สำหรับมือถือที่ผมจะมารีวิวให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันในวันนี้ จัดเป็นหนึ่งรุ่นน่าซื้อในช่วงราคาไม่เกิน 10,000 บาท จากค่าย Huawei ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ของโลก โดยมือถือรุ่นนี้พึ่งเปิดตัวไปหมาดๆ เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งก็คือ Huawei GR5 หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ Huawei Honor 5X หนึ่งในไพ่เด็ดของ Huawei ที่จะมาเขย่าตลาดมือถือระดับกลางในบ้านเรา
สเปค Huawei GR5
- หน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด FHD 1920×1080 พิกเซล
- Qualcomm MSM8939 Snapdragon 615 Octa-core
- Ram 2Gb / Rom 16Gb รองรับ microSD สูงสุด 128 GB
- Android™ 5.1 (Lollipop)ครอบทับด้วย Emotion UI 3.1
- กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล / หลัง 13 ล้านพิกเซล f2.0 พร้อมแฟลช LED
- แบ็ต 3,000 mAh
- ขนาดตัวเครื่อง 151.3 x 76.3 x 8.15 มม. หนัก 158 กรัม
- สเปคเต็มๆ Huawei GR5
- ราคาจำหน่าย 8,990 บาท
ข้อดี
– ทุกอย่างอยู่ในจุดสมดุล ทั้ง CPU, แรม, หน้าจอ, แบตเตอรี่, กล้อง
– ใช้งาน 3G/4G LTE ได้อย่างไร้ปัญหา
– งานประกอบดีมาก วัสดุตัวเครื่องพรีเมียม
– ใช้งานได้ 2 ซิม พร้อมกับใส่ Micro SD Card ได้ด้วย
– เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือเด็ดจริง ใช้งานได้หลากหลาย ฟีเจอร์แน่นๆ
– แบตเตอรี่ใช้งานได้นาน
ข้อสังเกต
– เล่นเกมหนักๆ มีกระตุกบ้างเล็กน้อย
– Perfect Selfie มีงงๆ บ้างในบางมุม แต่ส่วนมาก 90% จะถ่ายติดตลอด
บทสรุป
BEST PRICE
Design
Huawei GR5 จะมีขายด้วยกัน 3 สี คือสีเทา, สีเงิน และสีทอง ส่วนเครื่องรีวิว Huawei GR5 ที่ผมได้รับมานั้นเป็นตัวเครื่องสีทอง ซึ่งจะเป็นสีทองทั้งด้านหน้าตัวเครื่องและด้านหลัง วัสดุหลักของตัวเครื่อง Huawei GR5 ทำมาจากอลูมิเนียมขึ้นรูปทรงแบบคลาสิค พื้นผิวของวัสดุเป็นแบบโลหะปัดเงา ขนาดตัวเครื่องกำลังพอดีมือแม้ว่า Huawei GR5 จะมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.5 นิ้วก็ตาม เมื่อเทียบกับมือถือหน้าจอ 5 นิ้ว Huawei GR5 จะมีขนาดใหญ่กว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
จุดเด่นในเรื่อง Design ของ Huawei GR5 เริ่มจากขอบจอที่บางเป็นพิเศษ พื้นที่หน้าจอของ Huawei GR5 คิดเป็น 72.56% ของพื้นที่ด้านหน้าทั้งหมด เมื่อรวมกับตัวเครื่องด้านหลังที่ออกแบบมาให้โค้งมนเข้ากับมือ ทำให้การจับถือตัวเครื่องด้วยมือเดียวสะดวกมากเมื่อเทียบกับมือถือหน้าจอ 5.5 นิ้วรุ่นอื่น โดย Huawei GR5 สามารถใช้งานด้วยมือเดียวได้ดีในระดับหนึ่งในโหมดเต็มจอปกติ แต่ถ้าเปิดโหมด “ใช้ UI ด้วยมือเดียว” ที่ย่นหน้าจอลงมาให้มีการแสดงผลเท่ากับหน้าจอประมาณ 4 นิ้ว จะสามารถใช้งาน Huawei GR5 ด้วยมือเดียวแบบ 100% ใช้เพียงนิ้วเดียวก็ลากได้ทั่วหน้าจอแล้ว
ข้อดีของการที่ Huawei GR5 ใช้วัสดุเป็นอลูมิเนียม แมกนีเซียมอัลลอยด์ก็คือทำให้ตัวเครื่องมีน้ำหนักเบา ระบายความร้อนได้ดีตามแบบฉบับของแมกนีเซียมอัลลอยด์ แต่ก็ยังได้ความแข็งแกร่งแบบอลูมิเนียมอยู่ และเวลาที่เราจับถือตัวเครื่อง Huawei GR5 จะให้ฟิลลิงที่ดีไม่แพ้พวกมือถือราคาหมื่นบาทขึ้นไปเลยทีเดียว โดยเฉพาะผิวตัวเครื่องที่เป็นโลหะขัดลายนี่ผมชอบมาก เพราะมันทำความสะอาดง่าย และยังมีการเก็บขอบเก็บมุมได้ดี เวลาจับถือตัวเครื่องก็เลยดูสมูทไปหมด
สำหรับรายละเอียดของตัวเครื่อง Huawei GR5 เริ่มจากด้านหน้าจะประกอบไปด้วยหน้าจอ IPS ขนาดใหญ่ถึง 5.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD มีความหนาแน่นของเม็ดพิกเซลสูงถึง 401 ppi ชัดในระดับที่มองไม่เห็นเม็ดพิกเซล มาพร้อมกับเซ็นเซอร์อัจฉริยะแบบ Apical Assertive ที่ตรวจจับปรับภาพหน้าจออัตโนมัติแบบไดนามิค เพื่อแสดงผลหน้าจอที่เหมาะสมที่สุดในขณะใช้งาน และเมื่อเทียบกับคู่แข่งบางยี่ห้อจะให้หน้าจอมาที่ความละเอียด HD หน้าจอของ Huawei GR5 ที่ความละเอียด Full HD จะคมกว่าอย่างเห็นได้ชัด ด้านบนหน้าจอประกอบไปด้วยลำโพงสำหรับสนทนาโทรศัพท์, กล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล และเซนเซอร์วัดแสงอัตโนมัติ ส่วนด้านล่างหน้าจอมีเพียงแค่โลโก้ Huawei เท่านั้น
ด้านข้างของ Huawei GR5 เริ่มจากทางด้านขวามือ ก็จะเป็นปุ่ม Power และปุ่มปรับระดับเสียง ด้านบนจะประกอบไปด้วยช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรกับไมค์ตัดเสียง ด้านล่างที่มีการออกแบบเหมือนใช้ลำโพงคู่ แต่จริงๆ แล้วประกอบไปด้วยไมค์สำหรับสนทนาทางฝั่งซ้าย กับลำโพงหลักของตัวเครื่องที่อยู่ทางฝั่งขวา และพอร์ท Micro USB สำหรับชาร์จไฟและเชื่อมต่อข้อมูลที่อยู่ตรงกลาง ส่วนด้านซ้ายของตัวเครื่องจะเป็นช่องใส่ซิมการ์ดจำนวน 2 ช่อง โดยช่องบนจะเป็นช่องใส่ซิมแบบ Micro Sim และช่องล่างจะเป็นช่องใส่ Micro SD Card และช่องใส่ Nano Sim แบบแยกอย่างอิสระ ไม่ต้องแชร์ช่องใส่ซิมเหมือนมือถือบางรุ่น
ฝาหลังของ Huawei GR5 ใช้วัสดุตัวเครื่องเป็นโลหะขัดลาย (Brushed Metal) ให้ความรู้สึกหรูหรา และสวยงามเป็นอย่างมาก รวมถึงยังให้สัมผัสที่ดี สำหรับรายละเอียดด้านหลังของ Huawei GR5 ประกอบไปด้วยกล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ตัวกล้องนูนขึ้นมาจากฝาหลังเล็กน้อย แต่มีการทำกรอบขึ้นมาปกป้องตัวกระจกเลนส์ไม่ให้สัมผัสกับพื้นโดยตรง ด้านข้างของกล้องหลังติดแฟลช LED มาให้จำนวน 1 ดวง ถัดมาจะเป็นปุ่มสแกนลายนิ้วมือที่สามารถสแกนลายนิ้วมือได้ในเวลาเพียง 0.5 วินาที และสามารถใช้งานได้แม้ว่ามือเปียก
ภาพรวมด้านดีไซน์ของ Huawei GR5 ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีตามมาตรฐานของมือถือ Huawei แต่ถ้าเทียบกับราคาค่าตัวของ Huawei GR5 กับราคา 8,990 บาท ส่วนตัวผมว่าเป็นอะไรที่คุ้มราคาครับ ความพรีเมียมของวัสดุ และงานประกอบที่แน่นหนา รวมถึงการออกแบบที่ผ่านการคิดมาแล้วว่าจะทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งาน Huawei GR5 ได้สะดวกขึ้น ไม่ว่าจะเป็นขอบจอบาง, ฝาหลังโค้งเข้ากับอุ้งมือ และการเลือกพื้นผิวของวัสดุเป็นแบบโลหะขัดลาย ให้สัมผัสที่ดีเวลาจับถือ และยังดูแลรักษาความสะอาดได้ง่ายอีกด้วย
Software
Huawei GR5 มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 5.1.1 Lollipop ตามมาตรฐานทั่วไป ความสดใหม่ก็พอประมาณ แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ของมือถือระดับกลางที่เปิดตัวในต้นปี 2016 และแน่นอนว่าซอฟท์แวร์ของ Huawei GR5 ถูกครอบด้วยอินเตอร์เฟสของทาง Huawei นั่นก็คือ EMUI เวอร์ชัน 3.1 ที่มีการปรับปรุงหน้าตาของ Android ให้ดูเป็นแนวมินิมอลลิสลงไปอีก เน้นความเรียบง่ายทำให้ดูหรู ทั้งในส่วนของไอคอน ตัวอักษร และการเลือกใช้สัญลักษณ์ต่างๆ ก็ทำออกมาได้ดูดีเลยทีเดียว ด้านความไหลลื่นก็ไม่ต้องห่วงเลยครับ เท่าที่เล่นมาก็ยังไม่ไม่เจอจุดสะดุดหรือติดขัดอะไรเลย เปิดแอพ เล่นเกม กดสลับแอพ พิมพ์ข้อความก็ไม่มีปัญหา
ซึ่งเมื่อดูจากหน้า About แล้วก็จะมีข้อมูลต่างๆ ขึ้นมาให้ครบถ้วนเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นชิปประมวลผล, แรม, ความจุรอมที่มี/ที่เหลือให้ใช้ได้, ความละเอียดหน้าจอ เป็นต้น โดยจากความจุรอม 16 GB จะเหลือว่างให้ใช้งานราวๆ 7 GB ส่วนแรมก็สบายมากครับ ตอนเปิดเครื่องมา หลังจากลงแอพหลักๆ ที่จำเป็นอย่างพวก Facebook, Instagram, LINE แล้ว ระบบจะเหลือแรมว่างให้ใช้ประมาณ 900 MB ก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป ส่วนหนึ่งมาจาก EMUI 3.1 ที่มีการจัดการแรมอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ถ้าจะเล่นเกมให้ลื่นจริงๆ อาจจะต้องทำการเคลียร์แรม และเปลี่ยนโหมดมาใช้โหมดปกติจะดีที่สุดครับ
Feature
สำหรับฟีเจอร์เด่นของ Huawei GR5 บอกเลยว่าหนีไม่พ้นปุ่มสแกนลายนิ้วมือทางด้านหลังของตัวเครื่อง เป็นเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือเวอร์ชัน 2 ของ Huawei ที่สามารถอ่านลายนิ้วมือได้เร็วเพียง 0.5 วินาที (แม้หน้าจอปิดอยู่ก็สามารถสแกนนิ้วได้) และยังสามารถสแกนนิ้วได้แม้ว่ามือจะเปียกอีกด้วย สามารถจดจำลายนิ้วมือได้มากสุดถึง 5 นิ้ว เมื่อเทียบกับมือถือรุ่นอื่นที่มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือในช่วงราคาใกล้เคียงกัน จะเก็บข้อมูลลายนิ้วมือได้เพียง 2 – 3 นิ้วเท่านั้น
ในการใช้งานทั่วไป เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือทางด้านหลังก็สามารถช่วยให้เราใช้งาน Huawei GR5 ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยเราสามารถตั้งค่าได้ว่า จะให้การแตะปุ่มสแกนนิ้วตอนที่เครื่องเปิดอยู่มีค่าเท่ากับการกดปุ่ม Home หรือการกดปุ่มย้อนกลับก็ได้ รวมถึงตั้งให้การแตะเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือค้างแทนการกดปุ่ม Recent App ก็ทำได้เช่นกัน
นอกจากนี้ ปุ่มสแกนลายนิ้วมือของ Huawei GR5 ยังสามารถจดจำความแตกต่างของลายนิ้วมือ และแยกแยะได้ว่าเราใช้นิ้วไหนในการสแกนลายนิ้วมือ ทำให้เราสามารถใช้ปุ่มสแกนลายนิ้วมือเป็นทางลัดในการเข้าสู่แอปพลิเคชันอย่างรวดเร็วได้ด้วย เช่น ตั้งให้นิ้วชี้ซ้ายมีค่าเท่ากับการปลดล็อกตัวเครื่อง, ตั้งให้นิ้วชี้ขวาเป็นเข้าสู่แอปพลิเคชันกล้องถ่ายรูป และสำหรับใครที่ชอบเล่น Facebook ก็สามารถตั้งแต่สแกนนิ้วแล้วปลดล็อกพร้อมกับเปิดแอปพลิเคชัน Facebook ได้เช่นกัน
Camera
กล้องหลังของ Huawei GR5 มีความละเอียดอยู่ที่ 13 ล้านพิกเซล Stacked CMOS มีค่ารูรับแสงที่ f/2.0 จัดว่าเป็นรูรับแสงที่กว้างพอสมควรบนโลกมือถือ มาพร้อมกับแฟลช LED จำนวน 1 ดวง และการที่รูรับแสงกว้างก็จะช่วยให้ Huawei GR5 สามารถถ่ายรูปในที่แสงน้อยได้ดี และยังสามารถถ่ายรูปหน้าชัด – หลังเบลอได้ไม่ยาก รองรับการโฟกัสแบบติดตามวัตถุ ส่วนการถ่ายวีดีโอ Huawei GR5 รองรับการถ่ายวีดีโอที่ความละเอียดสูงสุดแบบ Full HD 1080p 30fps สามารถใช้การโฟกัสแบบติดตามวัตถุกับโหมดวีดีโอได้
ซอฟท์แวร์กล้องหลังของ Huawei GR5 ใช้ซอฟท์แวร์ที่คล้ายกับ Huawei G7 Plus ก็คือจะมีโหมดให้เลือกใช้หลักๆ ด้วยกัน 5 โหมด ได้แก่
- Good Food Mode
- Beauty Mode
- Time Lapse
*แต่ที่เพิ่มชึ้นมาใน Huawei GR5 คือ VDO Slow Motion Mode
มาเริ่มกันที่โหมดกล้องใน Huawei GR5 โหมดแรกก็คือ Good Food ที่น่าจะถูกใจคนชอบถ่ายอาหารเป็นพิเศษ เวลาที่เราถ่ายอาหารด้วยโหมด Good Food ตัวกล้องจะทำการเพิ่มสีโทนส้มเข้าไป ทำให้รูปอาหารที่ถ่ายออกมานั้นดูน่ารับประทานมากขึ้น เหมาะแก่การถ่ายลงโซเชียลตอนดึกๆ เป็นอย่างยิ่ง บอกเลยว่าพลังการทำลายล้างนี่รุนแรงมากๆ ส่วนโหมด Auto หรือโหมดภาพถ่ายปกติก็จัดว่าฉลาดใช้ได้ การโฟกัสทำได้รวดเร็ว ถ่ายในที่มืดก็ใช้ได้
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังของ Huawei GR5 ก็ตามนี้เลย
ตัวอย่างภาพถ่ายด้วยโหมด Good Food (ซ้าย) เทียบกับโหมดปกติ (ขวา)
ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซลของ Huawei GR5 ก็มีทีเด็ดอยู่ที่โหมด Beauty อันชาญฉลาด ที่มีชื่อเรียกเก๋ๆ ว่า Perfect Selfie โดยหลักการทำงานของ Perfect Selfie คือซอฟท์แวร์กล้องจะทำการจดจำใบหน้าของเรา พร้อมกับการตั้งค่าระดับความสวยที่เราได้ตั้งไว้ สมมุติเราปรับให้หน้าเรียวระดับ 3 ตาโตระดับ 7 ผิวขาวระดับ 5 ตาเป็นประกายระดับ 4 พอหลังจากนี้ไป เมื่อเราเซลฟี่ตัวเองไม่ว่าจะในมุมไหน หรือเซลฟี่กับใคร ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน, แฟน, เน็ตไอดอล, ดารา หรือครอบครัว โหมด Beauty ก็จะจัดการแต่งหน้าเราตามที่ได้ตั้งค่าไว้เสมอ ถ่ายกับเพื่อนนี่เพื่อนอาจจะโกรธได้เลยครับ เพราะเราสวยอยู่คนเดียว เรียกว่าสวยได้ดั่งใจทุกครั้ง เมื่อเซลฟี่ด้วย Huawei GR5 ครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายด้วยโหมด Beauty แบบเปิด Perfect Selfie (ซ้าย) เทียบกับโหมด Beauty แบบปกติ (ขวา) สังเกตดูดีๆ รูปทางขวา ตาจะเป็นประกายกว่า เพราะเราได้ตั้งค่าให้ตาเป็นประกายเอาไว้ที่ระดับ 5
เทียบกันระหว่างโหมด Beauty แบบเปิด Perfect Selfie (ซ้าย) โหมดปกติ Auto (ตรงกลาง) และโหมด Beauty แบบปกติ (ขวา)
ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่จากกล้องหน้าของ Huawei GR5 ครับ
Performance
ประสิทธิภาพของ Huawei GR5 จัดอยู่ในระดับกลางตามชิปเซ็ตของตัวเครื่อง ที่ใช้ CPU Qualcomm Snapdragon 616 รุ่นปรับปรุงจาก Snapdragon 615 โดยสิ่งที่เพิ่มมาในชิปเซ็ต Snapdragon 616 คือใช้โมเด็มรุ่นใหม่เป็น X5 LTE รองรับ LTE Cat4 (Download 150Mbps/ Upload 50Mbps) เหมือนเดิม แต่สิ่งที่สังเกตได้คือ Huawei GR5 จะสามารถจับสัญญาณ Wifi และ Cellular ได้ดีกว่าอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับมือถือที่ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 615
ส่วนความแรงของ Huawei GR5 เมื่อเทียบกับมือถือที่ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 615 ถ้าเทียบด้วยการ Benchmark ดูเหมือนว่า Snapdragon 616 จะทำคะแนนได้ดีกว่าเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าวัดกันที่การใช้งานจริง ส่วนตัวผมว่ามีความแตกต่างน้อยมาก สามารถใช้งานทั่วไปได้สบายๆ หรือจะใช้เล่นเกมก็ยังไหว ความลื่นก็ลื่นพอๆ กันครับ แต่ชิปเซ็ต Snapdragon 616 จะเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลให้รวดเร็วขึ้นในขณะใช้พลังงานต่ำ เวลาที่ CPU Quad Core ตัวพลังงานต่ำประมวลผล เช่น การเล่นเกมเบาๆ, การเล่น Facebook ก็จะลื่นกว่า Snapdragon 615 เล็กน้อย
ในการทดสอบด้านประสิทธิภาพการประมวลผลหนัก ผมก็ได้ลองใช้ Huawei GR5 เล่นเกมหลายเกม ไม่ว่าจะเป็นเกมทั่วไปอย่าง Candy Crush, Cookie Run หรือเกมที่ปราบเซียนอย่าง N.O.V.A.3 ก็สามารถเล่นได้แบบไม่มีปัญหา อาจมีอาการกระตุกเล็กน้อยเวลาที่เจอศัตรูเยอะๆ แต่โดยรวมก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ และแน่นอนว่าเล่นเกม N.O.V.A.3 ก็น่าจะเล่นเกมอื่นๆ ได้เช่นกัน
สำหรับการจัดการพลังงานของ Huawei GR5 ด้วยแบตเตอรี่ที่ให้ 3000 mAh และการจัดการพลังงานที่อยู่ในระดับดีเยี่ยม Huawei GR5 จึงสามารถใช้งานได้นานแบบไม่ง้อ Powerbank ตอนที่ผมทดสอบเครื่องรีวิว Huawei GR5 ได้เปิดการเชื่อมต่อ 4G ไว้ตลอด (มีสลับมาใช้ Wifi บ้าง) เปิดเล่นเกมเรื่อยๆ เน้นเล่นโซเชียลเป็นหลัก เช็ค Facebook บ่อยๆ มีถ่ายรูปบ้างเล็กน้อย Huawei GR5 ก็สามารถใช้งานได้หมดวันแบบไม่ต้องเติมไฟระหว่างวัน หรือถ้าวันไหนใช้งานหนักจริงๆ เช่น ใช้ปล่อย Hotspot ด้วย ก็อาจจะต้องพึ่งโหมดประหยัดพลังงานขั้นสูง ก็พอจะลากให้หมดวันได้ครับ
แต่ถ้าเป็นการสแตนบายเครื่องแบบเปิด 4G ทิ้งไว้ สลับกับการต่อ Wifi ซึ่งมีการแจ้งเตือน และอัพเดตแอปพลิเคชันของ Google Play Store อยู่ตลอด แบตเตอรี่ของ Huawei GR5 จะอยู่ได้ประมาณ 3 วันเลยทีเดียว