หลังจาก i-mobile นั้นได้เริ่มผลิตมือถือตระกูล IQ ขึ้นก็นับเป็นการพัฒนาของคนไทยเราอย่างเห็นได้ชัด เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเราจะได้เห็นพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีต่างๆในมือถือ IQ รุ่นใหม่ๆอยู่เสมอ ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วนับได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจอีก 1 อย่างของคนไทยที่สามารถผลิตมือถือคุณภาพเทียบเท่ากับแบรนด์ดังๆจากต่างประเทศได้ ยกตัวอย่างเช่นi-mobile IQ X Ken ที่ทั้งเครื่องนั้นผลิตขึ้นในประเทศญี่ปุ่น หรือจะเป็นเมื่อเร็วๆนี้ที่ i-mobile ได้ร่วมมือกับทาง Google สร้าง i-mobile IQ II มือถือ Android One รุ่นแรกเพื่อเจาะกลุ่มผู้ใช้งานในกลุ่มต่างๆเพื่อเข้าถึงการใช้งานสมาร์ทโฟนมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีมือถือรุ่นที่แบตอึดอย่าง i-mobile IQ BIG ออกมาซึ่งก็ได้สร้างกระแสความสนใจอย่างมากมายและวันนี้ผมจะมารีวิวมือถือที่เป็นภาต่อของมือถือสุดคุ้มอย่าง i-mobile IQ BIG นั่นก็คือ i-mobile IQ BIG 2 นั่นเองซึ่งในรุ่นนี้ก็พกพาความคุ้มค่ามาอีกเช่นเคย แลสเปคของตัวเครื่องจะประกอบไปด้วย
สเปค i-mobile IQ BIG 2
- หน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ HD
- ซีพียู Quad core MediaTek MT6582 ความเร็ว 1.2GHz
- แรม 2 GB
- หน่วยความจำภายใน 16 GB รองรับ Micro SD สูงสุด 32 GB
- กล้องหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
- กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ขนาด 4,000 mAh
- ระบบปฎิบัติการ Android 5.0 Lollipop
- ราคา 4,990 บาท
จุดเด่น
– ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 5.0
– ใช้งาน 3Gได้อย่างไร้ปัญหา
– อุปกรณ์เสริมต่างๆให้มาอย่างครบครัน
– ลำโพงดีเสียงดัง
– มีฟังก์ชั่นถ่ายภาพด้วยเสียง
– แบตเตอรี่ 4,000 mAhใช้งานได้นาน
ข้อสังเกต
– ซีพียูอยู่ในระดับกลางๆ
– ลูกเล่นของกล้องมีน้อย
บทสรุป
BEST PRICE
Design
มาพูดถึงส่วนของดีไซน์กันบ้างดีกว่าครับ i-mobile IQ BIG 2 จะมีทั้งหมดด้วยกัน 2 สีและสีของตัวเครื่องนั้นจะเป็นแบบทูโทนคือสีเงินและสีทอง และที่เราจะนำมารีวิววันนี้เป็นรุ่นสีเงิน ดีไซน์ของตัวเครื่องนั้น เมื่อลองได้ถือในมือเรียกว่าตัวเครื่องออกแบบมาพอดีมือ งานประกอบของตัวเครื่องในครั้งนี้มีความแน่นหนากระชับมือ ไม่บางจนเกินไปและก็ไม่หนาจนเกินไป เรียกว่าในเรื่องของความหนาของตัวเครื่องนั้นถือว่า i-mobile ทำออกมาได้ดีเลยครับ
ด้านหน้าของตัวเครื่องจะมาพร้อมกับหน้าจอแบบ IPS OGS ขนาด 5.5 นิ้วบนความละเอียดระดับ HD ที่ด้านบนของหน้าจอจะเป็นช่องลำโพงสำหรับสนทนา ใกล้กันจะเป็นเซนเซอร์ Proximity Sensor ที่จะช่วยปิดหน้าจอขณะทำการสนทนาและไฟ LED แจ้งเตือนสถานะต่างๆของตัวเครื่อง เช่นสถานะการชาร์จแบตเตอรี่,การแจ้งเตือนข้อความต่างๆ
นอกจากนี้ยังมาพร้อมกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล และในรุ่นนี้จะมีแฟลช LED ใส่มาให้ที่ด้านหน้าของตัวเครื่องเพื่อการถ่ายภาพในที่แสงน้อยอย่างมีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่มีประโยชน์แก่ผู้ใช้งาน ให้สามารถถ่ายได้ในทุกสภาพแสงที่เราอยู่ในขณะนั้น
ด้านล่างของหน้าจอจะเป็นปุ่มควบคุบแบบสัมผัส 3 ปุ่มนั่นคือปุ่ม Home,Recent App และปุ่ม Back โดยที่ทังสามปุ่มนี้มีไฟ LED ที่ช่วยให้การใช้งานในเวลากลางคืนนั้นสามารถใช้งานได้ดียิ่งขึ้น และทั้งสามปุ่มที่ถูกออกแบบมาในลักษณะเป็นรูปเลขาคณิตตามสไตล์ของ Android 5.0 Lollipop ก็ถือเป็นเอกลักษณ์ใหม่สำหรับมือถือในปัจจุบันนี้ไปเสียแล้ว
ขอบตัวเครื่องโดยรอบจะเป็นวัสดุคล้ายโลหะ และที่ด้านซ้ายของตัวเครื่องจะมีถาดสำหรับใส่ Micro SD (รองรับความจุสูงสุด 32 GB) ซึ่งตัวถาดทำจากวัสดุอะลูมิเนียมเรียกว่าน่าประทับใจสำหรับมือถือราคานี้ เรียกว่างานนี้ I-mobile ยังใส่ใจในรายละเอียดอีกเช่นเคย
และที่ด้านขวาของตัวเครื่องจะประกอบไปด้วยปุ่มเปิด/ปิดเครื่องโทรศัพท์,ปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง, และถาดสำหรับใส่ซิมการ์ดแบบไมโครซิมจำนวน 2 ซิม โดยดีไซน์ของปุ่มกดต่างๆนั้นทำจากพลาสติกแต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นโลหะเหมือนกับอีกด้านของตัวเครื่อง
ด้านล่างของตัวเครื่องนั้นจะมีช่องไมโครโฟนสำหรับสนทนาโทรศัพท์ และตัวเครื่องในรุ่นนี้ออกแบบมาให้ไม่สามารถถอดแบตเตอรี่เองได้ด้วยตัวเอง จึงทำให้ในส่วนของฝาหลังและด้านข้างของตัวเครื่องนั้นรวมเป็นชิ้นเดียวกับแบบไร้รอยต่อ ทำให้ตัวเครื่องนั้นสวยงามและดูพรีเมี่ยมยิ่งขึ้น
และที่ด้านหลังของตัวเครื่องจะประกอบไปด้วย กล้องความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช LED และเราจะสังเกตเห็นโลโก้ IQ เด่นชัดที่ด้านหลังของตัวเครื่อง และด้านล่างของด้านหลังจะเป็นช่องลำโพงขนาดใหญ่ ซึ่งต้องบอกว่าในรุ่นนี้แอพใส่เทคโนโลยีด้านเสียงมาให้เล็กน้อยอีกด้วย
ในด้านการพกพานั้นถือว่า i-mobile IQ BIG 2นั้นทำได้ดีเนื่องจากตัวเครื่องมีน้ำหนักเพียง 156 กรัมเท่านั้น และความบางของตัวเครื่องที่บางเพียง 8 มม.ที่เรียกว่าจับกระชับมือ การพกพาไปตามที่ต่างๆก็ทำได้ง่าย เพราะเราสามารถใส่กระเป๋ากางเกงไปได้เลยและที่ทำคัญคือไม่รู้สึกตึงขาแต่อย่างใดแต่แนะนำสักเล็กน้อยว่าควรใส่ไว้ในกางเกงที่มีเนื้อผ้ายืดหยุ่นสักหน่อย หรือจะใส่กระเป๋าขนาดกระทัดรัตก็ไม่ผิดแต่อย่างใด ส่วนตัวผมคิดว่าตัวเครื่องดีไซน์ออกมาดูดี นอกจากตัวเครื่องแล้วงานประกอบของ i-mobile IQ BIG 2 นั้นยังทำได้ดีเกินคาด ตัวเครื่องมีความแน่นหนาถือว่าสอบผ่านด้านดีไซน์
สุดท้ายแล้วสิ่งที่จะไม่พูดถึงก็คงจะไม่ใช่ i-mobile นั้นคือในเรื่องของอุปกรณ์เสริมนั่นเอง ซึ่งต้องเรียกว่า i-mobile นั้นรู้ใจคนไทยอีกเช่นเคยครับ เพราะตามปกติแล้วอุปกรณที่ผู้ผลิตจะแถมให้นั้นโดยส่วนใหญุจะมีแค่ อะแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่,สายเชื่อมต่อแบบ Micro USB, หูฟังสมอลทอร์ค เพียงสามอย่างนี้เป็นหลัก แต่ไม่ใช่กับ i-mobile เพราะนอกจาก 3 อย่างที่ได้กล่าวมานั้น i-mobile ยังได้ให้ เคสกันรอยตัวเครื่อง และ ฟิล์มกันรอยติดหน้าจอ เรียกว่าครบเครื่องเปิดกล่องพร้อมใช้งานได้อย่างทันทีไม่ต้องเสียเวลาไปหาซื้ออุปกรณ์เสริมอื่นๆ ซึ่งในจุดนี้ต้องขอชื่นชมกับความใส่ใจจริงๆครับ
Software
i-mobile IQ BIG 2 มาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ Android 5.0 Lollipop ซึ่งเป็นระบบปฎิบัติการที่มีความสเถียรค่อนข้างมาก และยังรองรับแอพพลิดคชั่นใหม่ๆในอนาคตอีกด้วย และ i-mobile IQ BIG 2 นั้นมาในสไตล์แบบ Pure Android ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความลื่นไหล นอกจากนั้นการปรับแต่งในส่วนต่างๆก็ยังทำได้อย่างหลากหลาย ตามแบบฉบับของ Android และนอกจากนี้ยังมีแอพพื้นฐานต่างๆทั่วไปอย่างเช่น Google Chrome, Maps, Google Translate, Youtube หรือแอพโซเชียลมีเดีย อย่าง Facebook, Line, Instagram, Whatsapp ก็มีมาให้ครบ
หรือในส่วนของเกมอย่าง Asphalt Overdrive, Brave Frontier, Minion Rush, Pastry, Dragon กีมีมาให้เล่นโดยไม่ต้องไปโหลดใหม่จาก Play Store แต่สำหรับคนที่คิดว่าเปลืองพื้นที่แอพที่กล่าวมานี้สามารถถอนการติดตั้งออกได้เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการติดตั้งแอพที่เราต้องการ ซึ่งจุดนี้ถือว่าให้ทางเลือกกับผู้ใช้ได้ดีเพราะในบางรุ่นแอพที่ติดเครื่องมานั้นมักจะไม่สามารถถอนการติดตั้งออกได้ด้วยตัวเอง สำหรับคนที่เคยใช้ Android 4.4 นั้นเรียกว่าสามารถปรับตัวได้อย่างไม่ยากเลยครับเพราะส่วนใหญ่แล้ว Google มักจะพัฒนาซอฟแวร์เวอร์ชั่นใหม่ๆให้ผู้ใช้ปรับตัวได้ไม่ยากเท่าไรนักซึ่งถือเป็นข้อดีข้อหนึงของระบบปฏิบัติการ Android ก็ว่าได้ และหากไม่ชอบหน้าแบบเดิมๆของ Android 5.0 Lollipop เรายังสามารถดาวน์โหลด Launcher ให้เข้ากับการใช้งานของเราได้อีกด้วย
Feature
ในเรื่องของฟีเจอร์ในครั้งนี้ i-mobile IQ BIG 2 ยังอัดแน่นด้วยฟีเจอร์ที่มีประโยชน์มากมายไม่แพ้รุ่นพี่อย่าง i-mobile IQ BIG เลยแต่สิ่งที่แตกต่างเห็นจะเป็น i-mobile IQ BIG 2 นั้นไม่สามารถรับชมโทรทัศน์ได้ และถึงแม้ว่าจะไม่มีฟีเจอร์บางอย่าง แต่เรียกได้ว่าฟีเจอร์ที่ i-mobile ใส่มาใน i-mobile IQ BIG 2 นั้นคุ้มค่าเกินราคาจริงๆ ครับ เพราะที่เป็นจุดเด่นอย่างแบตเตอรี่ที่มีขนาดความจุ 4,000 mAh แม้ว่าแบตเตอรี่จะให้มาไม่เยอะเท่ารุ่นพี่อย่าง IQ BIG ที่มีขนาดความจุ 5,000 mAh แต่เพียงเท่านี้เราก็สามารถใช้ได้นานตลอดวันต่อการชาร์จเพียงหนึ่งครั้งได้อย่างสบายๆ แต่นอกจากจะมีความจุแบตเตอรี่ที่เยอะแล้วยังมีฟีเจอร์เด่นๆ อะไรอีกบ้างไปติดตามได้เลยครับ
Black Screen Gesture
เป็นฟีเจอร์ที่คล้ายๆกับ Motion Gesture บนมือถือระดับกลางๆทั่วไปลักษณะของการทำงานนั่นก็คือจะใช้การวาดนิ้วมือเป็นรูปตัวอักษรต่างๆเพื่อเข้าถึงแอพพลิเคชั่นที่เราตั้งค่าเอาไว้ โดยจะมีด้วยกันมากถึง 12 แบบให้เรานั้นได้ตั้งค่าการใช้งาน ยกตัวอย่างการตั้งค่าเช่น
- วาด C เพื่อใช้งานกล้องมือถือ
- วาด O เพื่อเปิดไฟฉาย
- วาด W เพื่อใช้งาน Browser
- วาด e เพื่อเปิดการจัดการไฟล์
- วาด V เพื่อเปิดแอพพลิเคชั่น Video
- วาด M เพื่อเปิดเพลง
- วาด S เพื่อเปิดการตั้งค่า
- วาด Z เพื่อเปิดแกลอรี่ภาพ
นอกจากนี้ยังมีการวาดขึ้น,วาดลง,วาดขวา,วาดซ้าย ที่ให้เรานั้นปรับแต่งได้ตามสะดวก ซึ่งถือว่า Black Screen Gesture เป็นฟีเจอร์ที่นอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกและยังมีประโยชน์อีกด้วย และนอกจากการวาดนิ้งมือเพื่อเปิดแอพแล้วยังมีอีกหนึ่งอย่างนั่นคือ
การเคาะหน้าจอเพื่อเปิดหน้าจอในขณะที่เครื่องกำลังปิดหน้าจออยู่ ซึ่งจุดนี้เป็นสิ่งที่ดีมากเพราะจะช่วยถนอมอายุการใช้งานปุ่มเปิด/ปิดเครื่องให้สามารถใช้ได้นานยิ่งขึ้น เรียกว่าช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้นนั่นเอง ส่วนตัวผมประทับใจในจุดนี้
เพียงแค่เราหยิบ i-mobile IQ BIG 2 ขึ้นมาและเคาะหน้าจอ 2 ครั้งเท่านั้นหน้าจอจะเปิดขึ้นมาให้เราได้ใช้งานตัวเครื่อง และจะมีเสียงเอฟเฟคบอกให้รู้ว่าหน้าจอเปิด และถ้าเราไม่อยากได้ยินเสียงเอฟเฟคตอนเคาะหน้าจอ เราก็ยังสามารถเลือกที่จะปิดออพชั่นนี้ไปได้
ตรงนี้ถือว่า i-mobile นั้นทำได้ดีเพราะเมื่อเทียบกับมือถือรุ่นอื่นๆในราคาใกล้เคียงกันมือถือบางยี่ห้ออาจไม่ใส่ฟีเจอร์แบบนี้มาให้ แต่ฟีเจอร์นี้มีอยู่ใน i-mobile IQ BIG 2 เรียบร้อยแล้ว
Hot Knot
เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่มีความน่าสนใจ โดยหลักการทำงานนั้นจะคล้ายกับ NFC ที่ใช้ส่งข้อมูลไปยังเครื่องอื่นๆ ซึ่ง Hot Knot ของ i-mobile IQ BIG 2 นั้นจะทำงานโดยการนำหน้าจอไปแตะกับเครื่องอื่นเพื่อทำการถ่ายโอนไฟล์ต่างๆ ซึ่งด้วยราคาของตัวเครื่องนั้นเรียกว่าไม่น่าจะมีเทคโนโลยีแบบนี้อยู่ ซึ่งตรงนี้ชี้ให้เห็นถึงความคุ้มกับเงินที่เราต้องเสียไปเพียง 4,990 บาทแลกกับเทคโนโยีที่เรานั้นได้มาได้เป็นอย่างดีเลยครับ
Super Power Mode
และฟีเจอร์ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของรุ่นนี้เลยนั่นคือ Super Power Mode หรือโหมดโคตรประหยัดพลังงานแบตเตอรี่นั่นเอง ซึ่งเมื่อเปิดฟีเจอร์นี้แล้วหน้าจอของเราจะกลายเป็นสีขาวดำทันทีและการใช้งานทั้งหมดจะอยู่ในวงจำกัดเพื่อประสิทธิภาพในการควบคุมพลังงานของตัวเครื่องนั่นเอง และเราจะไม่สามารถใช้งานแอพใดๆได้เลย นอกจากนั้นยังไม่สามารถกดปุ่ม Home เพื่อกลับไปหน้าหลักของเราได้ ซึ่งจะต้องกด ปุ่มจุด3จุดที่มุมขวาด้านบนของหน้าจอแล้วเลือกออกเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าโหมดการใช้งานปกติได้ หลังจากได้ลองใช้งานในโหมดนี้ดูก็พบว่าสามารถใช้แบตเตอรี่ได้ยาวนานกว่าเดิมมาก
Float Task
และอีกฟีเจอร์ที่เป็นฟีเจอร์เด่นๆเลยนั่นก็คือ Float Task ที่จะเป็นเมนูพิเศษคล้ายๆกับ Assistive Touch บนไอโฟน วิธีเปิดใช้ฟีเจอร์นี้ก็คือเข้าที่ดารตั้งค่า>Float Task> ตรงหัวข้อ Shortcut Switch ให้เลือกเปิด และเราสามารถเข้าถึงฟังก์ชั่นนี้ด้วยการกดปุ่ม Back ค้างไว้ประมาณ 1-2 วินาทีเท่านั้น ก็จะปรากฎปุ่มขึ้นมาที่ด้านข้างของหน้าจอ เมื่อแตะที่ปุ่มด้านข้างของหน้าจอจะมีเมนูเด้งขึ้นมาดังภาพให้เราเลือกใช้งานในฟังก์ชั่นต่างๆตามต้องการ
Camera
มาต่อกันที่เรื่องของกล้องถ่าพภาพกันบ้างครับ i-mobile IQ BIG 2 มาพร้อมกล้องขนาด 12 ล้านพิกเซลที่เรียกว่าเยอะมากสำหรับมือถือราคาไม่เกิน 5,000 บาท แต่อาจจะติดตรงที่ว่าในเรื่องของเอฟเฟคต่างๆที่มีมาให้นั้นค่อนข้างน้อยไปสักหน่อยอาจเพราะด้วยเหตุผลทางด้านราคาจึงทำให้ไม่สามารถ
ที่จะเพิ่มตัวเลือกต่างๆเข้ามามากมายนัก ภาพถ่ายจากกล้องหลังที่ออกมานั้นสีสันของภาพมีความสดใส แต่เรื่องของความละเอียดของภาพยังอยู่ในระดับปานกลาง เอฟเฟคของกล้องจะมีทั้งหมด 4 โหมดด้วยกัน ได้แก่ Auto, Live Photo, Face Beauty และ โหมดการถ่ายภาพแบบ Panorama
ในส่วนของกล้องหน้าจะมาพร้อมความละเอียดขนาด 5 ล้านพิกเซล และเอฟเฟคของกล้องหน้าจะมีทั้งหมดด้วยกัน 2 เอฟเฟคนั่นคือ Auto และ Face Beauty เท่านั้นความละเอียดของภาพที่ออกมานั้นเรียกว่าธรรมดาไม่หวือหวาเท่าไรนักอาจเพราะในรุ่นนี้มีจุดเด่นในเรื่องของแบตเตอรี่ที่เยอะมากกว่า
แต่ถึงอย่างนั้น i-mobile ก็ยังแอบใส่ลูกเล่นมาให้นั่นคือการสั่งการด้วยเสียงนั่นเองซึ่งเป็นอะไรที่พิเศษมากสำหรับมือถือราคาไม่เกิน 5,000 บาท การใช้งานก็เพียงแค่เราพูดคำว่า Capture หรือ Cheese เท่านั้นตัวเครื่องก็จะทำการถ่ายภาพตามที่เราต้องการ และนี่คือตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วย i-mobile IQ BIG 2
Performance
ในเรื่องของประสิทธิภาพการทำงานของ i-mobile IQ BIG 2 นั้นถือว่าอยู่ในระดับพอใช้ เนื่องจากซีพียู MediaTek MT6582 นั้นมีความเร็วเพียง 1.3 GHz เท่านั้นและเมื่อทำการทดสอบประสิทธิภาพด้วยแอพทดสอบประสิทธิภาพอย่าง Antutu Benchmark คะแนนของ i-mobile IQ BIG 2 นั้นอยู่ที่ 18,998 คะแนนซึ่งอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำไปสักหน่อย
แต่การใช้งานโดยทั่วไปนั้นก็สามารถทำได้ตามปกติเพียงแต่การเปิดแอพที่ต้องการใช้ทรัพยากรเครื่องสูงๆอาจพบปัญหาภาพกระตุกอยู่บ้าง และการเล่นเกมที่มีกราฟฟิกโหดๆอย่าง Asphalt 8 นั้นต้องปรับเอฟเฟคของภาพให้เข้ากับตัวเครื่องสักหน่อยจึงจะเล่นได้อย่างลื่นไหล แต่ในเกมอื่นๆที่ติดมากับเครื่องนั้นสามารถเล่นได้อย่างราบรื่นพอสมควร
แต่อาจจะติดที่รายละเอียดของภาพในเกมนั้นค่อนข้างต่ำไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเกลียดแต่อย่างใดในด้านการใช้งานมัลติมีเดียต่างๆ i-mobile IQ BIG 2 มาพร้อมหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว บนความละเอียดระดับ HD จากการใช้งานจริงก็พบว่าหน้าจอนั้นมีมุมมองกว้างตามลักษณะของจอ IPS แต่สีสีสันของหน้าจอนั้นดูเหมือนจะซีดไปหน่อยอยู่เหมือนกัน
ความคมชัดของภาพนั้นอยู่ในเกณฑ์พอรับได้ไม่ยาก ยังดีที่ความละเอียดของภาพนั้นอยู่ในระดับ HD ไม่เช่นนั้นแล้วหลายคนอาจถอดใจไปเลือกรุ่นอื่ที่ราคาอาจสูงกว่าสักหน่อย แต่ได้หน้าจอที่ชัดยิ่งขึ้น อาจเพราะเนื่องจาก i-mobile นั้นเป็นแบรนด์ของบ้านเราเองจึงเข้าใจว่าคนไทยนั้นต้องการอะไรมากที่สุด และได้ผลิตสิ่งนั้นมาตอบโจทย์ให้กับผู้ใช้งานกลุ่มต่างๆ
สรุปว่า i-mobile IQ BIG 2 นั้นสำหรับผมถือว่าเป็นมือถือที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการมือถือสเปคที่ไม่ต่ำจนเกินไป และที่สำคัญคือราคาของตัวเครื่องนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้และ i-mobile นั้นถือเป็นแบรนด์ที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดี และไม่เหมือนในสมัยก่อนๆที่ยังไม่มีเทคโนโลยีต่างๆเข้ามาในบ้านเราจึงทำให้ตัวเครื่องนั้นอาจมีสเปคต่ำไปบ้าง ซึ่งเมื่อพิจารณาดีๆจะเห็นว่าตอนนี้มือถือจาก i-mobile ในบางรุ่นนั้นสเปคไม่แพ้มือถือจากแบรนด์ชั้นนำเลย ในเรื่องของราคาจำหน่ายก็มีให้เลือกตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่น หากผู้ใช้งานไม่ยึดติดกับแบรนด์จนเกินไป i-mobile อาจเป็นทางเลือกของใครหลายคนได้ไม่ยากเลยครับ