หลังจากเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา เครื่องรีวิว Samsung Galaxy Note20 Ultra 5G ก็อยู่ในมือของทีมงาน SpecPhone.com เป็นที่เรียบร้อย สำหรับเครื่องที่ได้รับมานั้นเป็นตัวเครื่องสีดำ Mystic Black ที่ฝาหลังเงาแบบกระจก โดยรุ่นนี้มีความเปลี่ยนแปลงไปจากตอน Galaxy Note10+ อยู่พอสมควร และจากที่ได้ทดลองใช้เป็นเวลาสั้น ๆ ผมเชื่อว่ารุ่นนี้จะต้องทำให้แฟน ๆ Galaxy Note Series หลงรักเอาได้ไม่ยาก
สเปค Samsung Galaxy Note20 Ultra 5G
- หน้าจอ Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.9 นิ้ว ความละเอียด WQHD+ รีเฟรชเรต 120Hz
- ชิปประมวลผล Exynos 990
- RAM 12GB
- ความจุ 256GB/ 512GB รองรับ microSD Card สูงสุด 1TB
- กล้องหลัง 3 ตัว ประกอบไปด้วย
- กล้องหลัก ความละเอียด 108MP (f/1.8) Nona – binning
- เลนส์มุมกว้าง Ultra wide-angle 12MP (f/2.2)
- Telephoto เลนส์ Periscope ความละเอียด 12MP (f/3.0) ซูม 5x Optical และ 50x Space Zoom
- Laser Autofocus
- กล้องหน้า 10MP (f/2.2) AF
- การเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot, BT 5.1
- ปลดล็อกด้วยเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Fingerprint ใต้หน้าจอ แบบ Ultrasonic, accelerometer, gyro, proximity, compass, barometer
- กันน้ำกันฝุ่น IP68
- แบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh รองรับชาร์จไว 25W
- ระบบ Android 10 ครอบด้วย One UI 2.5
- สเปคเต็ม ๆ Samsung Galaxy Note20 Ultra
- ราคาเริ่มต้น 42,900 บาท
วิดีโอพรีวิว Note20 Ultra 5G
พรีวิว Samsung Galaxy Note20 Ultra 5G
สำหรับ Galaxy Note20 Ultra 5G ที่วางจำหน่ายในประเทศไทย จะมีด้วยกัน 2 ความจุ ได้แก่ 256GB ราคาเปิดตัว 42,900 บาท และความจุ 512GB ราคา 46,900 บาท ทั้งสองรุ่นแตกต่างกันแค่ความจุในตัวเครื่อง แต่ถ้าเป็นความแตกต่างระหว่าง Note20 Ultra LTE กับรุ่น 5G นอกจากการรองรับ 5G แล้ว ในส่วนของ RAM ก็มีความแตกต่างกันด้วย โดยรุ่น 4G LTE จะมาพร้อมกับ RAM 8GB ส่วนรุ่น 5G จะให้ RAM สูงถึง 12GB
สีสันของตัวเครื่อง Galaxy Note20 Ultra 5G จะวางจำหน่ายด้วยกัน 2 สี ได้แก่ Mystic Bronze หรือสีทองแดง ที่เป็นสีใหม่ในปีนี้ พร้อมสัมผัสฝาหลังแบบด้าน แตกต่างจากเครื่องรีวิว Samsung Galaxy Note20 Ultra 5G ที่ทีมงานได้รับมา จะเป็นสี Mystic Black หรือสีดำ ที่สัมผัสฝาหลังเงาแบบกระจก ส่วนปากกา S-Pen รอบนี้สีเดียวกับตัวเครื่องเลยครับ เครื่องสีดำ ปากกาก็สีดำ หากเป็นเครื่องสีทองแดง ปากกาก็จะเป็นสีทองแดงด้วย
สัมผัสแรกที่ผมได้จับเครื่องรีวิว Samsung Galaxy Note20 Ultra 5G คือตัวเครื่องมีน้ำหนักพอสมควร (202 กรัม) สัมผัสได้เลยว่ามันหนักกว่า Galaxy Note10+ ที่ใช้อยู่เป็นประจำพอสมควร รวมถึงขนาดตัวเครื่องที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย เนื่องจากหน้าจอของ Note20 Ultra 5G มีขนาดอยู่ที่ 6.9 นิ้ว ในขณะที่ Galaxy Note10+ มีหน้าจอขนาด 6.8 นิ้ว
น้ำหนักตัวเครื่องจะเทไปบริเวณมุมขวาบนเป็นส่วนใหญ่ อันเนื่องมาจากกล้องหลังที่มีขนาดใหญ่นั่นเอง แต่การที่กล้องหลังมีขนาดเซ็นเซอร์ใหญ่ ก็น่าจะช่วยให้ Note20 Ultra 5G ถ่ายภาพได้ดีขึ้นในทุกสถานการณ์ ตัวโมดูลกล้องหลัง นูนขึ้นมาจากฝาหลังในระดับหนึ่ง เหมือนเป็นการบังคับกลาย ๆ ให้ใส่เคสก็ว่าได้
หากไม่ใส่เคส เวลาที่วางตัวเครื่อง Note20 Ultra 5G บนโต๊ะ จะสังเกตเห็นชัดเจนเลยว่าตัวเครื่องกระดกขึ้นมา ลักษณะของโมดูลกล้องคล้ายกับใน Galaxy S20 Ultra 5G ที่เปิดตัวไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ส่วนรายละเอียดของกล้องหลัง มีดังนี้ครับ
- เซ็นเซอร์หลัก ความละเอียด 108MP f/1.8 ใช้เทคนิกการรวมพิกเซลแบบ 9 in 1 (Nona – binning) ทำให้ได้ขนาดพิกเซลที่ใหญ่มาก เก็บแสงได้มากขึ้น เก็บรายละเอียดได้มากขึ้น
- เลนส์มุมกว้าง Ultra wide-angle ความละเอียด 12MP f/2.2
- เลนส์ซูม Telephoto แบบ Periscope ความละเอียด 12MP รองรับการซูม 5x Optical Zoom และ 50x Space Zoom (Digital Zoom)
- จุดแดง ๆ บริเวณโมดูลกล้อง เป็นระบบ Laser Focus ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการโฟกัส ทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ
- มีไมโครโฟนตัวที่ 3สำหรับการบันทึกวิดีโอ เป็นรูเล็ก ๆ บริเวณขอบโมดูลกล้อง
- LED Flash จำนวน 1 ดวง
นอกจากนี้ ความเปลี่ยนแปลงบริเวณด้านหลังของ Note20 Ultra 5G เมื่อเทียบกับตอน Note10+ ก็คือโลโก้ SAMSUNG ถูกย้ายมาบริเวณด้านล่าง และข้อสังเกตอย่างหนึ่งของตัวเครื่องสีดำ Mystic Black ก็คือฝาหลังเก็บรอยนิ้วมือได้ง่ายมาก หากใช้แบบไม่ใส่เคส น่าจะต้องเช็ดเครื่องบ่อยทีเดียว แตกต่างจากสีทองแดง Mystic Bronze ที่ฝาหลังเป็นพื้นผิวแบบด้าน ทำให้ดูแลรักษาง่ายกว่า
รายละเอียดต่าง ๆ บริเวณขอบตัวเครื่อง เริ่มจากด้านขวามือ ประกอบไปด้วย ปุ่ม Power และปุ่มเพิ่มเสียง – ลดเสียง
ด้านบนประกอบไปด้วย ไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน และถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Hybrid Slot (2 nano SIM หรือ 1 nano SIM + microSD Card)
ด้านล่างประกอบไปด้วย พอร์ตชาร์จแบบ USB Type-C, ลำโพงหลักของตัวเครื่อง (Note20 Ultra 5G มีลำโพงอีกตัวซ่อนอยู่บริเวณด้านบน ทำงานเป็นลำโพงคู่ Stereo) ไมโครโฟนสำหรับสนทนาโทรศัพท์ และช่องใส่ปากกา S-Pen ที่คราวนี้ถูกย้ายมาด้านซ้ายมือแทน
การย้ายปากกา S-Pen มาด้านซ้ายมือ ถือเป็นอีกความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ Galaxy Note Series เลยก็ว่าได้ครับ เพราะที่ผ่านมา ปากกา S-Pen จะอยู่บริเวณด้านขวามาโดยตลอด ใครที่ใช้งาน Galaxy Note รุ่นก่อน ๆ มา คงต้องปรับตัวกันพอสมควร ส่วนตัวผมที่ใช้ Note10+ มาตั้งแต่เปิดตัว ดึงปากกาจากฝั่งขวามาตลอด พอเปลี่ยนมาใช้เครื่องรีวิว Samsung Galaxy Note20 Ultra 5G ยอมรับว่าไม่คุ้นเหมือนกันครับ
ด้านหน้า Samsung Galaxy Note20 Ultra 5G ประกอบไปด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 6.9 นิ้ว ความละเอียด WQHD+ แบบ Infinity-O-Display หรือหน้าจอแบบเจาะรูตรงกึ่งกลางด้านบน เผื่อฝังกล้องหน้า ความละเอียด 10MP ไว้ใต้หน้าจอ ตรงนี้เหมือนกับใน Galaxy Note10+ และหน้าจอก็มีความโค้งบริเวณขอบจอเล็กน้อยเหมือนเช่นเคย ซึ่งจะแตกต่างจาก Note20 ที่หน้าจอไม่โค้งแล้ว
อย่างไรก็ตาม บริเวณขอบหน้าจอที่โค้ง ๆ นั้น สามารถใช้ปากกา S-Pen เขียนได้ตามปกติ ส่วนเรื่องฟิล์มกันรอย ก็มีติดให้ตั้งแต่ในโรงงานแล้ว หรือถ้าใครไม่สะดวกใช้ฟิล์มติดเครื่อง เชื่อว่าตอนนนี้ก็มีอุปกรณ์กันรอยหน้าจอทั้งที่เป็น TPU และกระจกกันรอยของ Note20 Ultra 5G วางจำหน่ายแล้ว แต่ที่แน่ ๆ ไม่น่าจะใช้กระจกกันรอยเดียวกับ Galaxy Note10+ ได้นะครับ เนื่องจากขนาดหน้าจอไม่เท่ากันนั่นเอง
ความน่าสนใจของหน้าจอ Note20 Ultra 5G ก็คือเป็นครั้งแรกที่ Galaxy Note Series ได้ใช้หน้าจอแบบ Dynamic AMOLED 2x ที่มาพร้อมกับอัตรารีเฟรชเรตที่สูงถึง 120Hz แต่จะรองรับแค่ที่ความละเอียดหน้าจอ Full HD+ เท่านั้น หากเลือกความละเอียดหน้าจอเต็ม WQHD+ จะทำอัตรารีเฟรชเรตได้เพียง 60Hz
การที่หน้าจอของรุ่นนี้มีอัตรารีเฟรชสูงถึง 120Hz นอกจากจะทำให้การใช้งานทั่วไป การปัดหน้าจอไปมามีความลื่นไหลมากกว่าปกติแล้ว ในการทำงานร่วมกับปากกา S-Pen ของ Note20 Ultra 5G ยังมีความหน่วงที่ลดลงจากรุ่นก่อนหน้าหลายเท่า จากเดิมใน Note10+ มีความหน่วงอยู่ที่ 42ms พออยู่ใน Note20 Ultra 5G เหลือความหน่วงเพียง 9ms ใกล้เคียงกับการจดด้วยปากกาบนกระดาษมากขึ้น (Note20 ความหน่วง S-Pen อยู่ที่ 26ms)
นอกจากปากกา S-Pen จะมีความหน่วงน้อยลงมากแล้ว ลูกเล่นอย่าง AirAction หรือการตวัดปากกาก็ถูกเพิ่มขึ้นมาอีกพอสมควร สามารถสั่งย้อนกลับ, กลับหน้าโฮม หรือเรียกหน้า Recents App ได้อีกด้วย
ส่วนเรื่องการจัดการพลังงาน Note20 Ultra 5G มาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุสูงถึง 4,500 mAh ถือว่าเป็นแบตเตอรี่ความจุสูงที่สุดในบรรดา Galaxy Note ที่เป็นโทรศัพท์เลยก็ว่าได้ รองรับการชาร์จเร็ว 25W เช่นเดียวกับตอน Note10+ ใช้เวลาชาร์จจาก 7% ไปจนแบตเตอรี่เต็ม 100% ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนิด ๆ ถือว่าเร็วทีเดียว สำหรับสมาร์ตโฟนที่แบตเตอรี่ความจุสูงเช่นนี้
ระบบปฏิบัติการในตัวเครื่อง Note20 Ultra 5G แม้จะเป็น Android 10 แต่เวอร์ชั่นของ One UI เป็นรุ่นใหม่สุดอย่าง One UI 2.5 ที่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่บางอย่างเข้ามา อย่างไรก็ตาม ลักษณะการใช้งานยังคงคล้ายกับ One UI 2.1 ครับ
ในส่วนของกล้องถ่ายรูป จากที่ลองเล่นคร่าว ๆ พบว่ากล้องหลังของ Galaxy Note20 Ultra 5G โฟกัสได้รวดเร็ว และแม่นยำมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากมีการใช้ Laser Focus เข้ามาช่วย ส่วนเรื่องการซูม รุ่นนี้รองรับการซูมไกลสุดแบบ Space Zoom ที่ระยะ 50 เท่า รองรับการซูมแบบ Optical Zoom ไม่เสียรายละเอียดที่ 5 เท่า
ด้านการถ่ายวิดีโอ Note20 Ultra 5G รองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดถึง 8K 24fps ทั้งอัตราส่วนแบบ 16:9 และ 21:9 แบบ Cinematic, การถ่ายวิดีโอ 4K ได้สูงสุด 60fps ส่วนการถ่ายวิดีโอ Full HD 1080p หากเป็นโหมดโปร จะรองรับการบันทึกที่ 120fps แบบไม่สโลว์ และในโหมด Pro Video จะเลือกการบันทึกเสียงวิดีโอได้ละเอียดมาก เลือกได้ว่าจะใช้ไมค์ตัวไหนในการบันทึกเสียง หรือจะใช้หูฟัง Galaxy Buds Live แทนไมโครโฟนในการบันทึกเสียงก็ได้เช่นกัน
และทั้งหมดนี้ก็คือพรีวิว Samsung Galaxy Note20 Ultra 5G แบบพอหอมปากหอมคอครับ ด้านการใช้งาน ความแรงของชิปประมวลผล ตัวอย่างภาพถ่าย ตัวอย่างไฟล์วิดีโอ รวมถึงการจัดการพลังงาน แบตเตอรี่พวกนี้ขอตัวไปทดสอบอย่างจริงจังก่อนครับ รอติดตามในรีวิวฉบับเต็มได้เลย
ส่วนใครที่อดใจไม่ไหว อยากซื้อ Galaxy Note20 Ultra 5G หรือ Galaxy Note20 ตอนนี้ก็มีโปรโมชั่นพรีออเดอร์จนถึงวันที่ 18 สิงหาคม 2563 โปรจองมีทั้งอัพเกรดความจุ หรือรับของแถมเป็น Galaxy Buds Live เมื่อซื้อ Note20 Ultra ด้วยครับ รายละเอียดเพิ่มเติม: โปรจอง Samsung Galaxy Note20 Series สุดยอดเพาเวอร์โฟนยุคใหม่ ราคาเริ่มต้น 15,900 บาท หรือ https://bit.ly/39Yv0u1