ใครที่เจอปัญหาโทรศัพท์หาย ไม่ว่าจะวางลืมเอาไว้ ทำหล่นหาย หรือว่าโดนขโมยไปตอนไหนก็ไม่รู้ ลองมาดูวิธีตามหามือถือกันแบบง่ายๆ ทั้งบนระบบ iOS และ Android ไม่จำเป็นต้องใช้แอปฯ ช่วยให้เสียเวลา เพราะเดี๋ยวนี้มือถือรุ่นใหม่ๆ ก็ได้ทำฟีเจอร์มารองรับกรณีนี้อยู่แล้ว ช่วยให้เราใช้งานได้ง่ายขึ้น เพียงแค่มีมือถือ คอมฯ หรือแท็ปเล็ตที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ไวไว ก็สามารถตามหาโทรศัพท์ที่หายไปได้แล้ว
เรื่องของมือถือหายนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวเลย สำหรับคนที่ใช้งานมือถืออยู่เป็นประจำ ถึงแม้ว่าเราจะถือไว้กับมือ หรือว่าใส่ไว้ในกระเป๋าอย่างรอบคอบดีแล้วก็ตาม แต่ถ้าหากเผลอนิดเดียว มือถือที่มีอยู่ก็อาจจะหาย หรือโดนขโมยไปได้อยู่ดี ทางที่ดีที่สุดก็คือการป้องกันเบื้องต้นเอาไว้ก่อน เผื่อมีวันไหนที่โทรศัพท์นั้นหายไป จะได้รีบตามหาได้ทัน ก่อนที่จะสายเกินไป และไม่สามารถตามหามือถือได้อีกเลย เดี๋ยววันนี้ทาง Specphone จะมาบอกวิธีการป้องกันเบื้องต้น และถ้าโทรศัพท์หายทำไงดี พร้อมวิธีตามหามือถือหายหรือโดนขโมยแบบง่ายๆ และใช้เวลาไม่นานก็ตามหามือถือที่หายเจอแล้ว ตามมาดูแล้วทำตามกันได้เลย
วิธีป้องกันเบื้องต้นก่อนโทรศัพท์หาย
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบด้วย Email ก่อนใช้งาน
อย่างที่บอกไปว่าควรป้องกันเอาไว้ก่อน ดีกว่ามาเสียใจทีหลังที่ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว โดยวิธีการป้องกันเบื้องต้นอย่างแรกเลยก็คือ การเข้าสู่ระบบตัวเครื่อง หรือการลงทะเบียนตอนเริ่มใช้งานครั้งแรกนั่นเอง เมื่อเราเปิดใชเงานครั้งแรก ระบบจะให้ใส่ข้อมูล Email ก่อนใช้งานทุกครั้ง ถ้าเป็นของ iPhone ก็ให้ใช้ Apple ID ในการลงทะเบียน (อ่านต่อ.. วิธีสมัคร Apple ID) แต่ก็เป็นของระบบ Android ก็จะให้ใช้ Gmail ในการลงทะเบียน ตรงนี้อาจจะดูเหมือนไม่สำคัญเท่าไหร่ แต่ความจริงแล้วเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และเป็นสิ่งที่ช่วยตามหามือถือได้เป็นอย่างดีเลย
โหลดแอปฯ ตามหามือถือมาใช้งาน
โดยปกติแล้วมือถือแต่ละระบบ จะมีแอปฯ ติดตามมือถือมาให้อยู่แล้ว เพื่อป้องกันกรณีที่โทรศัพท์หาย จะได้ตามหาโทรศัพท์ได้ทันที ผ่านตัวแอปฯ ที่ใช้งานอยู่ ถ้าเครื่องไหนไม่มี ก็แนะนำว่าให้โหลดมาใช้งานไว้เลย อย่างน้อยถ้ามือถือไม่ได้หาย ก็ยังช่วยติดตามตัวคนในครอบครัวได้ด้วย โดยแอปฯ ตามหามือถือของแต่ละระบบก็จะมีแอปฯ ที่ต่างกันไปด้วย ดังนี้
- iOS ใช้แอปฯ Find My iPhone (ดาวน์โหลดที่นี่)
- Android ใช้แอปฯ Find My Device (ดาวน์โหลดที่นี่)
- Samsung ใช้แอปฯ Find my Mobile
สิ่งสำคัญในการใช้แอปฯ เหล่านี้เลยก็คือ ต้องเข้าสู่ระบบและเปิดกรใช้งานทิ้งเอาไว้ก่อนเลย พร้อมกับการเปิด GPS หรือ Location Service เอาไว้ด้วย ไม่ต้องกลัวว่าแบตจะหมดไว เพราะเดี๋ยวนี้มือถือทุกรุ่นได้พัฒนาการใช้งานตรงนี้แล้ว หรือถ้ากลัวว่าแบตจะหมดไวจริงๆ ก็แนะนำว่าให้ตั้งค่าเปิดการใช้งาน Location Service แค่ตอนใช้งานก็ได้ แต่ทางที่ดีให้เปิดตลอดไปเลยก็ได้ ดีกว่ามือถือหายแล้วหาไม่เจอ
ตั้งรหัสหน้าจอมือถือ
การตั้งรหัสหน้าจอมือถือ อาจเป็นสิ่งที่ใครหลายคนมองข้ามไป แต่ความจริงแล้วการตั้งรหัสหน้าจอนั้น มีความสำคัญมาก เพราะถ้าหากว่าไม่ได้ตั้งอะไรไว้เลย แล้วเกิดลืมหรือทำโทรศัพท์หาย จะโดนปิดเครื่องหรือล้างข้อมูลง่ายมากๆ ทางที่ดีก็ควรที่จะต้องตั้งรหัสหน้าจอเอาไว้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการสแกนใบหน้า สแกนลายนิ้วมือ ตั้งรหัสด้วยเลข หรือการวาดเส้นก็ช่วยได้เบื้องต้นเช่นกัน
เก็บกล่องมือถือไว้
สุดท้ายเลยก็คือ การเก็บกล่องมือถือเอาไว้ด้วย เพราะว่ากล่องนั้นจะมีเลข Serial Number, IMEI และ MEID ของตัวเครื่องอยู่ด้วย หรือถ้าใครที่ซื้อมือสองมาแล้วไม่มีกล่อง ก็ให้จดเลขเครื่องของเราเอาไว้ เพราะเลขเหล่านี้ใช้เป็นหลักฐานในการตามหาเครื่อง จากโอเปอร์เรเตอร์ค่ายต่างๆ ได้ด้วย
ตามหามือถือของ iOS
สำหรับคนที่ใช้งานระบบ iOS เมื่อสมัยแรกๆ ตัวระบบเองนั้นจะมีแอปฯ ที่ติดเครื่องมาด้วยอยู่แล้วนั่นก็คือแอปฯ Find My iPhone จนมาถึงในปัจจุบัน ก็ยังคงมีการพัฒนาออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ใช้งานอย่างเรามั่นใจได้ว่า หากโทรศัพท์หายไปแล้ว ก็จะตามหาเครื่องนั้นได้อย่างแน่นอน โดยการเชื่อมต่อตัวแอปฯ เข้ากับ iCloud และสามารถเชื่อมต่อเพื่อค้นหาอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ Apple ID ตัวเดียวกันได้ทั้ง iPhone, iPad, iPod touch หรือ Mac นอกจากนี้ยังสามารถค้นหาเครื่องให้คนในครอบครัว หรือเพื่อนได้ด้วย ถ้าเข้าสู่ระบบแบบเป็นกลุ่มไว้ ซึ่งสิ่งที่ต้องทำก็คือให้เข้าสู่ระบบ Find My iPhone ทิ้งเอาไว้เลย แต่ถ้าลืมเข้าสู่ระบบไว้จะตามได้เหมือนกัน แต่ยากกว่า ทางที่ดีก็ควรที่จะป้องกันเบื้องต้นเอาไว้ วิธีตามหามือถือมีดังนี้
**ถ้าถูกปิดเครื่อง หรือแบตหมดจะยังคงตามหาได้ภายใน 24 ชั่วโมงจากตำแหน่งล่าสุด**
1. เข้าสู่ระบบผ่านทางเว็บ iCloud.com/find ทางไหนก็ได้ทั้งคอมฯ หรือถ้าต้องการแบบเร่งด่วนให้เข้าสู่ระบบผ่านมือถือ หรืออุปกรณ์ Apple เครื่องอื่นได้เลย
2. หลังจากเข้าสู่ระบบแล้ว ให้เลือกอุปกรณ์ที่ต้องการตามหาเช่น iPhone, iPad, iPod touch หรือ Mac ที่ได้เข้าสู่ระบบเอาไว้แล้ว ถ้าใช้เครื่องอื่นในการค้นหา เราสามารถเลือกตามหาให้คนในครอบครัวหรือเพื่อนได้ด้วย
3. จากนั้นให้เลือกดูตำแหน่งของอุปกรณ์ หรือโทรศัพท์ที่ต้องการค้นหา เปิดตำแหน่งได้ในทันที นอกจากนี้ถ้าเครื่องอยู่ใกล้ๆ ตัว จากตำแหน่งที่เราอยู่ เราสามารถกดเปิดเสียงตัวเครื่องได้ด้วย จะได้ตามหาได้ง่ายขึ้น (แนะนำว่าให้เข้าใกล้ตัวเครื่องก่อน เดี๋ยวแบตหมด)
4. หากคิดว่ามือถือที่หายนั้นถูกขโมยไป หรือมีคนเก็บได้แล้วกังวลว่าข้อมูลในมือถือจะถูกนำไปใช้งาน เราสามารถกดใช้ฟีเจอร์ระบุว่าเครื่องสูญหายได้ด้วย เมื่อกดใช้งานแล้ว ระบบจะทำการล็อคอุปกรณ์ให้ทันที หรือว่าถ้าอยากให้คนที่เก็บเครื่องได้นำมาคืน เราก็สามารถใส่ข้อความที่กำหนดได้เอง รวมไปถึงการใส่เบอร์ให้โทรกลับมาหาเราได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังสามารถระงับ Apple Pay ทั้งหมดในเครื่องได้ผ่านการใช้งาน “โหมดสูญหาย”
นอกจากนี้ถ้าหากว่าเราตัดใจที่จะค้นหามือถือ หรือคิดว่าไม่ได้คืนแล้วแน่ๆ เราสามารถลบข้อมูลของอุปกรณ์ที่สูญหายระยะไกลได้ด้วย ซึ่งวิธีนี้เมื่อลบข้อมูลไปแล้ว จะไม่สามารถค้นหาอุปกรณ์หรือมือถือได้อีกต่อไป รวมไปถึงการล็อคเครื่องทั้งหมดก็จะถูกปิดลงไปด้วย หมายความว่าคนที่ขโมยหรือเก็บมือถือไปได้ ก็จะใช้งานเครื่องเราได้ปกติ เน้นย้ำว่าการลบข้อมูลนี้ไม่สามารถยกเลิกได้ ถ้ายังไม่ตัดใจค้นหาเครื่องอยู่ ก็อย่าลบข้อมูลทั้งหมดทิ้ง
การค้นหาด้วยวิธีข้างต้นที่แนะนำไปนั้น จะเป็นวิธีค้นหาแบบเร่งด่วนในกรณีที่มือถือยังไม่ได้ถูกปิดเครื่องหรือแบตหมด และถึงแม้ว่าจะถูกปิดเครื่องไปแล้วก็ตาม จะยังคงค้นหามือถือได้อยู่ภายใน 24 ชม. จากตำแหน่งล่าสุดที่ค้นหา แต่ถ้าเกิน 24 ชม. ไปแล้ว หรือว่าไม่ได้เข้าสู่ระบบใน Find My iPhone เอาไว้ตั้งแต่แรก สามารถได้ตามขั้นตอนดังนี้
- เปลี่ยนรหัสผ่าน Apple ID และทุกบัญชีการใช้งานใน Social Media หรือ Email ทั้งหมดก่อน เพื่อเป็นการป้องกันการเข้าถึงข้อมูลเบื้องต้น
- แจ้งความกับตำรวจ ที่สน. ตามพื้นที่ที่ใกล้บ้านหรือใกล้บริเวณที่หาย โดยการนำตัวเลข IMEI และ MEID จากข้างกล่องมือถือ หรือที่ได้จดเอาไว้ (ถ้ามีใบเสร็จในการซื้อให้นำไปด้วย) แต่ถ้าหากไม่ได้เก็บกล่องเอาไว้ หรือหาไม่เจอแล้ว ให้ลองเข้าไปใน Finder หรือ iTunes บนคอมฯ เพราะถ้าหากเชื่อมต่อเอาไว้ ก็จะสามารถเปิดดูเลขได้เช่นกัน
ซึ่งต้องบอกก่อนว่า วิธีค้นหาแบบขั้นสุดท้ายแบบแจ้งความกับตำรวจนั้น ไม่รับประกันว่าจะสามารถตามหามือถือได้ 100% เพราะขึ้นอยู่กับทางตำรวจด้วย ว่าจะดำเนินการให้เร็วแค่ไหน ทางที่ดีก็คือการเข้าสู่ระบบ Find My iPhone เอาไว้ และทำตามวิธีที่เราได้บอกไปจะดีที่สุดแล้ว หรือถ้าใครมีประกันกับ AppleCare+ ก็สามารถเรียกร้องจาก Apple เพื่อให้ศูนย์ได้ทำการปิดการใช้งานบัญชี เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดได้เลย
ตามหามือถือของ Android
มาที่ฝั่งของ Android กันบ้าง โดยการตามหาโทรศัพท์ในกรณีที่โทรศัพท์หายไปแล้ว ส่วนใหญ่ทางระบบจะมี Google ติดมากับเครื่องอยู่แล้ว ให้เข้าสู่ระบบตอนใช้ครั้งแรกเลย ซึ่งตรงนี้สำคัญมาก เพราะว่าการเข้าสู่ระบบเอาไว้ เราจะสามารถหามือถือได้ทันที โดยการเข้าไปยังเว็บ Google Chrome (หรือเข้าสู่ระบบ Google Chrome เอาไว้) แล้วค้นหา หรือถ้าอยากป้องกันเอาไว้ก่อน ก็ให้ใช้แอปฯ Find My Device ของ Google แล้วเข้าสู่ระบบ พร้อมกับการอนุญาตให้เข้าถึงตำแหน่งทิ้งเอาไว้เลย จะได้ตามหาได้ง่ายเมื่อโทรศัพท์หาย และควรตั้งค่าผ่าน Setting > Security > Find My Device (ถ้าหาไม่เจอให้ค้นหาคำที่เกี่ยวกับ Security) และเปิดการใช้งานก่อนเสมอ ส่วนวิธีค้นหามีดังนี้
1. กดเข้าไปยังเว็บ Google ผ่าน Google Chrome (หรือบราวเซอร์อื่น) และเข้าสู่ระบบด้วย Email เดียวกับที่ได้ลงทะเบียนไว้กับเครื่อง จากนั้นให้ค้นหาด้วยคำว่า Find My Device หรือ ตามหามือถือ ก็จะมีข้อมูลโทรศัพท์และตำแหน่งของเราขึ้นมาให้ทันที หรือเข้าไปยังเว็บ google.com/android/find และเข้าสู่ระบบด้วย Email เดียวกันก็จะมีข้อมูลขึ้นมาให้เหมือนกัน
2. เมื่อเข้าสู่ระบบแล้ว เราสามารถเลือกอุปกรณ์ที่ต้องการตามหาได้ด้วย และก็ยังมีข้อมูลอื่นๆ บอกเอาไว้อีก ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่ ข้อมูลตัวเครื่องและเลข EMEI การเชื่อมต่อต่างๆ และที่สำคัญคือตำแหน่งของตัวเครื่องที่สามารถดูได้ทันทีว่าอยู่ตำแหน่งไหน
นอกจากนี้ยังสามารถใช้ฟีเจอร์อื่นๆ ภายในหน้าเว็บเพื่อช่วยในการค้นหาได้อีกด้วย จะมีอยู่ด้วยกัน 3 ฟีเจอร์หลักๆ คือ
- เล่นเสียง – กดเพื่อเปิดเสียงหากพบว่ามือถืออยู่ใกล้ๆ แล้วหาไม่เจอ โดยจะมีเสียงดังเป็นเวลา 5 นาที ถึงแม้ว่าจะปิดเสียงไว้ ก็ยังกดเปิดเสียงได้
- รักษาความปลอดภัยของอุปกรณ์ – กดเพื่อล็อคอุปกรณ์ที่ตามหาเพื่อความปลอดภัย และออกจากระบบของ Google พร้อมกับแสดงข้อความ หรือเบอร์ติดต่อบนหน้าจอของมือถือ (ถึงจะออกจากระบบแต่ยังค้นหาได้อยู่)
- ล้างข้อมูลในเครื่อง – กดเพื่อลบข้อมูลทั้งหมดภายในเครื่อง และเมื่อกดแล้วจะไม่สามารถติดตาม หรือค้นหาตำแหน่งได้อีกเลย (ถ้าอยากตามหาอยู่ ไม่ต้องกด)
การตามหาโทรศัพท์หายของ Android นั้นจะมีวิธีที่ค่อนข้างง่าย และค้นหาได้ทันทีเมื่อเข้าสู่ระบบด้วย Gmail ที่ได้ใช้งานอันเดียวกับเครื่อง และสามารถใช้มือถือหรือคอมฯ ในการค้นหาแบบ Real Time แต่อย่าลืมว่าต้องเข้าสู่ระบบ หรือใช้แอปฯ ป้องกันไว้อีกทาง รวมไปถึงการเชื่อมต่อเน็ตเอาไว้ จะได้ตามหาโทรศัพท์หายได้ง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ตามหามือถือของ Samsung
สุดท้ายคือการตามหามือถือของ Samsung ที่ถึงแม้ว่าจะเป็น Android เหมือนกัน แต่ทาง Samsung ก็ได้ทำแอปฯ ของตัวเองออกมาเพื่อรองรับในกรณีที่โทรศัพท์หายเช่นกัน ซึ่งแอปฯ ตัวนี้จะมีติดเครื่องมาให้เลยก็คือ Find my Mobile ที่หาได้ทั้งโทรศัพท์ Tablet, Ear Buds, Smartwatch และอุปกรณ์ทั้งหมดของ Samsung (ที่เชื่อมต่อได้) โดยให้เรานั้นเข้าสู่ระบบภายในแอปฯ เอาไว้เสมอ พร้อมกับการอนุญาตให้เข้าถึงตำแหน่งเอาไว้ด้วย จะได้ตามหาได้ง่ายยิ่งขึ้น วิธีตามหามือถือ Samsung มีวิธีดังนี้
1. เข้าไปยังเว็บ findmymobile.samsung.com แล้วทำการเข้าสู่ระบบด้วย Samsung Account ที่ได้ลงทะเบียน และเข้าสู่ระบบไว้ในแอปฯ (ใช้ Email เดียวกัน)
2. เลือกเมนู Track Location เพื่อหาตำแหน่งของมือถือ และดูตำแหน่งที่อยู่ล่าสุดของตัวเครื่อง เราก็จะรู้ได้ทันทีว่ามือถือนั้นอยู่ตรงไหน นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์อื่นๆ ที่ให้ใช้งานร่วมกับการค้นหาอีกด้วย
ฟีเจอร์อื่นเพื่อช่วยตามหามือถือของ Samsung จะมีให้เลือกใช้งานหลายอย่างมาก ได้แก่
- Ring – กดเพื่อตามหามือถือ (เมื่ออยู่ใกล้ตำแหน่ง) โดยมือถือจะส่งเสียงดังออกมาเป็นเวลา 1 นาที ถึงแม้ว่าจะปิดเสียงอยู่ก็ตาม
- Lock – กดเพื่อล็อคมือถืออีกขั้น และจะช่วยป้องกันการปิดเครื่องได้ด้วย พร้อมกับแสดงข้อความ หรือเบอร์ติดต่อขึ้นบนหน้าจอ เพื่อให้คนที่เก็บได้ติดต่อกลับมา
- Track Location – กดเพื่อดูตำแหน่งที่อยู่ของมือถือล่าสุด ซึ่งจะอัพเดทตำแหน่งทุกๆ 15 นาที
- Erase Data – กดเพื่อลบข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ในตัวเครื่อง และ SD Card แบบถาวร (ถ้ากดแล้ว ไม่สามารถกู้คืนได้อีก) และลบข้อมูลบัญชีที่ผูกไว้ในเครื่องทั้งหมดด้วย
- Back Up – กดเพื่อให้ระบบทำการสำรองข้อมูลส่งไปยัง Samsung Cloud โดยจะใช้เน็ตจากตัวเครื่องเพื่อสำรองข้อมูล
- Retrieve Calls / Message – กดเพื่อตรวจเช็คการโทรเข้า-โทรออก และข้อความ เพื่อติดตามว่าคนที่เก็บได้ หรือคนที่ขโมยใช้โทรไปที่เบอร์ไหนบ้าง
- Unlock – กดเพื่อปลดล็อคหน้าจอของมือถือ ถ้ากดแล้วคนที่เจอหรือเก็บเครื่องไปจะเข้าถึงตัวเครื่องได้ทั้งหมดด้วย (เอาไว้ใช้ในกรณีที่ลืมรหัสขงตัวเอง)
- Extend Battery Life – กดเพื่อให้มือถือเข้าโหมดยืดอายุของแบต เพื่อจะได้ทำการค้นหามือถือได้นานยิ่งขึ้น ควรกดหลังจากที่สำรองข้อมูลแล้ว เพราะเมื่อกดจะไม่สามารถสำรองข้อมูลได้
- Set Guardians – กดเพื่อส่งข้อมูลไปยังเครื่องของคนในครอบครัว หรือเพื่อน เพื่อช่วยให้สะดวกในการค้นหาได้มากขึ้น
- อื่นๆ – กดเพื่อติดตามตัวเครื่องในกรณีที่เครื่องถูกเปลี่ยนซิมออกไปแล้ว ระบบก็จะทำการอัพเดทเบอร์ใหม่ให้เลย หรือจะค้นหา WiFi ที่อยู่ใกล้มือถือ และข้อมูลของเลข IMEI ทั้งหมด เพื่อช่วยให้ตามหาได้ง่ายขึ้นด้วย
อย่าลืมว่าควรที่จะต้อง เข้าไปอัพเดทการเข้าสู่ระบบของ Find my Mobile อยู่เสมอ เพื่อให้ข้อมูลนั้นอัพเดท ป้องกันโทรศัพท์หายเอาไว้ตั้งแต่ต้น ส่วนในกรณีที่ใครไม่ได้เข้าสู่ระบบกับแอปฯ ไว้ หรือว่าไม่เคยเข้าไปตั้งค่าในแอปฯ Find my Mobile ของทาง Samsung เลย จะใช้วิธีค้นหาด้วย Google (Android) โดยการใช้ Gmail อันเดียวกับที่ได้เข้าสู่ระบบเอาไว้ตั้งแต่เริ่มใช้งาน แล้วตามหาบนเว็บ Google ก็ทำได้เช่นกัน หรือจะใช้แอปฯ Find My Device ของ Google ร่วมด้วยก็ได้
เป็นยังไงกันบ้างกับวิธีตามหาโทรศัพท์ เมื่อโทรศัพท์หายด้วยวิธีต่างๆ ตามการใช้งานของ iOS, Android และของ Samsung ที่เราได้เอามาฝากกันในวันนี้ ซึ่งการตามหามือถือทุกวิธีนั้น ก็จำเป็นต้องใช้เวลาในการค้นหาที่เร็วอย่างน้อยก็ภายใน 24 ชม. เพราะว่าเกินกว่านี้แบตอาจจะหมด และทำให้การค้นหาเป็นไปได้ยากกว่าเดิม ทางที่ดีก็คือให้เข้าสู่ระบบ และเปิดอนุญาตการเข้าถึงตำแหน่งเอาไว้เสมอ จะได้ตามหาได้ไวยิ่งขึ้น แต่ถ้าโทรศัพท์หายเกิน 24. ชม.ไปแล้วยังคงไร้วี่แววว่าจะหาเจอ ก็ควรไปแจ้งความและนำเลข EMEI ไปด้วย เพื่อให้ตำรวจติดต่อกับโอเปอร์เรเตอร์ และทำการค้นหาอีกทางก็พอจะทำให้เราได้มือถือคืนมาอีกครั้ง แล้วถ้ามีเรื่องไหนน่าสนใจอีก เราก็จะเอามาฝากกันเรื่อยๆ เลยนะครับ