เปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับกับ iPhone SE 2 รุ่นปี 2020 ที่แม้ว่าจะมาในหน้าตาทรงเดียวกับ iPhone 8 แต่สเปคภายในนั้นจัดว่าค่อนข้างใหม่เทียบเคียงกับ iPhone 11 ได้อยู่เหมือนกัน ประกอบกับราคาที่เปิดมา 14,900 บาท ทำให้หลาย ๆ คนสงสัยว่าแล้ว iPhone SE 2 นี้มันต่างกับ iPhone 8 ขนาดไหน หรือถ้าจับมาเทียบกับ iPhone XR ที่เป็นรุ่นรองในตอนนี้ รุ่นไหนจะคุ้มกว่ากัน มาดูการเปรียบเทียบกันในบทความนี้เลย
เทียบสเปค
สิ่งแรกที่พอจะเทียบได้เห็นภาพที่สุดก็คือเรื่องสเปคครับ โดยเมื่อจับมาวางรวมในตารางเดียวกัน ก็จะได้ตามด้านล่างนี้
เมื่อเทียบสเปคกับราคาล่าสุดในตอนนี้ ที่ iPhone 8 ถูกตัดออกจากเว็บไซต์ Apple แล้ว จะเห็นชัดเลยว่าที่จริง iPhone SE 2 มีสเปคอยู่ในระดับลูกผสมระหว่าง iPhone 8 + iPhone XR แบบเน้นไปทาง iPhone 8 มากกว่า ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติเนื่องจากตัวเครื่องที่ยังคงใช้ทรงเดียวกับ iPhone 8 อยู่ ทำให้หน้าจอและข้อจำกัดอื่น ๆ ยังคงเหมือนเดิม เช่น แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้พอ ๆ กัน หน้าจอขนาดเท่ากัน เป็นต้น
แต่ถ้าเป็นในแง่ของประสิทธิภาพ iPhone SE 2 กลับใช้ชิปรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Apple A13 Bionic ที่ใช้อยู่ใน iPhone 11 series ทั้ง 3 รุ่นย่อย จึงทำให้ประสิทธิภาพของตัวเครื่องจัดว่าสูงกว่าทั้ง iPhone 8 และ iPhone XR อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนอกเหนือจากความแรงแล้ว ก็น่าสนใจว่าส่วนของการประมวลผลภาพจะดีขึ้นมาขนาดไหน อันเป็นสิ่งที่ต้องรอทดสอบจากเครื่องจริงกันอีกที
แง่ของการเชื่อมต่อ iPhone SE 2 มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่อย่าง Wi-Fi 6 ด้วย นับเป็นข้อได้เปรียบกว่าอีกทั้งสองรุ่นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนการใช้งาน cellular ก็ยังคงอยู่ในระดับ 4G LTE เช่นเคยครับ ตัวเครื่องรองรับ eSIM ด้วย ทำให้สามารถใช้งาน 2 เบอร์พร้อมกันในเครื่องเดียวได้เหมือนกับใน iPhone XR
สรุปด้านสเปค – iPhone SE 2 แรงกว่า รองรับอนาคตได้ไกลกว่า แต่อาจใช้งานแบตได้ไม่นานเท่า iPhone XR
กล้อง
แม้ว่าในแง่ของตัวเลข กล้องหลังเดี่ยวของ iPhone SE 2 จะยังคงยึดอยู่ที่ 12MP เลนส์ f/1.8 อยู่ แต่ก็มีการปรับปรุงและใส่ลูกเล่นต่าง ๆ เพิ่มเข้ามาจาก iPhone 8 ไม่น้อยเหมือนกันครับ เช่น มีการปรับระบบออโต้โฟกัสเป็นแบบ Focus Pixels ที่ให้ความแม่นยำ รวดเร็วยิ่งขึ้น รองรับระบบ HDR แบบใหม่ล่าสุด รวมถึงยังมีโหมด Portrait ด้วยการทำงานของซอฟต์แวร์มาให้ด้วย เหมือนกับใน iPhone XR ที่มีเพียงกล้องเดียว แต่ก็มีโหมด Portrait มาให้ใช้งาน
ส่วนของการถ่ายวิดีโอ iPhone SE 2 ก็มีจุดที่ได้รับการเพิ่มเข้ามาคือสามารถบันทึกเสียงแบบสเตอริโอได้เหมือนใน iPhone XR แล้ว รวมถึงยังสามารถถ่ายวิดีโอแบบ QuickTake ได้เหมือน iPhone 11 และก็มีระบบกันสั่นระหว่างถ่ายวิดีโอให้กับการถ่ายในระดับ 4K ด้วย (iPhone XR รองรับกันสั่นแค่สำหรับ 1080p)
กล้องหน้าของ iPhone SE 2 ยังคงใช้เลนส์และความละเอียดกล้องเท่าเดิมอยู่ครับ แต่มีการเพิ่มโหมด Portrait มาให้ ช่วยให้สามารถถ่ายเซลฟี่ได้ดูมีมิติขึ้น
สรุปด้านกล้อง – iPhone SE 2 ชนะ
ตัวเครื่อง
จากที่ระบุไปข้างต้นว่า iPhone SE 2 เลือกใช้บอดี้เดียวกับ iPhone 8 ตรงนี้ก็น่าจะถูกใจคนที่อยากได้ iPhone รูปทรงแบบเก่าในสเปคใหม่ หรือคนที่อยากได้ iPhone เครื่องขนาดกะทัดรัดอยู่ไม่น้อยทีเดียวครับ ซึ่งเมื่อจับขนาดมาเทียบกันแล้ว iPhone SE 2 จะมีตัวเครื่องที่เล็ก บาง และเบากว่า iPhone XR อยู่พอสมควร ซึ่งถ้าคุณอยากได้ iPhone เครื่องขนาดประมาณนี้อยู่แล้ว ส่วนตัวผมมองว่า iPhone SE 2 จะค่อนข้างคุ้มกว่าไปหา iPhone 8 มือหนึ่ง หรือ iPhone รุ่นก่อนหน้านี้มือสอง เพราะด้วยเรื่องของขนาดเครื่องที่ไม่ต่างกันมาก แต่ได้สเปคที่ใหม่กว่า ใช้งานรวดเร็วทันใจกว่ากันมากเลย
อีกจุดที่น่าสนใจก็คือ Touch ID ที่กลับมาอีกครั้งครับ เพราะในบางสถานการณ์ก็ต้องยอมรับว่า Face ID อาจจะไม่ได้สะดวกกับการใช้งานมากนัก โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ต้องใส่หน้ากากกันเกือบตลอดเวลา ดังนั้นการปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือผ่าน Touch ID ก็อาจจะสะดวกกว่า รวมถึงหลาย ๆ คนอาจจะชินกับการกดปุ่มโฮมมากกว่าการปัดหน้าจอด้วย เช่น กลุ่มผู้สูงอายุที่อาจจะสับสนได้หากต้องสั่งงานด้วยการปัดหน้าจอเป็นหลัก กรณีนี้ก็เป็นจุดเด่นที่มองข้ามไม่ได้ของ iPhone SE 2 เข่นกัน
และด้วยการที่ตัวเครื่องเป็นทรงเดียวกับ iPhone 8 ก็น่าจะทำให้การหาอุปกรณ์เสริมเช่น เคส ฟิล์ม กระจกกันรอยทำได้ง่ายมาก ๆ เพราะตามร้านส่วนใหญ่ก็น่าจะยังสต็อกสินค้าสำหรับ iPhone 8 กันไว้อยู่ รวมถึงบางคนอาจจะยังมีอุปกรณ์สำหรับ iPhone 8 ติดบ้านอยู่ด้วย เนื่องจากขนาดตัวเครื่องตามสเปคของ iPhone SE 2 นั้นเท่ากับ iPhone 8 แบบ 100% แต่คงต้องรอดูตอนเครื่องจริงออกมาครับว่าจะมีจุดไหนที่เหลื่อมกันบ้างหรือเปล่า เช่น ตำแหน่งของกล้องหลัง เป็นต้น (แต่คาดว่าน่าจะตรงกัน)
สรุปด้านตัวเครื่อง – ชอบไซส์เล็ก จิ้ม iPhone SE 2 ได้เลย แต่ถ้าชอบจอใหญ่ แนะนำว่าข้าม iPhone XR ไป iPhone 11 เลยดีกว่า เจ็บแต่จบ
ราคา
เมื่อเทียบราคาปัจจุบันของแต่ละรุ่น ทุกรุ่นความจุ ก็จะได้เป็น
* ราคาของ iPhone 8 เป็นราคาล่าสุด Apple ก่อนถูกตัดออกจากหน้าเว็บไซต์
iPhone SE 2 เทียบกับ iPhone 8?
จากตารางด้านบนจะเห็นว่าราคาของ iPhone SE 2 นั้นทำออกมาค่อนข้างสูสีกับ iPhone 8 เลย เมื่อประกอบกับเรื่องบอดี้และสเปคแล้ว จึงไม่แปลกใจที่ Apple จะตัด iPhone 8 ออกไปครับ แต่ก็แน่นอนว่าเราน่าจะได้เห็นโปรเคลียร์ของกันอีกรอบ สำหรับ iPhone 8 ที่ยังคงเหลือค้างอยู่ตามร้านตัวแทนจำหน่ายและเครือข่ายมือถือ จนทำให้ราคาของ iPhone 8 น่าจะถูกลงไปกว่านี้อีก
แต่ก็อีกเช่นกันครับ ส่วนตัวผมมองว่าเดี๋ยวทางเครือข่ายมือถือก็น่าจะออกโปรราคา (พร้อมแพ็คเกจ) สำหรับ iPhone SE 2 ออกมาแน่นอน ซึ่งถ้ามีออกมาจริง ก็แนะนำว่าสอย iPhone SE 2 คุ้มกว่า iPhone 8 แน่นอนครับ ราคาตอนซื้ออาจจะแพงกว่าหน่อย แต่ได้สเปคดีกว่า ประกันชัวร์กว่า
iPhone SE 2 เทียบกับ iPhone XR?
ส่วนอีกทางเลือกอย่าง iPhone XR อันนี้ส่วนตัวผมมองว่า ถ้าคุณจะยอมจ่ายเงินเพิ่มจาก iPhone SE 2 มามองเป็น iPhone XR แล้ว สู้ยอมจ่ายเพิ่มอีก 3,000 หรือผ่อนค่างวดเพิ่มอีกเดือนละ 300 บาท ไปสอย iPhone 11 เลยจะคุ้มกว่าครับ ได้กล้องเพิ่ม สเปคแรง แบตอึดขึ้นอีกนิดนึง แถมบางที iPhone 11 พ่วงแพ็คเกจหรือโปรลดราคาพิเศษอาจจะดูคุ้มกว่าด้วย
แล้วถ้าลังเลระหว่าง iPhone SE 2 256GB กับ iPhone XR 64GB ล่ะ?
ถ้าคุณเป็นคนชอบถ่ายรูปบ่อย ๆ โหลดหนังมาดูเรื่อย ๆ ขอแนะนำว่าเลือก iPhone SE 2 ที่ความจุเยอะไว้ก่อนจะดีกว่าครับ เพราะต้องยอมรับตรง ๆ ว่าตอนนี้ มือถือความจุ 64GB ก็จัดว่าค่อนข้างแน่นแล้วเหมือนกัน ใช้งานได้ไม่นานก็ใกล้เต็ม ต้องมาเคลียร์พื้นที่กันวุ่นวายอีก ยอมจ่ายก้อนเดียวแต่แรกดีกว่า จะได้ใช้งานได้แบบสบายใจ
ดังนั้นในช่วงนี้ ผมมองว่า iPhone SE 2 เป็นรุ่นที่ตอบโจทย์คนอยากได้ iPhone ราคาไม่สูงมากได้ลงตัวกว่า iPhone 8 กับ iPhone XR ครับ
ส่วนกลุ่มผู้ที่ใช้ iPhone รุ่นเก่านับตั้งแต่ iPhone 7 ลงไป การเปลี่ยนมาเป็น iPhone SE 2 ก็นับเป็นทางเลือกที่ดีมาก ๆ เช่นกัน เพราะยังได้ความรู้สึกในการใช้งานแบบเดิมอยู่ แต่ได้เครื่องที่เร็วขึ้นเยอะ พร้อมตัวเครื่องที่ไม่ได้เทอะทะจนเกินไปด้วย