นอกเหนือจากการเปิดตัว Apple Watch ในซีรีส์หลักอย่างรุ่น 6 แล้ว ในงานเดียวกันนั้นก็ได้มีการนำเสนอรุ่นใหม่อย่าง Apple Watch SE ออกมาด้วย ซึ่งจุดขายหลักเลยก็คือฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครันไม่แพ้รุ่นก่อนหน้า แต่เปิดราคามาได้ถูกลงกว่าเดิม ทำให้ SE กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำตลาดอยู่กึ่งกลางระหว่าง Series 3 และ Series 6 ได้อย่างพอดี และในคราวนี้เราก็มีรีวิว Apple Watch SE มาให้ชมเพื่อประกอบการตัดสินใจกันอีกเช่นเคยครับ
โดย Apple Watch SE ที่เราได้รับมารีวิวในครั้งนี้ จะเป็นรุ่น 44 มม. GPS+Cellular นะครับ แต่ต้องบอกก่อนเลยว่าทางเราไม่ได้ทดสอบฟังก์ชันด้านที่ต้องใช้ cellular นะครับ เนื่องจากจะต้องสมัครแพ็คเกจเสริมกับเครือข่ายแบบติดสัญญา 1 ปีด้วย เลยจะเน้นไปที่การพูดถึงรูปร่างหน้าตา ฟังก์ชัน และก็จุดที่แตกต่างจาก Series 6 ที่ผมใช้งานอยู่
สำหรับข้อมูลเชิงเทคนิค และสเปคของ Apple Watch SE ที่น่าสนใจก็เช่น
- ชิปประมวลผล SiP 5 แบบ Dual-core (ชิปตัวเดียวกับ Series 5) และมีชิป W3
- พื้นที่เก็บข้อมูล 32 GB
- มีเฉพาะตัวเรือนแบบอะลูมิเนียม ฝาหลังเซรามิกและผลึกแซฟไฟร์
- หน้าจอมีให้เลือกทั้ง 40 (324×394 px) และ 44 มม. (368×448 px) ใช้ฟิล์ม/กระจกกันรอย/เคสเดียวกับรุ่นอื่น ๆ ได้
- หน้าจอ LTPO OLED Retina ความสว่างสูงสุด 1,000 nits
- กันน้ำได้ลึกสุดระดับ 50 เมตร ใส่ว่ายน้ำได้
- มีเข็มทิศ สามารถวัดระดับความสูงแบบ realtime ได้เหมือน Series 6
- มีเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบออปติคอล (รุ่น 2)
- มีลำโพงและไมโครโฟนในตัว ใช้คุยโทรศัพท์ได้
- รองรับ WiFi b/g/n 2.4 GHz และ Bluetooth 5.0
- รุ่น Cellular รองรับ 4G และ 3G แบบ eSIM
- แบตเตอรี่ใช้งานได้สูงสุด 18 ชั่วโมง
- รุ่น GPS ราคาเริ่มต้นที่ 9,400 บาท
- รุ่น GPS+Cellular ราคาเริ่มต้นที่ 10,900 บาท
ถ้าให้สรุปถึงสเปคจุดที่แตกต่างกันระหว่าง SE กับ Series 6 สิ่งที่ชัดที่สุดก็คือ
- หน้าจอ SE ไม่รองรับการแสดงผลตลอดเวลา (Always-on)
- SE ไม่สามารถวัดปริมาณออกซิเจนในเลือดได้ และไม่มีตัววัด ECG ด้วย
- SE มีวัสดุตัวเรือนเพียงแค่อะลูมิเนียมอย่างเดียว
ข้อมูลเปรียบเทียบ Apple Watch แบบละเอียด
ซึ่งถ้าคุณรู้สึกว่าคุณสมบัติต่าง ๆ ข้างต้นนั้นไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ Watch SE นับเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากจริง ๆ ครับ
กล่องของ Watch SE ก็ยังคงใช้ดีไซน์รูปแบบเดียวกับรุ่นอื่น ๆ คือใช้กระดาษหุ้มแพ็คเกจทั้งหมดไว้ ภายในก็จะแยกเป็นกล่องสำหรับตัวเรือนและกล่องสำหรับสายที่มาด้วยกันในชุด โดยจุดสังเกตคือกล่องของ SE จะใช้สีตัวอักษรที่แทนคำว่า Apple WATCH เป็นสีดำ ส่วนกล่องบนในภาพนั้นเป็นกล่องของ Series 6 ช่วยให้สามารถแยกรุ่นได้ง่ายขึ้น
ถ้ามาดูด้านหลังก็จะมีฉลากระบุให้ชัดเจนครับ ว่าเป็น Watch SE รุ่นไหน สีอะไร และมาพร้อมสายแบบไหน พร้อมกับบอกไว้ชัดเจนเลยว่ามีให้มาแค่ตัวเรือน สายนาฬิกาและสายชาร์จเท่านั้น ไม่มีอะแดปเตอร์ชาร์จมาให้
ซึ่งชุดที่เราได้รับมารีวิวก็คือ
- ตัวเรือนอะลูมิเนียมขนาด 44 มม. สีเทา Space Gray โมเดล GPS+Cellular
- สายผ้า Sport Loop สีเทา Charcoal
เมื่อแกะห่อกระดาษออกมา ก็จะพบกับกล่องของตัวเรือนกับกล่องของสายแยกจากกัน พอแกะฝากล่องของตัวเรือนออกก็จะเจอตัวเรือนอยู่ในห่อกระดาษ พร้อมด้วยเอกสารคู่มือการใช้งานเบื้องต้น และก็สายชาร์จ
สายชาร์จก็เป็นแบบหัวแม่เหล็กเหมือนกับรุ่นอื่น ๆ เลย สามารถใช้แทนกันได้สบาย ความยาวสาย 1 เมตร หัวชาร์จเป็นแบบ USB-A
รูปร่างลักษณะและสัมผัสตัวเรือนของ Apple Watch SE นั้นแทบจะเรียกได้ว่าเหมือนกับรุ่นในช่วงปีสองปีหลังนี้เลย น้ำหนักก็แทบไม่ต่างกัน คือค่อนข้างเบา สามารถใส่ติดตัวได้ตลอดวันเหมือนกัน หน้าจอก็ให้สีสันและความสว่างในระดับที่ดี แทบไม่ต่างจาก Series 6 มากนัก กระจกหน้าจอใช้เป็นกระจก ION-X เหมือนรุ่นอื่น
ส่วนฟังก์ชันเกี่ยวกับการเปลี่ยนรูปแบบหน้าปัด ปรับแต่งไอคอนและทางลัดก็ทำได้ง่ายเช่นเคย คือทำได้ทั้งจากแอป Watch ใน iPhone และที่ตัวเรือนเอง รวมถึงสามารถแชร์หน้าปัดที่ปรับแต่งไว้ให้คนอื่น เรือนอื่นได้ด้วย
ด้านหลังตัวเรือนก็ใช้วัสดุหลักเป็นเซรามิกและผลึกแซฟไฟร์ โดยจะมีไฟ LED อยู่แค่จุดเดียวเพื่อเอาไว้ใช้วัดอัตราการเต้นหัวใจเท่านั้น ต่างจากใน Series 6 ที่จะมีหลายจุดเพื่อใช้วัดปริมาณออกซิเจนในเลือดด้วย
บริเวณขอบในฝั่งเดียวกับที่มีปุ่มเม็ดมะยม Digital Crown จะมีรหัสโมเดลรุ่น และก็หมายเลข serial number สกรีนติดมาด้วย
สำหรับฝั่งที่มีปุ่ม Digital Crown ก็จะมีปุ่มด้านข้าง ช่องรับเสัยงของไมค์ และก็ปุ่มเม็ดมะยม Digital Crown ที่มีแถบสีแดงมาให้เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นรุ่น GPS+Cellular โดยเท่าที่ผมลองใช้งานระหว่างรีวิวดู พบว่าการกดปุ่ม Digital Crown ของ Apple Watch SE เรือนที่รีวิวจะต้องใช้แรงกดมากกว่า Series 6 ที่ใช้งานอยู่เล็กน้อย
โดยทั้งสองปุ่มก็จะมีการกดเพื่อเรียกฟังก์ชันได้หลากหลายรูปแบบอยู่เหมือนกัน ได้แก่
ปุ่มด้านข้าง
- กด 1 ครั้งเพื่อดูแอปที่ใช้งานล่าสุด
- กด 2 ครั้งเพื่อเปิดใช้งาน Apple Pay
- กดค้างไว้เพื่อเปิด/ปิด หรือโทรฉุกเฉิน
ปุ่ม Digital Crown
- กด 1 ครั้งเพื่อกลับสู่หน้าปัดนาฬิกา
- กดค้างไว้เพื่อเรียก Siri
- หมุนวงล้อเพื่อเลื่อนหน้าจอ ซูม หรือปรับเลื่อนค่า
ส่วนอีกฝั่งก็จะมีเพียงช่องลำโพง และก็ช่องสำหรับไล่น้ำออก
ลองประกบคู่ตัวเรือนกับสายที่ให้มาในชุดดูครับ ซึ่งที่ขั้วสายก็จะมีระบุขนาดตัวเรือนมาให้ชัดเจนว่า 44MM ส่วนถ้าจะเปลี่ยนไปใช้สายอื่นก็สามารถหาซื้อได้ง่ายมาก เพราะตัวเรือนรองรับการใช้งานร่วมกับสายของ Apple Watch รุ่นอื่น ๆ ที่ตัวเรือนขนาดเทียบเท่ากันได้ทั้งหมดเลย
โดยสาย Sport Loop ก็จะเป็นสายผ้าเนื้อนุ่มสีน้ำเงินเข้ม มีขอบถักสองด้านที่ใช้สีต่างกัน ข้างหนึ่งเป็นสีน้ำเงิน อีกฝั่งเป็นสีเทา
ส่วนตัวขั้วแบบตีนตุ๊กแกที่ปลายสายจะเป็นแบบราบ ซึ่งสามารถเกาะติดกับตัวสายได้ดี แต่ก็แกะออกได้ง่ายเช่นกัน โดยจุดเด่นของสายแบบ Sport Loop มีจุดเด่นคือน้ำหนักที่เบามาก ทั้งยังทำความสะอาดได้ง่าย เพียงแค่ซักกับน้ำเปล่า หรือน้ำสบู่อ่อน ๆ แล้วก็ตากลมไว้ซักพักก็แห้งแล้ว นับเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการใส่ Apple Watch SE ทั้งวัน
ความรู้สึกในการใช้งาน Apple Watch SE นั้น ต้องบอกว่ามีจุดต่างจาก Series 6 อยู่นิดนึงครับ ที่เห็นได้ชัดสุดคือหน้าจอที่ไม่รองรับการแสดงผลตลอดเวลา (Always-on) ทำให้ไม่สามารถเหลือบสายตาไปมองจอเพื่อดูเวลาได้ ต้องยกข้อมือขึ้นมาก่อนทุกครั้ง
ส่วนเรื่องประสิทธิภาพ ในการเปิดตัว Series 6 นั้น ทาง Apple บอกว่าประสิทธิภาพของชิปรุ่นใหม่ (SiP 6) จะแรงกว่าชิปรุ่นก่อนหน้าอยู่เล็กน้อย ซึ่งจากที่ผมใช้ทั้งสองรุ่นสลับกันตลอดในช่วงที่ทำรีวิว ยอมรับเลยว่ามีความแตกต่างกันจริง ๆ ครับ
จุดที่ทำให้เห็นความแตกต่างด้านประสิทธิภาพเลยก็คือ ความเร็วในการเปิดแอป ที่ SE จะหน่วงกว่า Series 6 เล็กน้อย แต่ไม่ได้ถึงขั้นที่ช้าจนเกินไป ถ้าให้ประเมินก็คือน่าจะต่างกันในระดับ ms เท่านั้น ไม่ถึงกับหลักวินาที ถ้าอยากเห็นว่าต่างขนาดไหน ต้องวางสองเรือนข้างกัน กดเปิดแอปพร้อมกัน ถึงจะเห็นได้ชัดครับ
แต่ถ้าเทียบกับสมาร์ตวอทช์รุ่นอื่น ๆ ในท้องตลาด ตัว Apple Watch SE ก็ยังได้เปรียบในเรื่องประสิทธิภาพอยู่ครับ ความเร็วในการทำงาน การเปิดแอปยังจัดว่าอยู่เบอร์ต้น ๆ ได้สบาย
หน้าจอ Apple Watch SE สามารถใช้งานทั้งในที่ร่มและกลางแจ้งได้แบบไม่มีปัญหา ความสว่างสามารถสู้แสงแดดจ้า ๆ ได้ การปรับระดับความสว่างก็ทำได้เร็วและแม่นยำ ส่วนถ้าติดกระจกหรือฟิล์มกันรอยเพิ่มเข้าไป แสงหน้าจออาจจะ drop ลงเล็กน้อย แล้วแต่วัสดุที่ใช้นะครับ
การแสดงข้อความบนหน้าจอก็รองรับภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง ทั้งยังสามารถปรับขนาดตัวอักษรให้เหมาะสมกับสายตาได้ด้วย ส่วนการตอบข้อความต่าง ๆ สามารถทำได้ทั้งการส่งข้อความสำเร็จรูป ส่งอีโมจิ ส่งลายเส้นที่วาดบนจอ หรือจะพิมพ์ข้อความผ่านการพูดใส่ตัวเรือนก็ได้เหมือนกับ Apple Watch รุ่นอื่น ๆ
เทียบ Apple Watch SE กับ Series 6
เรื่องแรกเลยคือหน้าจอครับ ในแง่ของสีสัน ความสว่างของจอทั้งสองรุ่นนี้ ถ้ามองด้วยสายตาก็แทบจะไม่ต่างกันเลย (Series 6 ทางซ้าย และ SE ทางขวา) เนื่องจากพาเนลจอเป็นแบบ LTPO OLED เหมือนกันทั้งคู่ แต่จะมีจุดที่ต่างกันคือ SE ไม่มีฟังก์ชัน Always-on ให้ใช้งาน
ส่วนในภาพที่ดูเหมือนจอของ Series 6 (เรือนซ้าย) จะมืดกว่า อันนี้ต้องบอกเลยว่าเป็นเพราะมีกระจกกันรอยติดอยู่ครับ ความสว่างเลย drop ลงไปเล็กน้อย
ถ้าพลิกมาดูด้านหลังตัวเรือน อันนี้จะชัดเจนมากครับ ฝั่งซ้ายที่เป็น Series 6 รุ่นตัวเรือนอะลูมิเนียมจะมีไฟ LED 4 ดวง พร้อมเซ็นเซอร์สำหรับวัดปริมาณออกซิเจน ในขณะที่ฝั่งขวา (SE) จะมีไฟ LED สีเขียวเพียงดวงเดียวเพื่อใช้ในการวัดอัตราการเต้นหัวใจได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนวัสดุด้านหลังตัวเรือนนั้นเหมือนกันครับ
ด้านข้าง ฝั่งที่มีปุ่ม Digital Crown ก็แทบไม่มีจุดที่แตกต่างกันเลย ยกเว้นแถบสีแดงซึ่งเป็นแถบของ Apple Watch ที่ใช้ระบุว่าเป็นรุ่น GPS+Cellular อยู่แล้ว
ฟังก์ชันที่น่าสนใจของ Apple Watch SE
สำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ตวอทช์ซักเรือนมาใช้ช่วยในการดูแลสุขภาพ Apple Watch SE นั้นสามารถตอบโจทย์ได้ค่อนข้างครอบคลุมในหลายด้านครับ หลัก ๆ ก็เช่น การเป็นตัวช่วยเก็บข้อมูลการเคลื่อนไหว การออกกำลังกายที่รองรับได้หลากหลายรูปแบบ การเก็บข้อมูลอัตราการเต้นของหัวใจ เพื่อใช้ประกอบการดูแลสุขภาพ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังสามารถติดตั้งแอปจากผู้พัฒนารายต่าง ๆ เพื่อเสริมคุณสมบัติในการดูแลสุขภาพได้ด้วย อย่างผมเองก็ติดตั้งแอป Yazio เพิ่ม เพื่อใช้ช่วยเก็บข้อมูลปริมาณน้ำที่ดื่มในแต่ละวันได้ ซึ่งถ้าโจทย์หลักของคุณคือต้องการสมาร์ตวอทช์ที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ Apple Watch SE นับเป็นตัวเลือกที่คุ้มกว่า Series 6 อยู่พอสมควร ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 9,400 บาท ซึ่งถูกกว่า Series 5 ที่ยังค้างสต็อกอยู่ด้วยซ้ำไป
การตั้งค่าสำหรับเริ่มใช้งาน Apple Watch ครั้งแรก ต้องทำผ่านแอป Watch ใน iPhone เท่านั้น โดยในรุ่น GPS+Cellular จะมีหน้าจอมาให้ตั้งค่าเกี่ยวกับแพ็คเกจอินเตอร์เน็ตด้วย ซึ่งน่าเสียดายที่ผมไม่ได้ทดสอบในส่วนนี้ด้วยข้อจำกัดที่ระบุไปในข้างต้นครับ
ส่วนใครที่มี Watch มากกว่าหนึ่งเรือน ตัวแอปเองก็มีตัวเลือก Auto Switch ที่ระบบจะสลับตัวเรือนหลักที่ active อยู่แบบอัตโนมัติ ช่วยเพิ่มความสะดวกทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องคอยมากดสลับนาฬิกาในแอปให้วุ่นวาย ซึ่งผมก็ลองใส่ทั้งสองเรือนพร้อมกัน ก็พบว่าระบบจะไม่สลับตัวเรือนให้ทันทีนะครับ ผู้ใช้ต้องเลือกถอดซักเรือนออกก่อน ระบบถึงจะสลับเรือนหลักให้
ฟังก์ชันการวัดระดับความสูงอัตโนมัติแบบ realtime ก็ยังมีมาให้เหมือนกับ Series 6 เลย น่าจะถูกใจคนที่ชอบการปีนเขาแน่นอน
การกันน้ำก็ถือเป็นฟังก์ชันพื้นฐานของสมาร์ตวอทช์อยู่แล้ว ซึ่ง SE ก็สามารถกันน้ำได้ลึกสุด 50 เมตร สามารถใส่ว่ายน้ำได้ เล่นน้ำทะเลได้ (ควรทำความสะอาดด้วยน้ำจืดหลังใช้เสร็จ)
ส่วนฟังก์ชันการไล่น้ำจากช่องลำโพง จะถูกรวมอยู่ในโหมดล็อกหน้าจอเมื่อใช้งานในน้ำ ซึ่งเปิดได้โดยการปัดแถบ action center ขึ้นมาจากด้านล่างจอ แล้วแตะที่ไอคอนรูปหยดน้ำ และเมื่อปลดล็อกหน้าจอ ตัวลำโพงก็จะใช้คลื่นเสียงช่วยไล่น้ำที่ขังอยู่ภายในออกมาให้ ถ้าสังเกตจากภาพด้านบน ก็จะเห็นว่ามีฟองน้ำเล็ก ๆ ออกมาจากช่องลำโพงครับ
นอกจากนี้ ฟังก์ชันอื่น ๆ และการใช้งานร่วมกับแอปของ iPhone บน Apple Watch SE นั้นก็ไม่ได้แตกต่างจากรุ่นอื่นเลย ไม่ว่าจะเป็น
- การเปิดแผนที่จาก Apple Maps และ Google Maps
- การควบคุมกล้อง iPhone ซึ่งใช้สั่งถ่ายรูปจาก Watch ได้
- การฟังเพลงจาก Spotify ได้โดยตรง
- การควบคุมอุปกรณ์ในบ้านผ่านแอป Home
- การวัดระดับเสียงรอบตัว
- มีฟังก์ชันตรวจจับการนอนหลับ การล้างมือ ตรวจจับการล้มและส่งสัญญาณฉุกเฉิน
- ฟังก์ชัน Family Setup (ต้องใช้กับรุ่น GPS+Cellular เท่านั้น)
ด้านบนนี้ก็เป็นตัวอย่างภาพแคปหน้าจอจาก Watch SE ครับ จะเห็นว่าการแสดงผลข้อมูลของแอป Workout ในการออกกำลังกายนั้นค่อนข้างครอบคลุมตามลักษณะของการออกกำลังแต่ละประเภทดี เช่นถ้าเป็นการเดิน ก็จะแสดงระยะเวลา ปริมาณแคลอรี่ อัตราการเต้นของหัวใจ ระยะทาง เป็นต้น ส่วนหลังการออกกำลังก็จะมีข้อมูลสรุปให้ครบถ้วน สามารถเรียกดูได้ทั้งจากตัวเรือน และก็ในแอป Fitness บน iPhone เลย
ส่วนใครที่ชอบฟังเพลง Apple Watch ก็สามารถใช้ควบคุมการเล่นเพลง ปรับระดับเสียง เปลี่ยนอุปกรณ์ที่ใช้ฟัง รวมถึงกดเลือกเพลงจากในคลังของผู้ใช้ได้ด้วย ซึ่งฟังก์ชันหลัก ๆ ก็จะขึ้นอยู่กับแอปที่ใช้ฟังเพลงครับ อย่างผมที่ใช้ Spotify เป็นหลักก็สบายมาก สามารถเปลี่ยน Playlist ที่ฟังได้จากตัวเรือนเลย แถมตอนนี้ยังมีฟังก์ชันที่เพิ่มเข้ามาใหม่ ที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถกดฟังเพลงจากแอปบน Watch ได้โดยแทบไม่ต้องใช้มือถือเลย ต่างจากเมื่อก่อนที่ Watch จะเป็นเพียงอุปกรณ์ควบคุมเท่านั้น
ซึ่งพวกฟังก์ชันต่าง ๆ ความแม่นยำของการวัดและเก็บข้อมูลด้านสุขภาพจาก SE นั้น สามารถเข้าไปอ่านต่อจากรีวิว Apple Watch Series 6 ได้ครับ เพราะมันอยู่ในระดับเดียวกันเลย
พื้นที่เก็บข้อมูลในตัวเรือนจะมีมาให้ตามสเปคคือ 32 GB เหลือให้ใช้งานได้จริง 26.4 GB ครับ ถ้าไม่ได้ใส่รูป โหลดเพลงลงไปเยอะ ก็ใช้งานได้สบาย ๆ เลย
มาถึงประเด็นที่น่าสนใจอย่างระยะเวลาการใช้แบตเตอรี่และการชาร์จบ้าง ซึ่งสเปคระบุไว้ว่าสามารถใช้งานได้เท่า ๆ กับ Series 6 เลย ซึ่งตัวผมเองที่ใช้ Series 6 อยู่ พอสลับมาใช้ SE ในการรีวิว ก็ต้องบอกว่ามันเท่ากันจริง ๆ ครับ
อย่างผมเองจะมีกิจวัตรในการใช้งาน Apple Watch คือ ใส่ติดตัวทั้งวัน เปิดฟังก์ชันวัดอัตราการเต้นหัวใจแบบอัตโนมัติ ปิดระบบวัดระดับเสียงรอบตัว เปิดแจ้งเตือนของแอปไว้เยอะพอสมควร พอจะอาบน้ำก็ถอดชาร์จไว้ ซักราว ๆ สี่ห้าทุ่มก็ใส่อีกครั้ง (แบต 100%) เข้านอนเที่ยงคืนนิด ๆ ตื่นมา 6:30 (แบตเหลือประมาณ 85-90%) เพื่อออกกำลังประมาณ 45 นาที แล้วก็ใส่ต่อเนื่องตลอดวัน ถ้าเป็นในเคสนี้คือสบายมากครับ ไม่เคยเจอกรณีแบตหมดเลย ซึ่ง SE ก็ทำได้เหมือนกับ Series 6 เป๊ะ
ส่วนถ้าลองใช้แบบยาว ๆ นับจากการชาร์จครั้งสุดท้าย (ช่วงหัวค่ำก่อนอาบน้ำ) แล้วใส่ติดตัวเกือบตลอดเวลา ตื่นมาออกกำลังกายเหมือนเดิม จากนั้นก็ใส่ตลอดข้ามมาอีกคืน ตื่นมาพบว่าแบตยังเหลืออยู่ 28% ครับ ดังนั้น ถ้าปิดระบบนู่นนี่อีกนิดหน่อย ก็น่าจะพอใส่สองวันได้อยู่นะ แต่คงอยู่ได้ถึงช่วงเย็นเท่านั้น
การชาร์จของ Apple Watch SE ก็ทำได้ค่อนข้างเร็วไม่ต่างจาก Series 6 เลย เมื่อใช้ที่ชาร์จแม่เหล็กที่แถมมาในกล่องร่วมกับอะแดปเตอร์ที่จ่ายไฟได้ในระดับมาตรฐาน 5V 1A ขึ้นไป
สรุปรีวิว Apple Watch SE
ถ้าคุณต้องการสมาร์ตวอทช์ซักเรือนมาใช้คู่กับ iPhone โดยโจทย์หลักคือการใช้เป็นผู้ช่วยในการดูแลสุขภาพ ต้องการให้การซิงค์ข้อมูลเป็นไปได้อย่างราบรื่น ในราคาที่ไม่สูงจนเกินไป Apple Watch SE จัดว่าเป็นตัวเลือกที่ดีมาก ๆ ครับ ด้วยในแง่ที่ฟังก์ชันนั้นไม่ได้ต่างจากรุ่นหลักที่ออกมาก่อนหน้านี้อย่าง Series 5 มากนัก แถมสิ่งที่เพิ่มมาใน Series 6 นั้น บางอย่างก็อาจจะไม่ได้จำเป็นซักเท่าไหร่ ประกอบกับราคาของ SE ที่เริ่มมาไม่ถึงหมื่นไปจนถึงหมื่นนิด ๆ ซึ่งย่อมเยากว่า Series 6 อยู่หลายพันอีกต่างหาก
ส่วนถ้าจะไปเทียบกับ Series 3 ที่วางขายอยู่ในระดับครึ่งหมื่น โอเคว่ามันถูกกว่า SE จริง แต่ในแง่ของฟังก์ชัน สเปค และการรองรับการใช้งานในระยะยาวนั้น ต้องบอกว่า SE เหนือกว่าในทุกด้านครับ ดูจะคุ้มกับราคาที่เพิ่มขึ้นมา เพราะไหน ๆ ถ้าจะซื้อไปใช้งานจริงแล้ว ก็เลือกรุ่นใหม่ซะหน่อยจะดีกว่า
สำหรับกรณีที่ถ้าคุณต้องการซื้อ Apple Watch ให้ญาติผู้ใหญ่ในบ้าน หรือเด็ก ๆ ตัวรุ่นใหม่อย่าง SE นี่ก็เหมาะสมมากครับ ด้วยฟีเจอร์ตรวจจับการล้มที่มีมาให้เหมือนรุ่นใหญ่ แถมยังรองรับฟังก์ชัน Family Setup ที่ทำให้สามารถใช้ Apple Watch รุ่น Cellular ได้โดยที่ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องมี iPhone ก็ได้ ช่วยเพิ่มความสะดวกในการจัดการ การติดต่อสื่อสารกันในครอบครัว ซึ่งทั้งสองฟังก์ชันที่กล่าวมานี้ ไม่มีใน Series 3 ที่ราคาย่อมเยากว่า แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าจะซื้อ Series 6 ที่มีฟังก์ชันนี้มาให้ ราคามันก็อาจจะสูงไปซักนิดนึง ทำให้ SE เป็นตัวเลือกที่ลงตัวกว่ากันมาก นับว่า Apple วางแผนมาได้ดีเลยครับ กับการเปิดตัว Apple Watch รุ่นกึ่งกลางแบบนี้