
กระแสข่าวที่มาแรงสุดในช่วงนี้คงหนีไม่พ้นมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ที่หลายฝ่ายคาดการณ์กันว่าจะเป็นการนำทาง เพื่อให้แต่ละประเทศเข้ามาเปิดโต๊ะเจรจาต่อรอง ซึ่งจะส่งผลถึงการปรับดุลการค้าในวงกว้าง โดยหนึ่งในสินค้าที่มีความเป็นไปได้ว่าจะได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้ก็คือ iPhone ที่มีการใช้ชิ้นส่วนจากหลายประเทศ ล่าสุดได้มีสื่ออย่าง Wall Street Journal ได้ลองคำนวณต้นทุนการผลิต iPhone 16 Pro ความจุ 256GB ออกมา ว่าถ้าเจอมาตรการปรับภาษีนำเข้านี้ จะทำให้ราคาต้นทุนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าไหร่
ก่อนอื่น รายการด้านล่างนี้คือราคาต้นทุนแต่ละชิ้นส่วนหลักของ iPhone 16 รุ่น Pro ความจุ 256GB ซึ่งเป็นรุ่นยอดนิยมในแบบที่ยังไม่รวมภาษีนำเข้า
- ชิป A18 Pro = $90.85
- จอ = $37.97
- แบตเตอรี่ = $4.10
- โมเด็ม 5G = $26.62
- แรม = $21.80
- ชิปสตอเรจ $20.59
- ชุดกล้องหลัง = $126.95
- ตัวเคสชิ้นหลัก = $20.79
- ชิ้นส่วนอื่น ๆ รวมกัน = $200.06
รวมแล้วราคาเฉพาะชิ้นส่วนแบบยังไม่รวมภาษี ไม่รวมค่าวิจัยและพัฒนา ค่าการตลาด และค่าอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ฮาร์ดแวร์จะอยู่ที่ $549.73 และถ้ารวมค่าทดสอบกับค่าประกอบเข้าไปก็จะรวมเป็น $580 หรือประมาณ 20,200 บาท ซึ่งเรียกได้ว่า Apple ได้กำไรแบบเกือบครึ่งต่อครึ่งเลยก็ว่าได้ กับราคาขายปลีก 43,900 บาท
แต่ถ้าหากมีการปรับขึ้นภาษีจริง ด้วยอัตราภาษีนำเข้าจากประเทศจีนที่ถูกคำนวณแล้วออกมารวมเป็น 54% คาดว่าน่าจะทำให้ต้นทุนชิ้นส่วนของ iPhone รุ่นดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นราว $847 หรือประมาณเกือบ 30,000 บาทเลยทีเดียว ซึ่งในส่วนนี้ก็มีการคาดการณ์ว่า Apple น่าจะมีการสั่งปรับเพิ่มกำลังการผลิต iPhone ในอินเดียให้สูงขึ้น และอาจมีการผลิตสินค้ารุ่นอื่นเพิ่มเติมด้วย เนื่องจากภาษีนำเข้าอัตราใหม่จากนโยบายนี้ของอินเดียจะอยู่ที่ 26% เท่านั้น แม้จะถือว่าสูง แต่ก็ยังต่ำกว่าของจีนอยู่ดี