หลังจากพบกับบทความภาพบรรยากาศงานเปิดตัว ASUS Zenfone 2 ไปแล้ว ทีนี้ก็เป็นบทความที่สอง นั่นคือบทความพรีวิว ASUS Zenfone 2 เครื่องจริงจากงานเปิดตัวกันบ้างครับ ซึ่งในงานนี้ก็มีเครื่องให้สื่อลองเล่นเยอะมากๆๆ เราก็เลยมาจับเครื่องสีแดงกันซะเลยครับ โดยเครื่องที่เราพรีวิวนี้เป็นโมเดล ZE551ML แรม 4 GB ตัวท็อปเลยทีเดียว
สำหรับความรู้สึกแรกที่จับ Zenfone 2 คือรู้สึกว่างานดีขึ้นกว่ารุ่นแรกจริงๆ ด้วยจอเครื่องที่มีขนาด 5.5 นิ้ว ทำให้สามารถจับใช้งานได้เต็มมือพอดิบพอดี แต่ก็ไม่เกะกะเทอะทะ เพราะตัวเครื่องโดยรวมทำออกมาได้ค่อนข้างบาง โดยเฉพาะส่วนของขอบเครื่องที่บางสุดเพียง 3.9 มิลลเมตรเท่านั้นเอง ซึ่งการที่ขอบเครื่องมีขนาดบางมากๆ ทำให้ต้องย้ายปุ่มกดต่างๆ ไปอยู่บริเวณอื่นแทน อย่างปุ่ม Power ก็ย้ายไปอยู่ด้านบน ซึ่งอันนี้อาจจะดูเหมือนว่ามันทำให้ใช้งานไม่ค่อยสะดวกเวลาจะล็อคหรือปลดล็อคหน้าจอ แต่เอาเข้าจริงๆ มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่อย่างใดครับ เพราะ Zenfone 2 มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ นั่นคือ ZenMotion ซึ่งก็คือการสั่งงานด้วยท่าทาง gesture นั่นเอง ตัวอย่างรูปแบบที่ใช้งานได้ก็เช่น
- เคาะหน้าจอ 2 ครั้งเพื่อเปิด/ปิดจอ
- ลากนิ้วเป็นตัว C ขณะจอปิด เพื่อเปิดแอพกล้อง
- ลากนิ้วเป็นตัว V ขณะจอปิด เพื่อเปิดแอพโทรศัพท์
- สามารถตั้งค่าเพิ่มในภายหลังได้
ส่วนของปุ่มเพิ่มลดเสียงนั้นก็จะย้ายไปอยู่ตรงบริเวณกล้องหลังแทน ทำให้สะดวกกับการใช้งานจริง ที่เราคงได้เห็นกันไปบ้างแล้วในมือถือหลายๆ รุ่นที่มีขายอยู่ในตอนนี้ ซึ่งก็คงเป็นหนึ่งบทพิสูจน์ได้ดีพอสมควรเลยว่ามันเวิร์คจริงๆ ไม่ว่าจะใช้ในการปรับระดับเสียง หรือใช้ในการเป็นปุ่มกดถ่ายรูปเวลาเซลฟี่ อะไรประมาณนี้
หน้าจอของ ASUS Zenfone 2 ก็จัดว่าทำออกมาได้ดีเลยครับ ทั้งในแง่ของความละเอียดในระดับ Full HD มุมมองภาพก็กว้าง ภาพสวยสีสันสดตามสไตล์ของพาเนล IPS ปิดทับด้วยกระจก Gorilla Glass 3 ภายในก็มีการออกแบบให้มีความโปร่งใส เพื่อให้แสงและสีสันออกมาได้มากที่สุดถึง 94% และที่เป็นไฮไลท์ที่สุดของจอ Zenfone 2 เลยก็คือระบบรับสัมผัสจากผู้ใช้ ที่มี response time แค่ 60 ms เท่านั้นเอง รับรองว่าทัชติดนิ้ว ลื่นทันใจแน่นอน ซึ่งจากที่ผมลองเล่นเครื่องจริงดู ก็รู้สึกว่ามันทัชติดมือดีกว่า Zenfone 5 อีกนะ อยู่ในระดับที่ไม่หน่วงให้หงุดหงิดเลย
สำหรับในเรื่องของการใช้งานทั่วไป บอกเลยว่าลื่นในระดับเดียวกับมือถือราคาสองหมื่นอัพในตลาดเลยครับ เร็วทันใจ ส่วนแรม ถ้าเปิดเครื่องมาใหม่ๆ จะเหลือว่างให้ใช้เกือบๆ 3 GB ส่วนถ้าใช้งาน เปิดแอพนู่นแอพนี่ไปซักพัก แถมผมลองเปิดเกม Asphalt 8 ไว้ ปรากฏว่าแรมยังเหลือว่างอีกตั้ง 2.1 GB ด้วยซ้ำ รับรองว่าหมดปัญหาแรมเต็มแน่นอน
สำหรับฝาหลังของ ASUS Zenfone 2 ก็ยังคงเป็นพลาสติกอยู่นี่แหละครับ แต่มีการทำพื้นผิวบรัชลายแบบเดียวกับโลหะ ซึ่งความรู้สึกที่สัมผัสนี่บอกเลยว่าใกล้เคียงโลหะพอสมควรเลย ซึ่งก็เป็นการเพิ่มความพรีเมียมให้ผลิตภัณฑ์ได้ดีนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับราคาตัวเครื่องที่เปิดมาเริ่มต้นที่ 6,990 บาทเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องสีสันของตัวเครื่องที่มีให้เลือกซื้อก็จะมีด้วยกัน 5 เฉดสีครับ เริ่มตั้งแต่ดำ (เทาเข้ม), ขาว, แดง, ทองและสี Gun metal (เทาอ่อน) สำหรับการวางจำหน่ายในไทยช่วงแรกๆ ก็อาจจะยังไม่ครบทุกสีนะ ต้องรอช่วงเดือนพฤษภาคมกันอีกที
สามภาพสุดท้ายในแกลเลอรี่ด้านบนก็จะเป็นการใช้งานเคสฝาพับ View Flip Cover ซึ่งตัวมันเองก็จะเป็นฝาหลังที่มีแผ่น cover ขึ้นมาปิดหน้าจอด้วยนี่ล่ะครับ ตัวของแผ่น cover จัดว่าหนาใช้ได้เลย ภายในส่วนที่สัมผัสกับจอก็จะเป็นกำมะหยี่แข็งๆ หน่อย ส่วนของฝาหลังก็จะมีทั้งแบบพลาสติกบรัชลายธรรมดาเหมือนฝาหลัง Zenfone 2 ปกติ และก็มีแบบหนังที่พรีเมียมขึ้นมาอีกระดับหนึ่งวางจำหน่ายด้วย
มาดูด้านข้างแบบเต็มๆ ครับ บอกเลยว่าดูเพรียวบางลงจริงๆ ขอบข้างบางสุดแค่ 3.9 มิลลิเมตรเท่านั้น ส่วนที่หนาสุดคือตรงกลางนี่ก็จัดว่าธรรมดานะ คือประมาณ 10.9 มิลลิเมตร แต่ขอบข้างที่บาง เลยทำให้ตัวเครื่องดูเพรียวลงเยอะกว่าที่เห็นจริงๆ
มาดูส่วนของโหมดกล้องกันบ้าง ใน Zenfone 2 ก็มีโหมดกล้องเพิ่มเข้ามาแบบกดให้เลือกได้ด้วยกัน 2 โหมดครับ นั่นคือโหมด Manual ที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถปรับตั้งค่าต่างๆ ได้คล้ายกับในกล้อง DSLR ครับ ตัวอย่างค่าที่สามารถปรับได้ก็เช่น ISO ความไวแสง, ความเร็วชัตเตอร์, ระยะโฟกัส, สมดุล white balance ซึ่งพักหลังเราก็ได้เห็นมือถือหลายๆ รุ่นในตลาดมาพร้อมกับฟีเจอร์นี้ในตัวกล้องเหมือนกัน เหมาะสำหรับคนที่เข้าใจการทำงานของกล้องในระดับหนึ่ง และอยากควบคุมภาพถ่ายให้ออกมาเป็นไปได้ดังใจ เท่าที่ผมลองใช้งานดู ก็สามารถใช้งานได้ค่อนข้างง่ายดี เลื่อนๆ ตัวปรับก็เห็นผลได้เลยทันทีว่ามันต่างจากเดิมยังไงบ้าง ส่วนคนที่ไม่อยากปรับอะไรมาก ก็สามารถใช้งานโหมด auto ได้เช่นเดิมครับ ดูเหมือนว่าโหมด auto ของ Zenfone 2 จะฉลาดขึ้นกว่าเดิมด้วย แต่อันนี้ไว้รอดูกันในตอนรีวิวเต็มๆ ในภายหลังอีกทีจะดีกว่า
ส่วนในแง่ของการใช้งานกล้องนั้น ต้องบอกว่าให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจาก Zenfone รุ่นแรกแบบเห็นได้ชัดอยู่เหมือนกันครับ นั่นก็คือเรื่องความเร็วในการประมวลผลภาพ โดยเฉพาะหลังกดถ่ายภาพไปแล้ว ถ้าใครที่ใช้งาน Zenfone 4, Zenfone 5 รุ่นที่เป็นชิป Intel อยู่จะพอรู้ว่าเวลากดถ่ายรูปแล้วจัดเก็บลงเมม เป็นขั้นตอนที่ค่อนข้างช้า แต่กับเครื่องรุ่นที่ใช้ชิป Snapdragon เช่น Zenfone 5 LTE กลับไม่พบปัญหานี้เลย จึงพอระบุได้ชัดเจนว่าปัญหามันเกิดจาก CPU และ GPU ประมวลผลไม่ทัน
แต่กับใน Zenfone 2 เครื่องที่ผมลองนี้ (รุ่นท็อป Intel Atom Z3580) ผมไม่พบปัญหาดังกล่าวแล้วนะ มันทำงานได้เร็วทันใจขึ้นเยอะเลย อันนี้ก็เป็นหนึ่งจุดที่ได้อานิสงส์จากการอัพเกรดชิปประมวลผลไปใช้ตัวที่เทคโนโลยีสดใหม่กว่าและแรงขึ้นแบบเต็มๆ
ซึ่งการที่ชิปมันแรงเกินพอขนาดนี้ ทำให้ ASUS Zenfone 2 มาพร้อมกับโหมดกล้องใหม่ๆ อีก เช่น Super HDR ที่อันที่จริงมันก็คือ HDR อันเดิมนี่ล่ะครับ แต่สามารถทำงานได้ดีขึ้น สามารถเก็บรายละเอียดต่างๆ ของภาพได้ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะส่วนมืดที่เงาบัง รวมถึงภาพถ่ายย้อนแสง สีฟ้าของท้องฟ้า และแน่นอนว่าต้องมาจากพลังประมวลผลที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ซึ่งในงานนี้ก็มีอุปกรณ์ทดสอบให้เราสามารถนำมือถือของตัวเองไปถ่ายเทียบภาพกับภาพถ่ายของ Zenfone 2 ได้ งานนี้ก็บอกเลย มีหลายรุ่นแพ้ราบคาบครับ อย่างในภาพที่ผมถ่ายมาก็เป็นคนเอา OnePlus One มาลอง ผลก็เป็นไปตามภาพล่ะนะ
อีกโหมดที่เพิ่มเข้ามาก็คือโหมด Super Resolution ที่ช่วยให้สามารถเก็บรายละเอียดภาพได้มากกว่าเดิม ด้วยความละเอียดภาพสูงสุด 52 ล้านพิกเซล อันเกิดจากการนำภาพถ่าย 13 ล้านพิกเซล 4 ภาพมาประมวลผลรวมกัน ช่วยเพิ่มรายละเอียดภาพให้มากขึ้น แสงสว่าง สีสันออกมาดีกว่าเดิม ซึ่งจะว่าไปก็คล้ายๆ กับที่มีในกล้องมือถือหลายๆ รุ่นนี่ล่ะครับ แต่จะสังเกตได้ว่าที่ผ่านมาเรามักเห็นฟีเจอร์นี้ในกลุ่มมือถือรุ่นท็อป ชิปประมวลผลแรงๆ เท่านั้น ตอนนี้มันมาถึงใน Zenfone 2 ที่ราคาไม่สูงมากแล้วนะ
ภาพคู่นี้เป็นการเทียบความแตกต่างของภาพที่ถ่ายในโหมดธรรมดา (ภาพซ้าย) กับโหมด Super Resolution (ภาพขวา) ครับ ถ้าคลิกดูชัดๆ จะเห็นเลยว่าตรงโลโก้ ASUS ของภาพขวามีความคมชัดกว่า รวมถึงที่แฟลชด้วย (ตัวแบบคือ Zenfone 5 ปกติ) ซึ่งอันนี้ก็คือประโยชน์ที่เห็นได้ชัดของโหมด Super Resolution ซึ่งในงานก็มีบริเวณที่ทำมาให้ใช้ทดสอบประสิทธิภาพของโหมด Super Resolution ด้วยนะ ส่วนการถ่ายจริงๆ ก็ไม่ช้าจนเกินไป
อีกโหมดที่มีการปรับปรุงประสิทธิภาพก็คือโหมดถ่ายภาพในที่มีแสงน้อย (Low-light mode) ซึ่งหลักการมันก็คือการรวมเม็ดพิกเซล 4 เม็ดเข้าเป็นเม็ดเดียวกันในภาพ เพื่อเพิ่มแสงสว่างให้มากขึ้น ทำให้เราสามารถเก็บภาพได้ แต่ก็แลกมาด้วยรายละเอียดของภาพที่ลดลง 4 เท่า คิดง่ายๆ จากกล้อง Zenfone รุ่นแรก 8 ล้านพิกเซล เวลาเก็บภาพในโหมด low-light ก็จะเหลือความละเอียดแค่ 2 ล้านพิกเซลเท่านั้น แต่ใน Zenfone 2 นี้ให้กล้องหลังมาที่ 13 ล้านพิกเซล เลยทำให้สามารถเก็บภาพในโหมดนี้ได้ที่ความละเอียดสูงขึ้นเป็น 3 ล้านพิกเซลนั่นเอง ก็เรียกได้ว่าน่าจะอยู่ในระดับที่ใช้แชร์บนโซเชียลเน็ตเวิร์คได้ดีกว่าเดิมแล้วล่ะนะ
และแน่นอนว่า ASUS มีกล่องดำมาให้ทดสอบกันอีกเช่นเคยครับ สำหรับในภาพข้างบน ผมลองใช้ Zenfone 5 ส่องลงไป แล้วถ่ายภาพเก็บไว้ จะเห็นว่าภาพพรีวิวจากหน้าจอมันมืดมากๆ แต่ก็ยังพอมองเห็นอยู่บ้าง (กล้อง iPhone 6 แทบไม่เห็นอะไรเลย)
ส่วนภาพบนนี้เป็นหน้าจอพรีวิวภาพของ Zenfone 2 อันนี้บอกเลยว่าเห็นรายละเอียดที่ดีกว่า Zenfone 5 จริงๆ
ทีนี้มาดูภาพถ่ายที่ออกมากันครับ ภาพซ้ายจาก Zenfone 5 ส่วนภาพขวาจาก Zenfone 2 จะเห็นว่าภาพของ Zenfone 2 ดูสว่างกว่า รายละเอียดภาพออกมาดีกว่าเล็กน้อย
จากเท่าที่ทดสอบโหมดกล้องมาทั้งหมดนี้ เชื่อว่ามีหลายๆ ท่านอาจจะอยากทราบกันว่า แล้ว Zenfone รุ่นปัจจุบันจะได้อัพเดตมั้ย จะได้มาใช้งานบ้างหรือเปล่า ตรงจุดนี้อาจจะต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าน่าจะยากหน่อยครับ เพราะโหมดกล้องพวกนี้ต้องใช้พลังการประมวลผลของ CPU และ GPU ที่สูงและแรงเอาเรื่องอยู่ ถ้าเกิดมาใช้กับชิปรุ่นเก่า โดยเฉพาะ Intel Atom ของปีที่ผ่านมานี่อาจจะลำบากหน่อย เพราะตัว GPU มันไม่ค่อยแรงนัก ซึ่งจะทำให้การประมวลผลออกมาช้า ไม่ทันใจไปซะ
ปิดท้ายด้วยการเทียบหน้าตา Zenfone 5 สีแดงกับ Zenfone 2 สีแดงครับ เริ่มจากขนาดหน้าจอก็เห็นได้ชัดแล้วว่าต่างกัน เพราะ Zenfone 5 มีหน้าจอขนาด 5 นิ้ว ส่วน Zenfone 2 จะเป็น 5.5 นิ้ว ขอบจอก็บางกว่า ส่วนตัวเครื่องกลับไม่ใหญ่ไปกว่ากันเท่าไร คุณภาพของหน้าจอก็อาจจะเทียบกันตรงๆ ไม่ได้เท่าไหร่ครับ เพราะ wallpaper เป็นภาพคนละชุดกันเลย แต่ต้องบอกว่าจอของ Zenfone 5 ที่ว่าค่อนข้างดีอยู่แล้ว เจอของ Zenfone 2 ข่มได้อยู่เหมือนกันนะ เพราะตัวเครื่องที่เราพรีวิวเป็นรุ่นจอ Full HD ภาพนี่ออกมาเนียนกว่าจอ HD แบบพอสังเกตได้อยู่บ้างเหมือนกัน ส่วนของมุมมองจอก็ตามในภาพที่สามครับ ทำได้ดีพอๆ กัน
เมื่อลองเทียบความบางตัวเครื่อง ถ้าวัดที่บริเวณกึ่งกลางเครื่องจะเห็นว่ามันไม่ต่างกันเท่าไร Zenfone 2 ออกจะหนากว่าประมาณ 0.6 มิลลิเมตรด้วยซ้ำ แต่พอมาดูด้านข้างก็จะเห็นชัดเจนเลยว่าขอบข้างของ Zenfone 2 บางกว่าเป็นเท่าตัว จากนั้นก็จะค่อยๆ โค้งนูนเข้าไปหาตรงกลาง ซึ่งนอกจากจะทำให้ดีไซน์ดูสวยเพรียวบางแล้ว ยังได้ประโยชน์ในเรื่องของความสะดวกในการจับถือตามหลัก ergonomics อีกด้วย ทำให้เข้ารูปและกระชับมือพอดีเวลาจับถือ ซึ่งที่ผมลองเล่นๆ ดูก็จริงนะ รู้สึกว่าจับเครื่องได้กระชับมือกว่า Zenfone 5 พอสมควร แถมฝาหลังที่บรัชลายเป็นแฮร์ไลน์แบบโลหะก็ยังทำให้ฝาหลังไม่ลื่นจนเกินไปอีกด้วย ส่วนด้านบนจะเห็นว่าช่องเสียบแจ็คหูฟังอยู่ชิดตรงกลางค่อนข้างมาก อันนี้ก็เนื่องมาจากมันได้รับการออกแบบให้ใช้งานร่วมกับแฟลช Lolliflash ด้วยครับ เลยทำให้มันเข้ามาใกล้ตรงกลางขึ้นหน่อยนึง
สำหรับฝาหลังของ Zenfone 5 เทียบกับ Zenfone 2 ที่แม้ว่าจะเป็นสีแดงเหมือนกัน แต่ต้องบอกว่าโทนสีมันออกมาคนละแบบนะ ของ Zenfone 5 จะขุ่นๆ กว่าตามลักษณะของผิววัสดุที่เป็นพลาสติกที่ติดความเป็นซอฟท์ทัชมาหน่อยๆ เลยทำให้สีออกมาขุ่น ส่วนผิวของ Zenfone 2 นี่เป็นแดงเข้ม สีค่อนข้างสด ทั้งยังสะท้อนแสงในแบบคล้ายๆ โลหะอีกด้วย ดูแล้วพรีเมียมขึ้นจากรุ่นแรกอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนของลำโพงด้านหลังเครื่องก็ได้รับการปรับปรุงรายละเอียดบ้างเหมือนกันครับ เช่นในส่วนของช่องลำโพงที่ใช้เลเซอร์เจาะให้มีความละเอียดมากขึ้น ให้เสียงออกมาได้ดีและคมชัดกว่าเดิม ด้านของลำโพงภายในก็มีช่องขับเสียงที่ใหญ่ขึ้น 25% ให้เสียงที่ดังขึ้น ชัดกว่าเดิม อันนี้คงต้องรอพิสูจน์กันตอนรีวิวอีกทีนะ เพราะในงานเสียงค่อนข้างดัง เลยได้ยินไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ครับ แต่รู้สึกได้เลยว่าเสียงดัง เพราะผมสามารถฟังเสียงในเกม Asphalt 8 ได้ค่อนข้างชัดอยู่
ภาพจากการพรีวิวรอบพิเศษ
สำหรับภาพชุดนี้ ต้องบอกว่าพิเศษจริงๆ ครับ เพราะเป็นการพรีวิวลองเล่นตัวเครื่อง และอุปกรณ์เสริมทั้งหมดของ Zenfone 2 แบบไม่มีสายโยง แถมที่พิเศษสุดคือได้ลองเล่นโดยที่มีซีอีโอใหญ่และผู้บริหารของ ASUS เล่าเรื่องราวและพูดคุยถึงความพิเศษต่างๆ ของ Zenfone 2 ให้ฟังแบบส่วนตัวสุดๆ กันเลยทีเดียว มาชมภาพกันครับ
เรียกว่าได้ลองเล่น ลองจับอุปกรณ์เสริม Zenfone 2 กันเต็มที่เลยงานนี้ ยังไงก็รอติดตามชมบทความสัมภาษณ์ซีอีโอ ASUS กันด้วยนะครับ
ท้ายสุดนี้ก็ต้องขอขอบคุณทาง ASUS ประเทศไทยที่ชวนและอำนวยความสะดวกในการพาทีมงาน SpecPhone ไปร่วมงานเปิดตัว ASUS Zenfone 2 ที่อินโดนีเซียครั้งนี้ด้วยนะครับ อ้อ! แล้วก็ขอขอบคุณเพื่อนผมทีให้ยืม Zenfone 5 สีแดงมาใช้เทียบด้วยนะ เครื่องสวยมาก 5555 :p