Close Menu
    Facebook X (Twitter) YouTube TikTok
    SpecPhone
    • ข่าวล่าสุด
    • รีวิว
    • ค้นหามือถือ
    • วิดีโอ
    • บทความ
    • ติดต่อเรา
    Facebook YouTube TikTok X (Twitter)
    SpecPhone
    Home»Editorial»ไขข้อข้องใจ iPhone 11 เล่นเกมได้นานขนาดไหน แบตอึดจริงมั้ย น่าจะอยู่ได้ซักกี่ชั่วโมง
    Editorial

    ไขข้อข้องใจ iPhone 11 เล่นเกมได้นานขนาดไหน แบตอึดจริงมั้ย น่าจะอยู่ได้ซักกี่ชั่วโมง

    ZeroSystemBy ZeroSystem27 พฤศจิกายน 2019
    Facebook Twitter Pinterest LinkedIn Tumblr Email
    Share
    Facebook Twitter LinkedIn Pinterest Email

    ย้อนไปซักตั้งแต่ 2 ปีที่ืแล้วเป็นต้นไป ปัญหาหนึ่งที่อยู่คู่กับ iPhone มาเสมอ ๆ เลยก็คือเรื่องของระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ ที่อาจจะไม่ได้ยาวนานจนเพียงพอสำหรับการใช้งานแต่ละวันโดยไม่ต้องชาร์จ ต่างกับฝั่ง Android ที่ทำได้ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่พอมาในยุคหลัง ๆ ฝั่ง iPhone เองก็แก้ไขในจุดนี้ให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนมาเห็นชัดสุดใน iPhone XR ที่หลายคนให้การยอมรับว่าแบตมันอึดอย่างเหลือเชื่อ จนมาใน iPhone 11 ที่เป็นรุ่นสืบทอดต่อมาจาก iPhone XR ทาง Apple เองก็ระบุว่ามีแบตเตอรี่ที่ใช้ได้นานกว่า XR อีก 1 ชั่วโมง จึงเป็นที่คาดหวังว่ามันจะเป็น iPhone แบตอึดได้จริง ๆ เสียที

    ซึ่งในบทความนี้ก็เป็นส่วนของการรีวิวแบตเตอรี่ของ iPhone 11 จากการเล่นเกมแบบเต็ม ๆ ดูบ้างครับ แต่ก่อนจะไปพูดถึงผลการทดสอบ มาดูกันก่อนว่า มีสาเหตุใดบ้างที่ iPhone ในยุคก่อน ๆ มีแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ไม่ยาวนานมากนัก เมื่อเทียบกับฝั่ง Android

    ความจุแบตเตอรี่

    นับเป็นประเด็นที่เห็นชัดที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะ iPhone ในยุคก่อน ๆ นั้นมักให้แบตเตอรี่ที่ความจุน้อยกว่าชาวบ้านอย่างชัดเจน ดังข้อมูลในตารางด้านล่างนี้

    ถ้าเทียบความจุแบตเตอรี่ที่ใส่มาใน iPhone แต่ละรุ่นกับทางตัวแทนเรือธงฝั่ง Android ซึ่งในที่นี้ขอเลือกเป็น Samsung Galaxy S เนื่องจากเป็นซีรีส์ระดับท็อปที่มีออกมาต่อเนื่องทุกปี ก็จะเห็นความแตกต่างด้านความจุแบตอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นไป แต่พอเข้าช่วงปี 2014 ที่ทาง iPhone เริ่มมีรุ่น Plus จอใหญ่เข้ามา ความจุแบตก็เข้ามาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับ Galaxy S รุ่นปกติในแต่ละปีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเข้าสู่ในช่วงปีหลังมานี้เอง ที่ความจุแบต iPhone เข้ามาอยู่ในระดับเดียวกับ Galaxy S เสียที จะต่างกันก็ไม่มากนัก

    ดังนั้นจึงไม่แปลกครับ ที่ iPhone รุ่นเก่า ๆ จะมีระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ที่ไม่นานเท่ากับสมาร์ตโฟนรุ่นอื่น แม้ว่าตัว iOS จะได้รับการปรับแต่งให้มีประสิทธิภาพต่อการใช้พลังงานที่ดีก็ตาม แต่ด้วยความจุที่ต่ำกว่า จึงเป็นเรื่องปกติที่แบตจะหมดเร็วกว่าฝั่ง Android

     

    แรมที่น้อยกว่า = ภาระที่ตกกับ CPU มากขึ้น = ใช้แบตมากขึ้น

    หน้าที่ของแรมก็คือเป็นหน่วยความจำหลักของระบบ เพื่อเก็บข้อมูลของระบบและแอปพลิเคชันที่อยู่ในระหว่างการทำงานอยู่ โดยระบบจะทำการเก็บแอปและสถานะการทำงานต่าง ๆ ของแอปที่ใช้งานเป็นลำดับล่าสุดเอาไว้ในแรม เพื่อให้พร้อมสำหรับการเรียกกลับมาใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องให้ CPU และระบบไปโหลดข้อมูลจากพื้นที่เก็บข้อมูล (storage) ใหม่ ซึ่งถ้าพื้นที่แรมถูกใช้งานเต็มแล้ว ระบบก็จะต้องไล่ปิด process ที่ค้างเก่าอยู่ออกไป ทำให้หากผู้ใช้งานต้องการกลับมาใช้แอปที่ถูก kill process ออกไปแล้ว ระบบจะต้องไปโหลดข้อมูลมาประมวลผลใหม่ทั้งหมด ซึ่งการที่ต้องโหลดใหม่ทั้งระบบนี้จะใช้พลังงานมากกว่า เพราะต้องไปดึงข้อมูลมาใหม่ รันแอปใหม่ทั้งชุด รวมถึงอาจต้องโหลดข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตเพิ่มด้วย

    ทีนี้ iPhone ในอดีตขึ้นชื่อว่าให้แรมมาน้อยสุด ๆ ในขณะที่ฝั่ง Android ให้มาแล้ว 2GB 3GB แต่ฝั่ง iPhone ยังให้มามากสุดก็แค่ 1GB เท่านั้น ทำให้ผู้ใช้หลายคนพบว่า iPhone แอบ kill process ของแอปเบื้องหลังไปหลายตัว เนื่องจากพื้นที่แรมเต็ม ต่างจากฝั่ง Android ที่มีแรมมากกว่า ก็เท่ากับมีพื้นที่เก็บข้อมูลได้มากกว่า การสลับใช้งานแอปก็เร็วกว่า และแน่นอนว่าส่งผลให้ CPU ไม่ต้องรับภาระหนักในการโหลดแอปขึ้นมาใหม่บ่อย ๆ ช่วยให้อัตราการใช้แบตลดลงไปด้วยพร้อมกัน เนื่องจากการเก็บข้อมูลไว้ในแรม มันใช้ไฟต่ำกว่าการให้ CPU ประมวลผลเพื่อรันโค้ดคำสั่งเยอะ

    แต่พอเป็นในปัจจุบัน ต้องบอกว่าสเปคของ iPhone นั้นขึ้นมาอยู่ในระดับที่ไม่น่าเกลียดเหมือนแต่ก่อนแล้ว โดยเฉพาะปริมาณแรมและความจุแบตเตอรี่ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าฝั่ง Android มากนัก (แต่ก็ยังต่ำกว่าหน่อย ๆ ในบางจุด) ส่วนด้านของชิปประมวลผล Apple เองก็พัฒนาขึ้นมาได้ดีขึ้นทุกปี ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพที่อยู่ในระดับท็อป การออกแบบสถาปัตยกรรมให้มีการแยกส่วนการทำงานชัดเจนขึ้น เช่น การแยกชุดคำสั่งที่ใช้ประมวลผลด้าน neural network โดยเฉพาะ เพื่อการทำงานที่เร็วกว่าในแง่การทำงานเฉพาะทาง ทั้งยังช่วยลดภาระตัวคอร์ประมวลผลหลักลง และมีประสิทธิภาพการทำงานต่อพลังงานที่ใช้ที่ดีขึ้นด้วย

    ทีนี้มาดูผลจากการทดสอบแบตเตอรี่ iPhone 11 ในการเล่นเกมดูบ้างครับ โดยในการทดสอบ เครื่องที่ใช้ก็คือเครื่องที่ใช้งานเป็นเครื่องหลัก ลงแอปที่ใช้ประจำและเปิดใช้งานเต็มที่ ส่วนการตั้งค่าและสถานะต่าง ๆ ของตัวเครื่องเป็นดังนี้

    • แบตเตอรี่ตอนเริ่มทดสอบอยู่ที่ 80%
    • เชื่อมต่อ WiFi
    • เชื่อมต่อ Bluetooth เข้ากับสมาร์ตวอทช์
    • ใช้งาน cellular ตามปกติ
    • เปิดเสียงประมาณ 20%
    • ความสว่างหน้าจอแบบปรับอัตโนมัติ
    • ไม่ได้เปิดโหมดประหยัดพลังงานและโหมดห้ามรบกวน

     

    Call of Duty: Mobile

    เกมแรกที่ทดสอบก็คือ Call of Duty: Mobile ได้ขึ้นชื่อว่ากินสเปคพอสมควรครับ การตั้งค่ากราฟิกและเฟรมเรตอยู่ในระดับสูงสุด แต่ปิด effect ส่วนใหญ่ไปตามการตั้งค่าเริ่มต้นของเกม โดยเล่นในโหมด Multiplayer แบบ Frontline หลายแมทช์ติดต่อกันเป็นเวลา 1 ชั่วโมง

    ผลที่ได้: แบตเตอรี่ลดไป 19%

    สองภาพในฝั่งซ้ายคือภาพที่แคปไว้ตอนก่อนจะเปิดเกมขึ้นมาครับ จากเดิมในตอน 13:23 น. มีแบตเตอรี่อยู่ 80% ส่วนสองภาพถัดมาเป็นเวลา 14:24 น. แบตเตอรี่เหลือ 61% ดังนั้น เท่ากับว่าถ้าเริ่มเล่นตอนแบตเต็ม iPhone 11 น่าจะสามารถเล่นเกม Call of Duty: Mobile ติดต่อกันได้ราว ๆ 5 ชั่วโมง ด้วยการตั้งค่าตัวเครื่องและตัวเกมแบบที่กล่าวไปข้างต้น

     

    RoV

    หลังจบจาก Call of Duty: Mobile ผมก็เข้าไปโหลดเกม RoV จากใน App Store แล้วเปิดเล่นต่อทันทีครับ การตั้งค่ากราฟิกทุกอย่างปรับอยู่ในระดับสูงสุด ส่วนการตั้งค่าตัวเครื่องก็ยังคงใช้แบบเดียวกับตอนแรกเลย

    ผลที่ได้: แบตเตอรี่ลดไป 19%

    ก็เป็นผลที่น่าตกใจเหมือนกันครับที่ RoV 1 ชั่วโมงก็กินแบตเท่ากับ COD เลย โดยในตอนเริ่มเล่นที่เวลา 14:39 น. แบตเตอรี่อยู่ที่ 58% เล่นเกมผ่านไป 1 ชั่วโมงนิด ๆ ที่เวลา 15:40 น. แบตลดลงมาเหลือ 39% ดังนั้นก็พอประมาณได้ว่าถ้า iPhone 11 แบตเต็ม ด้วยการตั้งค่าดังกล่าวก็น่าจะทำให้สามารถเล่นเกม RoV ได้เกือบ ๆ 5 ชั่วโมง

     

    PUBG Mobile

    ปิดท้ายด้วยอีกเกมยอดนิยมอย่าง PUBG Mobile ครับ สำหรับการตั้งค่ากราฟิกในเกมก็จะใช้ที่ระดับ HDR เฟรมเรตระดับ Ultra พอ (สามารถปรับสูงสุดได้ที่ระดับ Extreme)

    ผลที่ได้: แบตเตอรี่ลดไป 18%

    ในตอนเริ่มเปิดเกมขึ้นมา แบตเตอรี่อยู่ที่ 93% หลังจากเล่น PUBG Mobile ไปประมาณ 1 ชั่วโมง แบตเตอรี่ก็เหลือที่ 75% ซึ่งก็อยู่ในระดับเดียวกับทั้งเกม COD และ RoV เลย ซึ่งถ้าให้ประเมินคร่าว ๆ ถ้าเริ่มเล่นจากตอนแบตเต็ม iPhone 11 ก็น่าจะเล่นในระดับการตั้งค่าแนว ๆ นี้ได้เกือบ 5 ชั่วโมงเช่นกัน

    ก็น่าจะช่วยไขข้อข้องใจได้พอสมควรนะครับว่า iPhone 11 แบตอึดขนาดไหน เล่นเกมได้นานมั้ย เอาไว้ถ้ามีเวลา ทางทีมงานจะลองกับในรุ่นอื่น ๆ ดูบ้างนะครับ

    Apple iPhone iPhone 11
    Share. Facebook Twitter Pinterest LinkedIn Tumblr Email
    ZeroSystem

    Related Posts

    รวมโทรศัพท์ OPPO ใหม่ล่าสุดทุกรุ่นปี 2025 มีรุ่นไหนราคาเท่าไหร่บ้างช่วงกลางปีนี้

    22 พฤษภาคม 2025

    รวมโปรย้ายค่าย AIS ย้ายค่ายเบอร์เดิม AIS ปี 2568 เน็ตไม่ลดสปีด และเน็ตเต็มสปีดคุ้มๆ แบบรายเดือนเริ่มต้น 399 บาท

    22 พฤษภาคม 2025

    Q1’25 ตลาดหูฟังไร้สายยังโตต่อเนื่อง AirPods ยังครองเบอร์ 1 ส่วนแบ่งตลาด

    22 พฤษภาคม 2025

    Comments are closed.

    หัวข้อทั้งหมด

    รวมโทรศัพท์ OPPO ใหม่ล่าสุดทุกรุ่นปี 2025 มีรุ่นไหนราคาเท่าไหร่บ้างช่วงกลางปีนี้

    22 พฤษภาคม 2025

    รวมโปรย้ายค่าย AIS ย้ายค่ายเบอร์เดิม AIS ปี 2568 เน็ตไม่ลดสปีด และเน็ตเต็มสปีดคุ้มๆ แบบรายเดือนเริ่มต้น 399 บาท

    22 พฤษภาคม 2025

    Q1’25 ตลาดหูฟังไร้สายยังโตต่อเนื่อง AirPods ยังครองเบอร์ 1 ส่วนแบ่งตลาด

    22 พฤษภาคม 2025

    ผล AnTuTu ชิป XRing O1 ใน Xiaomi 15S Pro มาแล้ว เฉือน SD8 Elite

    22 พฤษภาคม 2025

    มือถือรุ่นยอดนิยม

    Honor X7

    Honor X7

    6,299 บาท
    Honor X8

    Honor X8

    7,999 บาท
    Honor X9

    Honor X9

    9,299 บาท
    HTC Desire 22 Pro

    HTC Desire 22 Pro

    0 บาท
    Huawei Nova 10 Pro

    Huawei Nova 10 Pro

    24,990 บาท
    ดูมือถือทั้งหมด
    Facebook YouTube TikTok X (Twitter)

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.

    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

    ยอมรับ
    X