมงแม้จะมีแบตเตอรี่เหลือเพียง 10 % เอาไว้ฉุกเฉิน ซึ่งตามไปดูการทดสอบความอึดของแบตเตอรี่ได้ที่รีวิว ASUS Zenfone 3 Max หมวด Performance ได้เลยครับ
Finger Print ที่เป็นมากกว่าเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ
เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือจะอยู่ที่ด้านหลังของตัวเครื่อง บริเวณด้านล่างของกล้องซึ่งสามารถบันทึกได้สูงสุดถึง 5 รอยนิ้วมือ สามารถปลดล็อคได้อย่างรวดเร็วที่ 0.3 วินาที ที่สำคัญยังสามารถวางนิ้วมือที่มุมไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นมุมเดียวกันเมื่อตอนลงรหัสครั้งแรก จากการใช้งานจริงถือว่าเซนเซอร์ตัวนี้อำนวยความสะดวกได้เป็นอย่างดี ซึ่งสามารถเข้าสู้หน้าจอได้เลยเพียงแตะที่เซ็นเซอร์ โดยไม่จำเป็นต้องกดปุ่มโฮมก่อน และมีความแม่นยำในเกณฑ์ที่ถือว่าดี มีบางครั้งที่อาจจะสแกนผิดพลาดไป หรือเซนเซอร์ไม่ทำงานต้องใส่รหัสผ่านเพื่อนปลดล็อคแทน แต่เกิดขึ้นไม่บ่อย
ที่สำคัญเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือของ ASUS ZenFone 3 Max ยังทำหน้าที่ได้อีกหลายเช่น สามารถรับสายเรียกเข้าได้โดยการแตะบนเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือค้างไว้ หรือการเปิดใช้กล้องโดยการแตะสองครั้งบนเซนเซอร์เพื่อเปิดกล้องขึ้นมาทันที และสามาถใช้เป็นชัตเตอร์ภาพได้ด้วยเมื่อใช้งานแอพ ฯ อยู่เพียงแค่แตะเบา ๆ
Camera
สำหรับรายละเอียดของกล้องของ ASUS ZenFone 3 Max มาพร้อมกับกล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล มีรูรับแสงกว้าง f/2.2 และ LED Flash มีโหมด HDR ที่ช่วยจับภาพให้สว่างขึ้นสูงสุด 400 % ในขณะถ่ายภาพที่มีแสงน้อย และมีโหมด Super Resolution ที่สามารถถ่ายภาพความละเอียดสูงสุดได้ถึง 52 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียด 5 ล้านพิกเซลที่มีรูรับแสงกว้าง f/2.0
สำหรับซอฟต์แวร์ Pixel Master ที่อยู่ประจำการในสมาร์ทโฟน ASUS เกือบทุกรุ่นนั้นเป็นซอฟต์แวร์ที่มีการใช้งานง่ายมีโหมดต่าง ๆ ให้เลือกใช้อย่างมากมาย ซึ่งในเครื่องนี้จะเป็น Pixel Master 3.0 ที่มีโหมดถ่ายภาพ HDR , Low Light , Beautiful , Time Lapse , Effect และ Night มาให้ ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด จากการใช้งานจริงคิดว่า ASUS คงยังไม่เน้นเรื่องกล้องให้กับ ZenFone 3 Max สักเท่าไหร่ เนื่องจากประสิทธิภาพของกล้องยังไม่ค่อยถูกใจนัก แต่ก็เข้าใจว่าคงไปเน้นเรื่องแบตเตอรี่ เนื่องจากมีราคาเพียง 5,990 บาทคงจะให้เด่นทุกเรื่องคงเป็นไปไม่ได้ แต่ประสิทธิภาพของกล้องก็ไม่ได้แย่มากนัก ซึ่งสามารถถ่ายภาพทั่วไปได้ในระดับเกณฑ์กลาง ๆ แต่ตอนถ่ายภาพกลางคืนถือว่ายังเป็นข้อสังเกตอยู่ เนื่องจากกล้องมีรูรับแสงกว้าง f/2.2 ทำให้ภาพออกมามืดและมีนอยส์เยอะพอสมควร ส่วนการถ่ายตอนกลางวันก็มีคุณภาพระดับกลาง ๆ แต่กล้องหน้าถือว่าทำได้เหมาะสมกับราคาเนื่องจากมีรูรับแสงกว้าง f/2.0 และความละเอียด 5 ล้านพิกเซลทำให้เพียงพอต่อการถ่ายภาพเซลฟี่
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังของ ASUS ZenFone 3 Max
Performance
ASUS ZenFone 3 Max มาพร้อมกับชิปประมวลผล MediaTek MT6737 ซึ่งเป็นชิป Quad Core ARM Cortex A53 ที่มีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 1.3 GHz พร้อมกับ GPU Mali-T720 MP2 และแรมขนาด 2 GB จากการใช้งานทั่วไปอย่างเล่นเน็ต หรือโซเชียลต่าง ๆ ใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหา ซึ่งจากแรมที่มีเพียง 2 GB อาจจะใช้งานได้ไม่เพียงพอหากเปิดแอพพลิเคชั่นไว้เยอะ ๆ ก็แอบมีการโหลดข้อมูลใหม่บ้าง สำหรับการเล่นเกมที่มีกราฟฟิกสูง ๆ นั้นอาจจะมีเฟรมเรทตกบ้างตามประสิทธิภาพของชิปประมวลผลระดับกลาง ๆ สำหรับพื้นที่เก็บข้อมูลภายในนั้นมีขนาด 16 GB ซึ่งใช้งานทั่วไปก็ถือว่ามีขนาดเหลือเฟือ แต่สำหรับคนที่เก็บข้อมูลเยอะ ๆ ก็สามารถเพิ่มความจุได้ด้วย microSD สูงสุดถึง 32 GB และรองรับ Dual Sim ซึ่งสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันนั้นหากเข้าเล่นเว็บไซต์ทั่วไป เล่นโซเชียลต่าง ๆ ยังคงทำงานได้แบบไม่ติดขัด แต่ถ้าหากใช้งานหนัก ๆ เช่นการเล่นเกมส์ที่มีกราฟฟิกหนัก ๆ จะเริ่มมีการกระตุกให้เห็นกันบ้างแล้ว แต่ก็ถือว่าเล่นได้อยู่ ไม่ได้กระตุกจนน่ารำคาญ การสลับแอพพลิเคชั่นก็ทำได้ระดับพอดี เนื่องจากแรมที่ให้มา 2 GB อาจจะมีพื้นที่สำรองข้อมูลไม่เพียงพอมากนัก
สำหรับเรื่องแบตเตอรี่ที่เป็นจุดเด่นของ ZenFone 3 Max นั้นก็คือแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่ถึง 4,100 mAh ในขนาดตัวเครื่องที่มีหน้าจอ 5.2 นิ้ว จากการทดสอบความอึดของแบตเตอรี่ เรายังคงใช้เกมที่บริโภคแบตอย่างมหาศาลนั่นก็คือเกมโปเกมอนนั่นเอง โดยจะทำการชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มก่อนหลังจากนั้นจะเดินทางออกจากคอนโดไปยังหน้าปากซอยซึ่งเมื่อถึงหน้าปากซอยแบตจะอยู่ที่ 95 % ซึ่งแสดงให้เห็นเวลาในการใช้งานอยู่ที่ 1 วัน 18 ชั่วโมง
หลังจากนั้นเราก็เดินทางได้รถเมล์กันแบบชิว ๆ พร้อมกับเล่นเกมโปเกมอนไปด้วยจนถึงสยามใช้เวลาไปประมาณ 50 นาทีจากแบตเตอรี่อยู่ที่ 95 % ลดลงมาเหลือ 82 % ซึ่งถือว่าลดลงมาน้อยมากหากเทียบกับมือถือที่ใช้งานมาก่อนหน้านี้ หลังจากนั้นก็แวะกินข้าวที่สยามโดยเล่นเกมโปเกมอน เล่นโซเชียล ถ่ายรูป เปิด HotsPot ใช้งานแบบไม่ให้ตัวเครื่องได้พักผ่านไปประมาณ 4 ชั่วโมงแบตลดลงมาเหลือ 63 % เท่านั้น หลังจากนั้นก็เดินทางกลับด้วย BTS พร้อมกับเล่นโทรศัพท์ไปด้วยตลอด เมื่อมาถึงคอนโดผลปรากฎว่าแบตเตอรี่เหลืออยู่ที่ 57 % ซึ่งสามารถใช้งานได้ต่อในวันพรุ้งนี้ได้แบบสบาย ๆ เรียกได้ว่าแบตอึดจริง ๆ สำหรับ ZenFone 3 Max