[Review] ASUS ZenFone 3 Laser ตัวคุ้มราคาไม่ถึงหมื่น ติดเลเซอร์โฟกัส Ram 4 GB!!

หลังจากที่ได้จับ ASUS ZenFone 3 Max มารีวิวได้ไม่นาน ก็ได้รับเจ้า ASUS ZenFone 3 Laser มาจัดรีวิวต่อทันที ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนอีกหนึ่งรุ่นของ ASUS ZenFone 3 ที่หลายคนให้ความสนใจกัน เนื่องจากมากับการออกแบบที่สวยงามมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม และให้สเปคในระดับกลาง ๆ สำหรับวางขายในราคาที่ไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท แต่สเปคที่มายังถือว่าใช้งานทั่วไปได้อย่างไม่มีปัญหา และจุดเด่นตลอดการของ ZenFone รุ่น Laser นั่นก็คือกล้องหลังที่มากับฟีเจอร์เลเซอร์โฟกัสนั่นเอง โดยในรุ่น ZenFone 3 Laser เป็นเวอร์ชัน 2 ที่ถูกพัฒนามาจากรุ่นก่อนน้านี้ที่จับโฟกัสได้รวดเร็วโดยใช้เวลาเพียง 0.03 วินาทีเท่านั้น ซึ่งเราไปดูสเปคคร่าว ๆ กันก่อนได้เลยครับ

สเปค ASUS ZenFone 3 Laser 

  • หน้าจอขนาด 5.5 นิ้วแบบ IPS LCD ความละเอียด 1920 x 1080 พิเซล
  • ชิปประมวลผล Snapdaragon 430 CPU Octa Core @ 1.4 GHz และ GPU Adreno 505
  • แรม 4 GB
  • หน่วยความจำภายใน 32 GB (รองรับการใช้งาน Micro SD)
  • กล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซลพร้อมแฟลช LED
  • กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
  • ระบบปฎิบัติการ Android 6.0
  • แบตเตอรี่ความจุ 3,000 mAh
  • ราคา 8,990 บาท
  • สเปคแบบเต็มของ ASUS ZenFone 3 Laser (ZC551KL)

สำหรับสเปคของ ASUS ZenFone 3 Laser ที่ให้มานั้นถือว่าให้ความคุ้มค่าในราคาที่เหมาะสม ซึ่งจะพยายามตั้งราคาไม่ให้เกินหมื่น ซึ่งเป้าหมายของผู้ที่จะซื้อ ASUS ZenFone 3 Laser ก็จะเป็นผู้ใช้งานที่มีงบไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท ชอบการถ่ายรูป โดยเฉพาะถ่ายในระยะใกล้ ๆ โฟกัสแบบเร็ว ๆ ชอบหน้าจอใหญ่ความละเอียดสูง ชอบการออกแบบตัวเครื่องที่สวยงามด้วยวัสดุพรีเมี่ยมที่ทำจากโลหะโค้งมนเข้ากับมือ และชอบแรมเยอะ ๆ ดูเหมือนตัวนี้จะตอบโจทย์เลย ซึ่งรายละเอียดต่าง ๆ ตามอ่านได้ที่ด้านล่างได้เลยครับ

Review-ASUS-Zenfone-3-Laser-SpecPhone-00005

จุดเด่น

– โฟกัสภาพด้วยเลเซอร์โฟกัสอย่างรวดเร็ว
– ซอฟต์แวร์ Pixel Master ที่ช่วยให้การถ่ายภาพมีประสิทธิภาพมากขึ้น
– การออกแบบ วัสดุตัวเครื่องดีขึ้นจากรุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัด
– เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ทำงานไว และปรับแต่งได้หลากหลาย
– ZenUI ที่มีฟีเจอร์ช่วยให้การใช้งานสะดวกขึ้น

ข้อสังเกต

– ชิปประมวลผล Snapdragon 430 ที่เล่นเกมหนัก ๆ อาจจะไม่ไหว
– แรมยังเก็บข้อมูลได้ไม่เหมาะกับขนาด 4 GB

บทสรุป

ASUS ZenFone Laser 3 ถือเป็นสมาร์ทโฟนอีกหนึ่งรุ่นที่น่าสนใจสำหรับคนที่จะซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในราคาไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท อยากให้เก็บตัวนี้ไปเปรียบเทียบกับตัวอื่นด้วยจากการออกแบบตัวเครื่องในรุ่นที่สามที่มีความสวยงามมากกว่ารุ่นเดิมเป็นอย่างมาก และมีความแตกต่างไปในแต่ละรุ่น ไม่ได้ใช้บอดี้เดียวกันทุกรุ่นเหมือนกับ ZenFone 2 และมีการใช้วัสดุโลหะที่ด้านหลังตัวเครื่องที่ดูหรูหราและให้สัมผัสที่ดี บวกกับหน้าจอครอบด้วยกระจก 2.5 D ทำให้ตัวเครื่องนั้นสวยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สำหรับจุดเด่นของรุ่นนี้ คือ กล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.0 ที่มาพร้อมกับเลเซอร์โฟกัสอัตโนมัติเวอร์ชัน 2 ที่สามารถจับโฟกัสของภาพได้อย่างรวดเร็วเพียง 0.03 วินาที และมาพร้อมกับระบบกันสั่น EIS ถึง 3 แกนที่ช่วยให้การถ่ายภาพมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในส่วนของซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการถ่ายภาพ PixelMaster 3.0 ก็ช่วยให้การถ่ายภาพสะดวกมากขึ้น ใช้งานง่ายและถ่ายภาพได้สวย สำหรับสเปคภายในก็ให้มาเหมาะสมกับราคาที่สำคัญยังได้แรมมาถึง 4 GB ด้วยกัน และมีหน้าจอขนาด 5.5 นิ้วความละเอียด Full HD ที่เหมาะสำหรับใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างเหลือเฟือ ซึ่งถ้าหากใครกำลังลังเลอยู่ระหว่าง ZenFone 3 Max หรือ ZenFone 3 Laser ดีขอบอกเลยว่าถ้างบถึงแนะนำให้ซื้อ ZenFone 3 Laser ดีกว่า เพราะราคาที่เพิ่มขึ้นมาสามพัน ถือว่าสเปคที่ลงตัวมากขึ้น ซึ่งราคาค่าตัวของ ASUS ZenFone Laser 3 อยู่ที่ 8,990 บาทเท่านั้น
Editor : Nayvardar
85
BEST PRICE

Design

Review-ASUS-Zenfone-3-Laser-SpecPhone-00028

ASUS ZenFone Laser 3

ลบจุดด้อยเรื่องการออกแบบ

จากรุ่นเดิมไปเรียบร้อย
Review-ASUS-Zenfone-3-Laser-SpecPhone-00027

Review-ASUS-Zenfone-3-Laser-SpecPhone-00026

ส่วนตัวผมเคยรีวิวสมาร์ทโฟนของ ASUS มาหลายรุ่น แล้วก็จะคุ้นเคยกับการออกแบบจากเจเนอร์เรชั่นเดิม ไม่ว่าจะเป็นขอบจอที่หนา มีการนำพลาสติกมาเล่นลวดลายโลหะเป็นวงกลมที่ด้านล่างของตัวเครื่อง แต่สำหรับรุ่นที่ 3 ของ ZenFone ได้ทิ้งการออกแบบแบบเดิมไปจนหมด และไม่ใช้การออกแบบที่คล้ายกันอีกต่อไป ซึ่งรุ่น Laser ก็จะมีออกแบบที่ต่างไปจากรุ่น Max ซึ่งถือว่า ASUS ได้ลบจุดด้อยในการออกแบบตัวเครื่องไปหมดแล้วใน ZenFone รุ่นที่ 3 นี้

สำหรับรายละเอียดการออกแบบของ ASUS ZenFone 3 Laser มีขนาดของตัวเครื่องอยู่ที่ 149 x 76 x 7.9 มีความแตกต่างไปจากรุ่นเดิมอย่างชัดเจน เริ่มจากด้านหน้าของตัวเครื่องจะเป็นกระจกทั้งหมด ซึ่งมีการนำกระจกแบบ 2.5 D มาใช้ที่ด้านหน้าของตัวเครื่อง ภายใต้หน้าจอนั้นมีหน้าจอแสดงผลขนาด 5.5 นิ้วอยู่ด้านในซึ่งมีความหนาของขอบหน้าจออยู่ที่ 2.58 มิลลิเมตร และมีอัตราหน้าจออยู่ที่ 77% จากพื้นที่หน้าจอทั้งหมด ในส่วนด้านบนของตัวเครื่องจะเป็นลำโพงสนทนา ซึ่งจะมีกล้องหน้าและเซ็นเซอร์ต่าง ๆ อยู่ระหว่างลำโพงสนทนา ในส่วนด้านล่างจะเป็นปุ่มย้อนกลับ ปุ่มโฮม และปุ่ม Multitasking แบบสัมผัสอยู่ใต้หน้าจอ

ในส่วนของด้านหลังมีการออกแบบรูปลักษณ์ให้มีลักษณะโค้งมนด้านข้างเพื่อให้สามารถจับถือได้ง่าย โดยใช้วัสดุโลหะที่ด้านหลังที่เรียบทั้งด้านหลังไม่โค้งเหมือนกับรุ่นที่แล้ว ตัดเส้นสายเป็นสีเงินมันวาวซึ่งน่าจะเป็นเส้นเสาอากาศคาดด้านบนและด้านล่างของตัวเครื่อง ด้านบนของฝาหลังจะเป็นกล้องที่เป็นสี่เหลี่ยมตัดขอบด้วยโลหะสวยงาม และ Dual LED Flash และอีกด้านจะเป็นที่อยู่ของเลเซอร์โฟกัสอัตโนมัติ ถัดมาด้านล่างจะเป็นฟีเจอร์สแกนลายนิ้วมือที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวลงมา บริเวณด้านล่างจะมีโลโก้ ASUS  สำหรับด้านบนของตัวเครื่องจะมีเฉพาะช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ส่วนด้านล่างของตัวเครื่องจะมีช่องเสียบ microUSB และลำโพงใช้สำหรับสนทนาเท่านั้น ในส่วนด้านข้างของตัวเครื่องที่ด้านขวาจะเป็นปุ่มเพิ่มเสียง ลดเสียง และปุ่มพาวเวอร์ ส่วนด้านซ้ายจะเป็นช่องใส่ซิม

Review-ASUS-Zenfone-3-Laser-SpecPhone-00020

Review-ASUS-Zenfone-3-Laser-SpecPhone-00022

Review-ASUS-Zenfone-3-Laser-SpecPhone-00021

สำหรับหน้าจอของ ASUS ZenFone 3 Laser จะมากับหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว แบบ IPS LCD ที่มีความละเอียด 1920 × 1080 พิกเซล ที่มีความละเอียด 401 DPI และมีความสว่างสูงสุดที่ 500 nits ที่แสดงผลในที่มีแสงจ้าได้ดีเยี่ยม มีขอบจอบางอยู่ที่ 2.58 มม. ซึ่งถือว่าบางกว่ารุ่นเดิมอย่างมาก ทำให้มีพื้นที่หน้าจอมากขึ้นเป็น 77 % จากพื้นที่ด้านหน้าทั้งหมด และถูกหุ้มด้วยกระจกแบบ 2.5 D ทำให้ด้านหน้ามีความโค้งมนสวยงามกว่ารุ่นเดิม

จากการใช้งานจริง  หากมองจากตัวเครื่องด้านหน้ารู้สึกว่ามันสวยงามกว่ารุ่นเดิมมาก ๆ ตัวเครื่องด้านหลังเป็นโลหะที่ให้ความรู้สึกแน่นหนา หรูหราไม่ดูก๊องแก๊งพลาสติกเหมือนรุ่นเดิม การจับถือตัวเครื่องขณะใช้งานมือเดียวยังคงได้อยู่ สำหรับคนที่มีมือใหญ่และชอบใช้งานสมาร์ทโฟนหน้าจอใหญ่ แต่คนที่มือเล็กก็ยังถือว่าใช้งานได้จากน้ำหนักตัวเครื่องที่ไม่หนักจนเกินไปโดยมีน้ำหนักอยู่ที่ 150 กรัมและตัวเครื่องที่โค้งรับกับมือทำให้หลุดมือได้ยาก ในเรื่องของวัสดุของตัวเครื่องถือว่าทำได้ดี สำหรับความละเอียดของหน้าจอที่มีความละเอียด 1920 x  1080 ก็ถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐานของสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน ซึ่งจากการใช้งานจริงยังไม่พบปัญหาในเรื่องของการออกแบบ จะมีที่ขัดใจเล็กน้อยคือพวกปุ่มสามปุ่มด้านล่าง ที่เป็นปุ่มย้อนกลับ ปุ่มโฮม และปุ่ม Multitasking แบบสัมผัสอยู่ใต้หน้าจอไม่มีไฟมาให้

Review-ASUS-Zenfone-3-Laser-SpecPhone-00015

Software

l1

l2

ASUS ZenFone 3 Laser มาพร้อมกับ Android 6.0 ทำงานร่วมกับ ASUS ZenUI 3.0 ที่เป็นเอกลักษณ์ของ ASUS ซึ่งจากการใช้งานในชีวิตประจำวันนั้นฟีเจอร์ ZenMotion นั้นได้ใช้งานบ่อยมาก ตั้งแต่การเปิดหน้าจอและปิดหน้าจอที่สามารถทำได้โดยแตะหน้าจอสองครั้งติดกันแทนการสแกนลายนิ้วมือ หรือจะวาดเป็นตัวอักษรบนหน้าจอเพื่อเข้าสู้แอพพลิเคชั่นที่ตั้งค่าไว้ได้  สำหรับการใช้งานทั่วไปอย่างเล่นโซเชียลมีเดีย ดูหนัง ฟังเพลง ทั่วไป ใช้งานได้อย่างสบาย สลับแอพพลิเคชันได้อย่างรวดเร็วจากแรมที่มีขนาด 4 GB ที่สำคัญใน ZenUI 3.0 ในส่วนของ Lock Screen ก็มีการแสดงภาพเป็นเอนิเมชั่นเคลื่อนไหวตามสภาพอากาศที่ดูสวยงาม นอกจากนี้ยังมี Theme Store ให้ดาวน์โหลดเพื่อปรับเปลี่ยนธีมได้อีกหลายร้อยรูปแบบ

l7

l3

Feature

Review-ASUS-Zenfone-3-Laser-SpecPhone-00007

Laser Auto-Focus

กล้องหลังของ ZenFone 3 Laser เป็นระบบออโต้โฟกัส แบบเลเซอร์รุ่นที่ 2 ที่สามารถจับโฟกัสได้รวดเร็วเพียง 0.03 วินาทีเท่านั้น สมาร์ทโฟนจะยิงลำแสงเลเซอร์ออกไปเพื่อวัดระยะห่างของวัตถุด้วยความเร็วแสง ด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์นี้จะยิ่งทำให้การถ่ายภาพในระยะใกล้ได้มีประสิทธิภาพและในขณะที่จับภาพได้อย่างรวดเร็ว การชดเชยระยะห่างจากวัตถุจะถูกสร้างขึ้นจากการล่นระยะของเลนส์ในขณะที่กำลังเล็งภาพ ดังนั้นภาพทุกภาพจึงคมชัดและรวดเร็วทันทีที่กดถ่ายภาพ

3l2

 

Finger Print 

Review-ASUS-Zenfone-3-Laser-SpecPhone-00011

ฟีเจอร์นี้ขอยกบทความมาจาก ZenFone 3 Max เลย เพราะใช้เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือตัวเดียวกัน ซึ่งจะอยู่ที่ด้านหลังของตัวเครื่อง บริเวณด้านล่างของกล้องซึ่งสามารถบันทึกได้สูงสุดถึง 5 รอยนิ้วมือ สามารถปลดล็อคได้อย่างรวดเร็วที่ 0.3 วินาที ที่สำคัญยังสามารถวางนิ้วมือที่มุมไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นมุมเดียวกันเมื่อตอนลงรหัสครั้งแรก จากการใช้งานจริงถือว่าเซนเซอร์ตัวนี้อำนวยความสะดวกได้เป็นอย่างดี ซึ่งสามารถเข้าสู้หน้าจอได้เลยเพียงแตะที่เซ็นเซอร์ โดยไม่จำเป็นต้องกดปุ่มโฮมก่อน และมีความแม่นยำในเกณฑ์ที่ถือว่าดี  ที่สำคัญเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือของ ASUS ZenFone 3 Laser ยังทำหน้าที่ได้อีกหลายเช่น สามารถรับสายเรียกเข้าได้โดยการแตะบนเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือค้างไว้ หรือการเปิดใช้กล้องโดยการแตะสองครั้งบนเซนเซอร์เพื่อเปิดกล้องขึ้นมาทันที และสามารถใช้เป็นชัตเตอร์ภาพได้ด้วยเมื่อใช้งานแอพ ฯ อยู่เพียงแค่แตะเบา ๆ

3l

Camera

Review-ASUS-Zenfone-3-Laser-SpecPhone-00008

สำหรับรายละเอียดของกล้องของ ASUS ZenFone 3 Laser มาพร้อมกับกล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล มีรูรับแสงกว้าง f/2.0 และ Dual LED Flash มีโหมด Super HDR ที่ช่วยจับภาพในเวลากลางคืน หรือในขณะถ่ายภาพที่มีแสงน้อยได้ดีขึ้น และมีโหมด Super Resolution ที่สามารถถ่ายภาพความละเอียดสูงสุดได้ถึง 52 ล้านพิกเซล นอกจากนี้มีเทคโนโลยี deep trench isolation จะช่วยป้องกันไม่ให้โฟตอน (photons) ของแสงรั่วจากพิกเซลหนึ่งไปอีกพิกเซลหนึ่งได้ จึงทำให้ได้รายละเอียดที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

สำหรับจุดเด่นคงเป็นระบบออโต้โฟกัส แบบเลเซอร์รุ่นที่ 2 ที่สามารถจับโฟกัสได้รวดเร็วเพียง 0.03 วินาทีเท่านั้น สมาร์ทโฟนจะยิงลำแสงเลเซอร์ออกไปเพื่อวัดระยะห่างของวัตถุด้วยความเร็วแสงทำให้จับภาพระยะใกล้ได้อย่างรวดเร็วและภาพมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าเดิม อีกฟีเจอร์ที่สำคัญคือระบบกันสั่น EIS ที่มาด้วยกัน 3 แกนช่วยให้การถ่ายวิดีโอนิ่งขึ้น  ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียด 8 ล้านที่มีจุดเด่นที่โหมด Beautification ที่ช่วยลบริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้าและปรับสภาพของผิวให้เนียนขึ้นสำหรับใครชอบถ่ายเซลฟี่ต้องชอบแน่นอน

l4

l5

l6

สำหรับซอฟต์แวร์ Pixel Master ที่อยู่ประจำการในสมาร์ทโฟน ASUS เกือบทุกรุ่นนั้นเป็นซอฟต์แวร์ที่มีการใช้งานง่ายมีโหมดต่าง ๆ ให้เลือกใช้อย่างมากมาย ซึ่งในเครื่องนี้จะเป็น Pixel Master 3.0 ที่มีโหมดถ่ายภาพ HDR Pro , Low Light , Beautiful , Time Lapse , Effect และ Night มาให้ ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด

จากการใช้งานจริงคิดว่า ASUS คงเน้นเรื่องกล้องให้กับ ZenFone 3 Laser พอสมควร เนื่องจากประสิทธิภาพของกล้องที่ดีกว่า ZenFone 3 Max อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสามารถถ่ายภาพทั่วไปได้ในระดับเกณฑ์ที่น่าพอใจหากเปรียบเทียบกับราคาที่ไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท การจับโฟกัสภาพที่รวดเร็วสมกับที่ ASUS ภูมิใจนำเสนอ แต่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการถ่ายภาพในระยะใกล้เท่านั้น ซึ่งหากถ่ายวิวก็จะเป็นโฟกัสแบบทั่วไป สิ่งที่น่าประทับใจคือมีโหมดให้เลือกมากมายและมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดยกตัวอย่างที่ภาพด้านล่างเป็นภาพที่ถ่ายโดยโหมดอัตโนมัติ โหมด HDR Pro และโหมดกลางคืนที่ถือว่าเอาอยู่ในการถ่ายภาพตอนกลางคืนและตอนกลางวันที่มีแสงจ้า

l8

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องของ ASUS ZenFone 3 Laser


















 

Performance

Review-ASUS-Zenfone-3-Laser-SpecPhone-00014

ASUS ZenFone 3 Laser มาพร้อมกับชิปประมวลผล Snapdragon 430 ซึ่งเป็นชิป Octa-Core ARM Cortex A53 ที่มีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 1.4 GHz พร้อมกับ GPU Adreno 505 และแรมขนาด  4 GB จากการใช้งานทั่วไปอย่างเล่นเน็ต หรือโซเชียลต่าง ๆ ใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหา ซึ่งให้แรมมาถึง 4 GB ทำให้การสลับแอพพลิเคชั่นเป็นไปอย่างลื่นไหล แต่จากการใช้งานพบว่าแรมยังมีการเคลียร์ตัวเองบ่อย ไม่สามารถเก็บข้อมูลแอพพลิเคชั่นใหญ่ ๆ ได้ ยกตัวอย่างเล่นเกมโปเกมอนอยู่กดออกมาเปลี่ยนเพลงนิดหน่อย แล้วกลับเข้าไปเล่นเกมต่อก็มีการโหลดแอพพลิเคชั่นใหม่ สำหรับการเล่นเกมที่มีกราฟฟิกสูง ๆ นั้นอาจจะมีเฟรมเรทตกบ้างตามประสิทธิภาพของชิปประมวลผลระดับกลาง ๆ

สำหรับพื้นที่เก็บข้อมูลภายในนั้นมีขนาด 32 GB ซึ่งใช้งานทั่วไปก็ถือว่ามีขนาดเหลือเฟือ แต่สำหรับคนที่เก็บข้อมูลเยอะ ๆ ก็สามารถเพิ่มความจุได้ด้วย microSD และ ZenFone 3 Laser รองรับ Dual Sim ซึ่งสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันนั้นหากเข้าเล่นเว็บไซต์ทั่วไป เล่นโซเชียลต่าง ๆ ยังคงทำงานได้แบบไม่ติดขัด แต่ถ้าหากใช้งานหนัก ๆ เช่นการเล่นเกมส์ที่มีกราฟฟิกหนัก ๆ จะเริ่มมีการกระตุกให้เห็นกันบ้างแล้ว แต่ก็ถือว่าเล่นได้อยู่ ไม่ได้กระตุกจนน่ารำคาญ การสลับแอพพลิเคชั่นก็ทำได้ระดับพอดี เนื่องจากแรมที่ให้มา 4 GB แต่อาจจะมีการเก็บข้อมูลแอพพลิเคชั่นได้ไม่ค่อยเหมาะกับ 4 GB เท่าไหร่นัก

สำหรับแบตเตอรี่นั้นให้มาขนาด 3,000 mAh ที่ไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้ ซึ่งทาง ASUS เคลมว่าสามารถสแตนด์บายได้นานสุดที่ 22 วัน สามารถสนทนาผ่าน 3G ได้ 20 ชั่วโมง เข้าชมเว็บไซต์ด้วย Wi-Fi นานสุดที่ 15 ชั่วโมง และดูวิดีโอได้สูงสุด 12 ชั่วโมง ซึ่งจากการใช้งานทั่วไปในหนึ่งวัน เช่นการเข้าเว็บไซต์ต่าง ๆ และฟังเพลงไปด้วย 2 ชั่วโมง เล่นโซเชียล 1 ชั่วโมง มีเล่นเกมบ้างประมาณ 1 ชั่วโมง เปิดเครือข่าย 4G ไว้ทั้งวัน กลับถึงบ้านพบว่าแบตเตอรี่เหลือมากกว่า 30 % ซึ่งถือว่าโอเคเลยสำหรับการใช้งานในแต่ละวัน ถ้าได้ฟีเจอร์ Fast Charging มาจะถือสมบูรณ์แบบมาก

Gallery










เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึก